วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4097 มุมหนึ่ง ณ นักเขียน
ฝันของใครบางคน ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นนักเขียน แต่เส้นทางการเดินไปสู่ความฝันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะค่าตอบแทนที่ไม่ได้มากมายเป็นกอบเป็นกำ
การใช้ชีวิตให้ดำรงอยู่ได้ด้วยการเขียนนั้น จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนเป็นอย่างดี
"คำ ผกา" เข้าใจและตระหนักดีถึงข้อจำกัดนี้
กว่าเธอจะสร้างผลงานให้ติดตลาดมีคนจ้างให้เขียนลงหนังสือต่างๆ ต้องใช้เวลามากพอสมควร อีกทั้งลักษณะเฉพาะตัวของเธอ ภาษาที่ใช้ ทำให้เธอมีวันนี้
"ช่วงนี้งานเยอะมากเลยคะ" คำ ผกา บอกและแจกแจงว่า
"คอลัมน์ประจำอย่างในมติชนสุดสัปดาห์ก็จะเห็นว่าไม่ครบทุกอาทิตย์ เพราะว่าส่งไม่ทัน ที่ส่งไม่ทันไม่ใช่เพราะว่าเขียนไม่ทัน แต่เป็นเพราะว่าไม่มีเรื่องจะเขียนในบางสัปดาห์ ฉันก็ไม่อยากฝืน มันไม่ประเด็น ฉันคิดว่าคอลัมน์ประจำต้องเหมือนเปิดมาแล้วเจอเพื่อน ที่เราจะคุยด้วยทุกอาทิตย์ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นประเด็นทางการเมืองสังคม หรืออะไรที่ซีเรียสสม่ำเสมอทุกอาทิตย์" "เมื่อฉันเขียนที่เป็นประเด็น บางอาทิตย์มันก็ไม่มีประเด็นที่สามารถจะเขียนได้ แต่ก็พยายามที่จะไม่หายถี่เกินไป อย่างน้อยให้มันได้เดือนละ 2 ชิ้นก็ยังดี หรือถ้าไม่อย่างนั้นถ้าประเด็นมันซ้ำเราก็ไม่อยากเขียนอีก คือเมื่อก่อนตอนที่เราเขียนหนังสือใหม่ๆ สักปี สองปีแรกประเด็นมันจะไม่ซ้ำ เพราะทุกอย่างใหม่หมด พอเราเขียนมาเป็นปีที่ 8 แล้ว เรื่องที่เราเคยพูดแล้วเราก็ไม่อยากจะพูดอีก เหมือนคนแก่พูดแล้วพูดอีก พูดเรื่องเดิม" คำ ผกา เล่าให้ฟังว่า ทุกวันนี้เขียนคอลัมน์ 10 ชิ้นต่อหนึ่งเดือน เท่าที่เป็นคอลัมน์ประจำ เท่ากับ 2.5 วันต่อหนึ่งชิ้น
นอกจากนี้ยังมีงานพิเศษ เป็นคอลัมน์รับเชิญต่างๆ เป็นกรรมการตัดสินประกวดเรียงความ แต่อาชีพหลักคือเขียนคอลัมน์ อาทิ มติชนสุดสัปดาห์ เรื่องแปลในนิตยสาร VOLUME นิตยสารดิฉัน คอลัมน์ "คลุกข้าวซาวเกลือ" "แล้วก็มีเขียนเรื่องสั้นใน มิค แมคกาซีน ซึ่งเป็นเรื่องอีโรติค ได้รับการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นมาแล้วสองเล่ม และใน HUG ของเครือซี.พี. ขายในเซเว่นอีเลฟเว่น คล้ายคู่สร้างคู่สม"
เธอยอมรับว่า การเลี้ยงชีพด้วยการเขียนหนังสือ เป็นเรื่องที่ยากมาก "ยาก ยากมากๆ ฉันอยู่เชียงใหม่ ค่าใช้จ่ายน้อย แล้วมีมรดก ไม่ต้องกู้เงินธนาคารมาซื้อที่ แค่ปลูกบ้านง่ายๆ อยู่ เวลากินแม่ก็เอากับข้าวมาส่ง เหมือนเรา parasite หน่อยๆ อาชีพนักเขียนฉันก็เกาะแม่ เกาะของเก่ากิน คือถ้าไม่มีต้นทุนเดิมมาอยู่แล้ว แล้วจะอยู่ด้วยงานเขียนล้วนๆ ฉันคิดว่าสำหรับบ้านเราอยู่ได้แต่ต้องทำงานหนัก หรือคุณต้องมีความสามารถจริงๆ มีพรสวรรค์จริงๆ" "พรสวรรค์ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเขียนให้มันได้กล่องนะคะ คุณอาจจะมีพรสวรรค์ในการเขียนนิยาย แบบรักที่เด็กๆ ติดกัน ถ้าคุณเป็นแบบ ว.วินิจฉัยกุล คุณอยู่ได้ มีพรสวรรค์ที่จะเขียนให้คนติดเรื่องของคุณได้ ก็อยู่ได้ มีพรสวรรค์ด้านใดด้านหนึ่งก็อยู่ได้" "ฉันคิดว่านักเขียนที่ดีไม่จำเป็นจะต้องกัดก้อนเกลือกิน ถ้าคุณเขียนนิยายแบบพาฝันแต่คุณทำมันได้ดีมันก็โอเค ทำได้มีเสน่ห์ ทำได้สนุก ทำได้แบบมีอารมณ์ขัน มันอาจจะไม่ต้องลึกซึ้งแต่มันมีเสน่ห์ ฉันคิดว่าแค่นี้ ฉันก็แฮปปี้แล้วกับวงการวรรณกรรม" คำ ผกา บอกและว่า "คือวงการวรรณกรรมมันก็ต้องหลากหลาย มันไม่ใช่ว่าจะต้องมีแบบ แดนอรัญ แสงทอง ทุกคน เพราะคนอ่านก็ต้องการความบันเทิง ต้องการความรู้ ต้องการงานที่อิงประวัติศาสตร์ ตัวฉันเองก็อ่านทุกอย่าง งานหลากหลายอย่างนี้มีก็สนุก เราก็เบื่อเรื่องซีเรียส ตัวฉันเองนิตยสารที่อ่านประจำคือ HELLO อ่าน O.K. อ่านข่าวดารา กับ Marie Claire" "ฉันคิดว่าเป็นนักเขียนต้องอ่านทุกอย่าง ต้องเป็นนักอ่านด้วย อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า ฉันคิดว่ามันจำเป็นมากเลยที่เราต้องอ่าน ต้องเข้าไปทำความรู้จัก ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม มันเป็นอาชีพ แล้วเราต้องทำความรู้จักกับทุกอย่าง ไม่ใช่จะมาตั้งป้อมว่า ยี้ ขยะ ฉันว่างานทุกประเภทมันต้องมี function ในแบบของมัน ถึงเราไม่ชอบมัน เราก็ต้องทำความเข้าใจกับมัน ถ้าเราไม่รู้จักเขาแล้วเราจะไปวิจารณ์เขาได้อย่างไร ใช่ไหม การวิจารณ์ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว" ทั้งนี้ เรื่องที่เธอให้ความสนใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
"เป็นเรื่องเดิมๆ สิทธิมนุษยชน สนใจเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เรื่องเพศ เรื่องชนชั้น เรื่องอาหารในแง่ที่มันผูกพันกับเราในเรื่องเศรษฐกิจและสุขภาพ แล้วเรื่องอาหารมันก็โยงใยกับความไม่เป็นธรรมทางการค้าด้วย" ในฐานะที่เป็นนักเขียนรุ่นหลัง การจากไปของ "รงค์ วงษ์สวรรค์ ย่อมทำให้นักเขียนส่วนใหญ่อาลัย และเสียดายปูชนียบุคคลทางภาษา
"ลุง"รงค์ เป็นคนที่เห็นนักเขียนทุกคน ทั้งรวมทั้งนักเขียนรุ่นน้องและรุ่นใหม่เป็น collective (กลุ่ม, หมู่) เดียวกัน กับลุง"รงค์ยังเป็นอย่างนั้น และเต็มร้อย ณ สมัยนี้มันไม่มีแล้ว ลุง"รงค์เห็นทุกคนเป็นญาติมิตร น้ำหมึก แล้วก็จะต้องมานับญาติกับเรา ซึ่งฉันคิดว่าในรุ่นของฉันมันไม่มีแล้ว อีกสิบปีข้างหน้าถ้ามีนักเขียนรุ่นใหม่ฉันก็คงไม่ไปนับญาติกับเขา คือฉันก็ไม่รู้ว่า spirit แบบนี้มันหายไปได้อย่างไร" หน้า 35 http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02spe03160452&day=2009-04-16§ionid=0223 | |