กทม.เร่งปราบยุงลาย/สกัด "ชิคุนกุนยา "ระบาด | ||||||||
ข่าววันที่ 16 พฤษภาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ | ||||||||
|
Hotmail® has a new way to see what's up with your friends. Check it out.
FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew ● ปรึกษาปัญหากฏหมาย ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์ ปัญหาติดต่อราชการ ฟรี ● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล, ● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work สำนักพิมพ์ดาวหาง www.sanamluang.bloggang.com สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ workingmailhome@hotmail.com
กทม.เร่งปราบยุงลาย/สกัด "ชิคุนกุนยา "ระบาด | ||||||||
ข่าววันที่ 16 พฤษภาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ | ||||||||
|
เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้
• ลูกพรุน (Prunes)ลูกพรุนเป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามทีต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจะเป็นสีชมพู-ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหต เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัยจนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาดคือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาดลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว
• ถั่ว
ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม "ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ" ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
• บรอคโคลี่เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลายเพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังจึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
• กล้วยไข่กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือเบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงักความเสื่อมในส่วนต่างๆของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือสิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้นสิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆพร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ(Detoxification) ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกันดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเองก็คือคุณต้องรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มากซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์(Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม
• ฝรั่ง
คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ
• แอปเปิ้ล
มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ "เพคติน" แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว "เพคติน" นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดโคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรืออ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวันช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่าเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันและแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้นและพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย
• ส้ม
แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่งเพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะนอกจากนี้หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ
ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือเภสัชโภชนา โดย ภก. สรจักร ศิริบริรักษ์
http://www.thairath.co.th/content/life/5266
|
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11386 มติชนรายวัน "วันนักเขียน" และก้าวต่อไป "สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย" ในวาระ "การอ่านแห่งชาติ" โดย เชตวัน เตือประโคน คำถามนี้ หลายคนได้ยินแล้วอาจส่ายหน้า ตอบไม่ได้ โธ่!...อย่าว่าแต่คนส่วนใหญ่เลย แม้แต่ผู้สนใจแวดวงการอ่านการเขียนบางคนก็ยังไม่รู้ ยิ่งที่ทำการ "สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย" ด้วยแล้ว บางคนอาจถามกลับ "มีด้วยเหรอ? อยู่ตรงมุมไหนของโลก (วะ)?" จากปุจฉาข้างต้น ขอวิสัชนาไว้ดังนี้... 5 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันนักเขียน ส่วนที่ทำการสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยนั้น อยู่ที่ ซอยกรุงเทพฯ-นนทบุรี 33 ซึ่งเป็นบ้านที่นักเขียนผู้ล่วงลับนาม ส.บุญเสนอ ได้มอบให้กับสมาคม วันนักเขียนที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ มีโอกาสได้ไปร่วมเกาะติดกับแวดวงวรรณกรรม ซึ่งมีการจัดงานที่ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ตั้งแต่ช่วงบ่าย ทั้งอภิปรายในหัวข้อ "100 ปี ศักดิ์ศรีคนวรรณกรรม" พูดถึงคุณูปการของนักเขียนที่ครบ 100 ปี ชาตะกาล ในปีนี้ อาทิ เปลื้อง ณ นคร, ร.จันทพิมพะ และ ส.บุญเสนอ การอภิปรายหัวข้อ "คิดถึง "รงค์ วงษ์สวรรค์ พญาอินทรีแห่งฟากฟ้าวรรณกรรม" งานวันนั้น คับคั่งด้วยนักเขียนทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นใหม่ ตลอดผู้สนใจแวดวงวรรณกรรมอีกเพียบ!!! อาทิ มนัส สัตยารักษ์, ใหญ่ นภายน, อั๋น สัตหีบ, ช่วง มูลพินิจ, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, วัฒน์ วรรลยางกูร, ปรีดา ข้าวบ่อ, ณัฐการณ์ ลิ่มสถาพร, ณรงค์ จันทร์เรือง, อาทร เตชะธาดา, วินทร์ เลียววาริณ, สุมิตรา จันทร์เงา, บินหลา สันกาลาคีรี, วรพจน์ พันธุ์พงศ์, ศิริวร แก้วกาญจน์ ฯลฯ นี่เพียงส่วนหนึ่ง หากนับจนครบเกรงพื้นที่แห่งนี้จะไม่พอ ในงานปีนี้ นอกจากจะมีการมอบรางวัล "ศรีบูรพา" ให้กับ "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" แล้ว ยังมีอีกหนึ่งรางวัล นั่นคือ การประกวดเรื่องสั้น รางวัลอิวากิ ซึ่งจัดโดย นักแปลชาวญี่ปุ่น ผู้แปลผลงานของนักเขียนไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นมาแล้วมากมายอย่าง "อิวากิ ยูจิโร" ซึ่งงานนี้เขาลงทุนลงแรงทำประกาศเกียรติคุณด้วยตนเอง พร้อมมาร่วมงาน มอบรางวัลให้กับผู้ได้รับรางวัล กล่าวให้กำลังใจกับนักเขียนไทย สร้างความหวัง มอบความสนุกสนานครื้นเครงเป็นอย่างยิ่งในหัวค่ำของวันนั้น
ในงานวันนักเขียน มีหนังสือ 2 เล่ม มอบให้กับผู้ร่วมงาน... หนึ่งคือ "ปากไก่" วารสารของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย และอีกหนึ่ง คือ "ศรีบูรพา" วารสารกองทุนศรีบูรพา เล่มแรกมีเนื้อหาเกี่ยวกับแวดวงการอ่าน-การเขียนหลากหลาย เช่น นักเขียนรุ่นใหม่อ่านอะไร?, สัมภาษณ์ ดร.สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร, 100 ปี นักเขียนไทย ส.บุญเสนอ ร.จันทพิมพะ, พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ, นายตำรา ณ เมืองใต้, "รงค์ วงษ์สวรรค์ อินทรีสวนอักษร ติดปีกสู่สวรรค์, เรื่องสั้น ฯลฯ ส่วนเล่มหลังนั้นเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ได้รับรางวัลศรีบูรพาคนล่าสุด ชมัยภร แสงกระจ่าง นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เขียนไว้ในบทนำ "ปากไก่" ว่า... ...ครั้งนี้ที่ตั้งใจสมัครทำงาน (นายกสมาคม) ต่อ ด้วยมีงานของสมาคมหลายส่วนที่ต้องการดำเนินการให้แล้วเสร็จ อาทิ โครงงานพิพิธภัณฑ์บ้านนักเขียน เสาว์ บุญเสนอ งานโครงการต่างๆ ที่ตกลงร่วมมือกับ บมจ.ธนาคารกรุงไทย และการอบรมเยาวชนในเรื่องการอ่านการเขียน งานด้านวรรณกรรมสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ที่ดำเนินโครงการกับมาเลเซียค้างอยู่ และเริ่มเปิดโครงการใหม่กับจีนใต้ (หนานหนิง)... ...รวมทั้งงานหลักของสมาคม คือการสัมมนาประจำปี ซึ่งในสองปีที่ผ่านมา ได้มุ่งเป้าไปที่นักเขียนและนักอ่าน ในส่วนปีนี้จะเป็นการสานต่อจากนักเขียนและนักอ่านไปสู่ระบบการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับการประกาศของรัฐบาลให้ปีนี้ เป็นวาระการอ่านแห่งชาติ... ชมัยภรรับตำแหน่งนายกสมาคมเป็นครั้งที่สอง โดยคณะกรรมการชุดนี้จะมีวาระการทำงาน 2 ปี คือ พ.ศ.2552-2554 น่าสนใจว่าในห้วงเวลาที่รัฐบาลประกาศให้ "การอ่าน" เป็น "วาระแห่งชาติ" มีการส่งเสริมการอ่านและจะสนับสนุนโครงการหนังสือเล่มแรก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เองก็รับลูกด้วยการ แต่งตั้ง "คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต" ด้าน สมาคมนักเขียนฯจะถือโอกาสอันดีนี้ เดินหน้ารุดงานเพื่อคุณภาพของประเทศชาติอย่างไร? อยากรู้ จึงหยิบโทรศัพท์กดหมายเลขสอบถามเอาความจากชมัยภรทันที "สำหรับสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย จากนี้คงต้องสานงานที่ทำต่อเนื่องมาจากคณะกรรมการชุดที่แล้ว เช่น กิจกรรม มุมห้องสมุด ที่ทำร่วมกับ บมจ.ธนาคารกรุงไทย และรายการสัมมนาต่างๆ ทั้ง 4 ภาคทั่วประเทศ โดยตั้งใจไว้ว่าจะเริ่มจากการสัมมนานักเขียนก่อน จากนั้นก็มาเป็นสัมมนานักอ่าน ในพื้นที่ภูมิภาคโดยไม่ให้ซ้ำกับที่เคยทำเมื่อปีที่แล้ว "ในส่วนรูปแบบของกิจกรรม นอกจากจะเป็นการบรรยายของนักเขียนที่เราจัดไปแล้ว จะพยายามทำให้ผู้ฟังได้มีส่วนร่วม ได้ร่วมอภิปราย เพราะเราอยากได้ข้อมูลจากคนในพื้นที่จริงๆ อยากรู้ว่าเขาอ่านอะไร เพราะแน่นอนว่าการอ่านนั้นเป็นพื้นฐานของการเขียน" ชมัยภรกล่าว และว่า สำหรับการทำงานกับคณะกรรมการการส่งเสริมการอ่านเพื่อสังคมแห่งการเรียนรู้ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการทำการบ้านว่า แต่ละองค์กรมีโครงการอะไรมาเสนอ ให้จัดทำรายละเอียดมาในการประชุมกันครั้งต่อไป ในวาระการอ่านแห่งชาติมี "คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต" เป็นตัวตั้ง จากนั้นองค์กรต่างๆ ที่ทำกิจกรรมส่งเสริมด้านการอ่าน การเขียน ด้วยดีเสมอมา เป็นต้นว่า สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย, สมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย, อุทยานการเรียนรู้ (ทีเค ปาร์ค), บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ฯลฯ นำโครงการไปคุยกันกับคณะกรรมการซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ในที่ประชุม เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของกิจกรรม นี่เป็นการสนับสนุนจากภาครัฐ ใน "วาระการอ่านแห่งชาติ" คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ผลจะออกมาอย่างไร เพราะเท่าที่ใครต่อใครรู้สึก กิจกรรมอะไรก็ตามที่ออกมาจากภาครัฐอย่างนี้ ขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก ล่าช้าเหลือเกิน กว่าที่กิจกรรมจะขับเคลื่อนไปได้ บางทีก็เปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนคณะกรรมการกันวุ่นแล้ว จึงไม่อยากให้คาดหวังมาก (เพื่อจะได้ไม่ผิดหวัง) หากแต่สิ่งหนึ่ง ที่เป็นปัญหาหลักของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ที่อยากให้รัฐยื่นมือเข้ามาช่วยคือเรื่องการเงิน นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย บอกว่า ปัญหาหลักของสมาคมคือ การไม่มีรายได้ประจำ ทุกคนที่มาทำงานก็เป็นอาสาสมัครและมาด้วยใจ ที่ผ่านมาก็ทำงานไป หาผู้อุปถัมภ์ด้านการเงินไป ซึ่งค่อนข้างเหนื่อย และงานไม่ขับเคลื่อนเท่าที่ควรจะเป็น ที่ผ่านมา คงต้องขอปรบมือให้กับองค์กรต่างๆที่สนับสนุนสมาคมด้วยดีมาตลอด แต่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐจะลองหันมามอง และสนับสนุนอย่างจริงๆ จังๆ บ้าง? หน้า 20 http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01130552§ionid=0131&day=2009-05-13 |
--- On Tue, 5/12/09, JeaB <kwanruthai@dpiap.org> wrote:
|
|
|
|
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11383 มติชนรายวัน "เกาจาล" น้ำดื่มจาก"ฉี่วัว" คอลัมน์ เรื่องไม่ธรรมดา โดย สุทธาสินี จิตรกรรมไทย ขวดนั้นโฆษณาว่าบำรุงสมอง ขวดโน้นชวนให้เชื่อว่าดื่มแล้วผิวพรรณจะผ่องใส ส่วนขวดนี้บอกว่าช่วยเรื่องการขับถ่าย "แล้วเครื่องดื่มที่ผู้ผลิตอ้างว่าช่วยต้านโรคได้ ทั้งยังทำจาก "ฉี่วัว" ล่ะ...สนไหม?" ไม่นานมานี้ "ราชตรียะ สวายัมเสวก สังห์" องค์กรชาตินิยมฮินดูในอินเดีย ส่งตัวแทนออกมาบอกต่อสาธารณชนว่า ได้คิดค้นเครื่องดื่มสูตรใหม่ชื่อ ""เกาจาล"" ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต แปลได้ประมาณว่า "น้ำจากวัว" เพราะส่วนผสมสำคัญ คือ "ปัสสาวะวัว" นั่นเอง ไม่ต้องกลัวกลิ่นจนต้องเอามือปิดจมูก เพราะเกาจาลจะเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีกลิ่นปัสสาวะวัวติดมาสักนิด และนอกจากปัสสาวะวัวแล้ว ส่วนผสมอื่นยังมีอย่าง ว่านหางจระเข้ กูซเบอร์รี่ ฯลฯ เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณประโยชน์จากเครื่องดื่มเต็มที่ "สรรพคุณของเกาจาลน่ะหรือ...ทางองค์กรบอกว่า ช่วยเรื่องการล้างสารพิษออกจากร่างกาย ทั้งยังมีสารซึ่งช่วยต้านโรคเบาหวานและมะเร็งอีกด้วย" ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการทดสอบ-วิจัยเกาจาลในห้องแล็บ เสร็จสิ้นขั้นตอนนี้เมื่อไหร่ ชาวอินเดียก็จะมีเครื่องดื่มชนิดใหม่ให้ได้ลองลิ้มชิมรสกัน แต่องค์กรราชตรียะ สวายัมเสวก สังห์ ก็ไม่คิดจะวางแผนโฆษณาทำการตลาดแข่งขันกับเครื่องดื่มยี่ห้ออื่นแต่อย่างใด เพราะที่ผลิตเกาจาลออกมาก็เพื่อให้ชาวอินเดีย (และหากจะมีชาวต่างชาติด้วยก็ดี) ได้รู้จักองค์กรราชตรียะ สวายัมเสวก สังห์ และแนวคิดขององค์กร มากขึ้นเท่านั้น การดื่มปัสสาวะวัวไม่ใช่เรื่องแปลกนักในสังคมอินเดีย เพราะหลายคนเชื่อว่าปัสสาวะวัวมีคุณสมบัติในการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยสารพัดโรค ทั้งในอินเดียยังมีการนำปัสสาวะวัวและมูลวัวมาเป็นส่วนผสมหลักในหลายผลิตภัณฑ์ อย่างยา ซึ่งมีทั้งยาเม็ดและยาน้ำ เชื่อว่าใช้รักษาได้ตั้งแต่ริดสีดวงทวารไปจนถึงโรคมะเร็ง และยังมีสบู่ ยาสีฟัน ครีมจำพวกปรับสีผิวให้ขาว ผงซักฟอก ฯลฯ อีกด้วย "เรียกว่านำปัสสาวะวัวและมูลวัวมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้ครอบจักรวาลจริงๆ" หน้า 17 http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun02100552§ionid=0140&day=2009-05-10 |
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11383 มติชนรายวัน พิชยนันท์ จินดาพร เจ้าของรองเท้า"พริ้ง" แบรนด์ไทย(โด่งดัง)ในปารีส โดย ชมพูนุท นำภา ที่มหานครปารีส เมืองแห่งแฟชั่น กำลังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น เมื่อสาวไทยหน้าใสเจ้าของรองเท้าแบรนด์ "พริ้ง" นำสินค้ารองเท้าดีไซน์ใหม่เอี่ยมของตัวเองไปแสดงให้คนเมืองน้ำหอมได้ชื่นชม "พริ้ง" เป็นทั้งชื่อแบรนด์รองเท้าและชื่อเล่นของสาวไทยคนนี้ ส่วนชื่อจริง-นามสกุลจริงของเธอ "พิชยนันท์ จินดาพร" วัย 30 บริบูรณ์ เป็นลูกสาวคนเดียวของ "คุณพ่อพิชัย-คุณแม่พัฒนา จินดาพร" ที่ตอนนี้ทุ่มสุดตัวกับการดูแลโรงงาน "พริ้งแอนด์โค" โรงงานผลิตรองเท้าแบรนด์พริ้ง ตั้งอยู่ที่บางพลี จ.สมุทรปราการ สาว "พริ้ง" เข้าเรียนมัธยมที่เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ถึงชั้น ม.2 แล้วไปเรียนต่อมัธยมที่อเมริกา ด้วยความชอบทางด้านแฟชั่นบวกกับมีโอกาสทำให้ช่วงปิดเทอม พริ้งมักจะกลับเมืองไทย มาฝึกงานเขียนเกี่ยวกับแฟชั่นที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ กระทั่งจบปริญญาตรี จาก ยูซี เบิร์กเลย์ (Univercity of California Berkley) สาขาประวัติศาสตร์ศิลป์ และโมเดิร์นแดนซ์ หลังเรียนจบทำงานโฆษณาอยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นก็รับงานเต้น งานเขียน และเป็นครูสอนบัลเล่ต์ไปด้วย ทำงานประจำได้แค่ 3 ปี เริ่มรู้สึกว่าไม่มีอะไรท้าทายในชีวิตอีกต่อไป เรื่องการเรียนต่อจึงแวบเข้ามาในสมอง พริ้งตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ ที่ฝรั่งเศส เธอใช้เวลาเรียนภาษาคอร์สสั้นๆ 6 เดือน เวลาที่เหลือเปิดหูเปิดตาตามงานศิลปะหลากหลายที่ รวมทั้งงานแฟชั่นโชว์ จนเกิดอาการคันไม้คันมือจึงสมัครเรียนคอร์สแฟชั่นด้วยอีกหนึ่ง แล้วไปฝึกงานตามร้านต่างๆ คราวนี้ชีวิตเริ่มสนุก พริ้งเบนเข็มจากประวัติศาสตร์ศิลป์มาเอาจริงเอาจังด้านแฟชั่นแทน ปัจจุบัน พริ้งแต่งงานแล้วและเปิดร้านรองเท้าของตัวเองที่ย่านชาโล ซึ่งถือเป็นย่านสุดฮิปอีกหนึ่งของปารีส มีดาราฝรั่งเศสให้ความสนใจมาอุด หนุนอยู่ไม่ขาด "รองเท้าพริ้งออกมาสามคอลเลคชั่นแล้ว ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาง่ายๆ ต้องทำงานเยอะ และต้องมีความมุ่งมั่นกว่าคนอื่น" และหากจะถามว่าเป้าหมายในชีวิตของผู้หญิงคนนี้คืออะไร แน่นอนว่า "ขอแค่ให้แบรนด์พริ้งเกิดและขายครอบคลุมตลาดยุโรปเจาะตลาดอเมริกาและเอเชีย พอใจแล้วค่ะ" เป็นเสียงที่ออกมาจากปากเรียวของเธอ "หลายคนรู้จักเธอแล้วต่างเอาใจช่วยกับความมุ่งมั่นของสาวคนนี้" เปลี่ยนใจมาเรียนดีไซน์รองเท้าทำไม? ที่จริงแล้วชอบเรื่องแฟชั่น และที่เรียนคอร์สแฟชั่นเป็นเรื่องของเสื้อผ้า แต่บังเอิญว่าน้องชายสามีเขาทำรองเท้าอยู่ และตอนนั้น "พธู" เขาจะขายโรงงานรองเท้า เลยเสนอสามีว่าสนใจไหม? จากนั้นจึงเริ่มมาศึกษาเรื่องของรองเท้าอย่างจริงจัง เป็นการศึกษาเองหมด แล้วพอได้เข้ามาคลุกคลีมากๆ กลายเป็นสนใจและชอบในที่สุด ตอนนี้ศึกษารองเท้าทุกชนิด ยกเว้นผ้าใบที่มันไฮเทคมาก แต่ก็เป็นดีไซเนอร์ให้รองเท้าแบรนด์ฝรั่งเศสด้วย ค่ะ เป็นเพราะความกล้าของเรามั้ง? แล้วเป็นคนไม่อีโก้ ให้ทำอะไรก็ทำจะเอาสไตล์ไหนบอกมาทำให้ได้ ราคาก็คิดไม่แพงด้วย เคยทำให้สวารอฟกี้ เขาเอาไปใช้เดินแบบ แล้วก็ทำให้แบรนด์รัสเซียแบรนด์หนึ่ง เป็นครั้งแรกที่เห็นรองเท้าตัวเองขึ้นแฟชั่นโชว์ที่ปารีส ตอนนั้นเป็นแฟชั่นโชว์เมื่อตุลาคม 2550 ภูมิใจมาก ตื่นเต้นมากๆ ตอนนั้นมีสองแบบทั้งหมด 30 คู่ เป็นแบรนด์คนอื่นแต่ดีไซน์โดยเรา กลับมาที่กรุงเทพฯ นั่งดูทีวีเห็นพอดี ทั้งแม่ทั้งลูกตื่นเต้นกันใหญ่ ส่วนของสวารอฟกี้ปีนี้ก็สั่งทำเป็นปีที่ 3 แล้ว และมีแบรนด์ฝรั่งเศสอีกแบรนด์หนึ่งชื่อ mars กำลังรุ่ง เขามีบูติคเยอะมาก ก็ให้ทำให้ เจอกันก็เพราะว่าหัวหน้าฝ่ายแอสเซสเซอร์รี่เขาเดินช็อปปิ้งอยู่ แล้วเดินเข้ามาที่ร้านของเรา ได้คุยกันรู้ว่าเราเป็นดีไซเนอร์เลยเรียกให้เข้าไปลองดีไซน์แบบให้ดู เราก็ลุยสเก๊ตช์ภาพไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย ทำไปประมาณ 20 กว่าภาพ ลงสีน้ำสวยงาม ปรากฏว่าเขาชอบเลยให้ดีไซน์ให้เราก็บอกเขาว่าเรามีโรงงานด้วยนะ เขาก็ถามว่าที่เมืองไทยทำได้เหรอ เราเลยลองขึ้นตัวอย่างให้เขาดู แล้วกลับมาเมืองไทยทำตัวอย่างด้วยตัวเองจนเขาประทับใจ สั่งทั้งหมดสามแบบจากไม่กี่สิบคู่ตอนนี้ออเดอร์ห้าพันคู่ คุณแม่จะเป็นลม พอจะมาเป็นแบรนด์ของตัวเองทำไง? โอ้ย..ปรึกษาเยอะมาก จนงงไปหมด.. ในที่สุดเชื่อตัวเราเองดีที่สุด เพราะว่าปรึกษาสิบคนทุกคนให้คำแนะนำสิบแบบ เลยไม่เอาแล้วเอาดีไซน์ในแบบที่เราชอบดีกว่าแล้วพยายามขายเท่านั้นแหละ เพราะคิดมากไปก็ปวดหัว เครียด นอนไม่หลับ รสนิยมส่วนตัวใส่แบรนด์เนมไหม? ส่วนมากใส่แบรนด์ไทย ฝรั่งเห็นก็จะชอบ เขาจะถามว่าใครดีไซน์ เราก็บอกว่า อ๋อ.. ดีไซเนอร์ไทย เราใส่โซดาหรือเซนาด้า เขาจะตื่นเต้นว่านี่จากเมืองไทยเหรอ เพื่อนๆ ก็ชอบ ดังนั้น ทุกครั้งที่กลับเมืองไทยก็จะไปเหมาโซดาเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็จะมี sretsis kloset หรือว่าเกรฮาวน์ เป็นแบรนด์ไทยที่จะใส่เป็นส่วนมาก เพราะทำให้เราเด่นไม่ซ้ำใคร ส่วนแบรนด์นอก จะชอบสไตล์มากกว่า ส่วนดีไซเนอร์จะชอบเป็นบางคน ต้องดูอะไรที่เหมาะกับเรา เพราะถ้าหากบางทีเราบ้าแบรนด์ คิดว่าใส่แล้วดูดี แต่ว่าเมื่อใส่แล้วไม่เหมาะกับเรา ไม่เข้ากับเรา มันก็ทำให้เรากลายเป็นตัวตลก พริ้งคิดว่าอะไรที่มันเป็นตัวเรา ดีที่สุด แล้วอีกอย่างนะ รองเท้าดังๆ เวลานี้อย่างแบรนด์ที่ว่า เมดอินอิตาลี เดี๋ยวนี้ทำที่เมืองจีนทั้งนั้น แค่มาเย็บที่อิตาลีในขั้นตอนสุดท้าย แบรนด์ดังๆ เขาก็ใช้แรงงานเมดอินไชน่าทั้งนั้น ไม่อยากพาดพิง คือในส่วนของแพทเทิร์นทุกอย่างจะจ้างให้จีนทำหมด ค่าทำตัวอย่างที่อิตาลีน่ะแพงมากๆ พอมาเป็นแบรนด์พริ้งเลยเมดอินไทยแลนด์ ใช่ ตั้งโรงงานของตัวเองเลยที่สมุทรปราการ คุณแม่เป็นคนคุมตอนนี้ ช่างก็เก่งๆ ทั้งนั้น คนไทยเรามีฝีมือนะ ตอนแรกก็ลังเลจะบอกดีไหมว่า เมดอินไทยแลนด์ เพราะบางคนเขาก็มีข้อแม้ว่าไม่ได้เมดอินอิตาลีเหรอ ไม่ได้เมดอินฝรั่งเศสเหรอ แต่พริ้งก็ยืนยันคุณภาพ เรื่องของความปราณีต ว่าเราไม่แพ้ใคร ตอนนี้ลูกค้าเริ่มติดใจ บางคนซื้อทีละ 5-6 คู่ และมีลูกค้าประจำเยอะเหมือนกัน ช่างที่ทำเป็นคนจากไหน? ช่างมาจากอีสานเยอะมาก พลิกแผ่นดินหากว่าจะได้ ไปหากับคุณแม่ ไปตามโรงเรียนของรัฐบาลที่เขามีสอนช่าง ตอนแรกให้เชิญอาจารย์มาแต่เขาไม่ค่อยสู้งาน แล้วอีโก้สูง อีกอย่างโดนเขาหลอกไปเยอะ ให้เราไปซื้อเครื่องมือมาปรากฏว่าใช้ไม่ได้ หมดไปเป็นแสน...เซ็งมาก ในที่สุดก็ค่อยๆ เรียนรู้ ไป จะใช้วิธีไปยืมรองเท้าเพื่อนบ้าง รองเท้าตัวเอง ของคุณแม่บ้าง เอามาให้ช่างดู ส่วนตัวพริ้งเวลาออกแบบสิ่งที่ยาก คือ เรื่องเทคนิค ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นช่าง บางทีเราอยากให้รองเท้าเป็นแบบนี้ แต่เทคนิคมันทำไม่ได้ เราก็ต้องไปหาว่าทำยังไงให้ทำได้ บางทีวาดออกมามันไม่เหมือนกับอธิบายให้ช่างฟัง เราก็จะหาแบบให้ช่างดูว่าอยากได้แบบไหน เราต้องแก้ปัญหาด้วยกันกับช่าง รองเท้าพริ้งหาวัสดุจากไหน ราคายังไง ถึงถือว่าเจ๋ง เราใช้หนังจากอิตาลี ฝรั่งเศส มีหนังของไทยด้วย และเวลานี้อยากจะหันมาเลือกใช้หนังของไทยมากขึ้น แต่ว่า..คุณภาพหนังของอิตาลีมันดีกว่าจริงๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ตัววัว การเลี้ยงดูวัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วก็เทคนิคการฟอก คือหนังไทยเห็นเหมือนมีรอยเฆี่ยนนะ (หัวเราะ) สำหรับพริ้งรองเท้าจะชอบใช้หนังแพะ เพราะมันนิ่ม ใส่แล้วทนและสบายกว่าหนังวัว แล้วการทำรองเท้าแฮนด์เมดมันต้องดึง หนังแพะจะดึงง่ายกว่าหนังวัว หนังวัวบางทีมันแข็ง ดึงยาก แต่ถ้าเป็นรองเท้าโรงงานใหญ่ เขาจะใช้หนังวัวเยอะ เพราะเขามีเครื่องจักร ตอนนี้เพิ่งได้หนังแก้วสีดำมา เป็นหนังแกะมาจากโรงฟอกไทย ส่วนราคา รองเท้าพริ้งจะอยู่เฉลี่ยราคาคู่ละประมาณ 200 ยูโร (9,000 บาท) เพราะลุคของเราดูดี ดูแพง แต่ว่าถูกกว่าของแบรนด์เนมที่เป็นตลาดกลุ่มเดียวกันอย่าง มิวมิว มาร์กจาคอบ ของเขา 400 ยูโรขึ้นไป ช่วงที่มีเซลจะขายได้เยอะมาก แต่กฎหมายของประเทศฝรั่งเศสเขาห้ามจัดเซลส์ตามใจชอบ และเวลาเซลส์ก็ต้องเต็มที่ สุดสุดก็ 60% คิดว่าถ้าเจาะตลาดนี้ได้แล้วเราจะทำแบรนด์ที่ราคาต่ำลงได้ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นใคร? ทั่วๆ ไป บางทีได้จากการออกงานจัดบู๊ธบ้าง หรือผ่านมาที่หน้าร้านบูติคโดยบังเอิญ บางครั้งเราเข้าไปหาเขาเองก็มี อย่างมีผู้หญิงคนหนึ่งเขาเป็นดีไซเนอร์ทำสร้อยคอจิวเวลรี่ แล้วเขาไปโชว์ที่อัมสเตอดัมแฟชั่นวีค เขามาชวนพริ้งให้ไปโชว์รองเท้ากับเขา เราก็ไป แล้วในงานเดียวกันนี้มีบูติคหรูขายแต่แบรนด์เนม เขามาดูแฟชั่นโชว์เห็นรองเท้าเราก็ชอบ เข้ามาติดต่อ ส่วนลูกค้าที่เดินเข้ามาในบูติคมีทุกรูปแบบ แม้แต่ผู้ชายก็อยากมาซื้อ ถามว่ามีไซซ์ 44-45 ไหม หรือเป็นเซเลบริตี้ก็มี ดาราก็มี พริ้งไม่ค่อยรู้จัก แต่ถ้าเพื่อนอยู่เพื่อนเขารู้เขาจะคอยบอกว่านี่คือดาราฝรั่งเศส รองเท้าของพริ้งส่วนมากลูกค้าเขาบอกว่าชอบเพราะไม่ซ้ำแบบใคร หาที่อื่นไม่ได้ (ยิ้ม) เอาไอเดียมาจากไหน? พยายามไปดูนิทรรศการให้มากที่สุด ไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น เพลง คอนเสิร์ต งานแสดง อย่างน้อยสัปดาห์หนึ่งต้องไปดู-ไปดูอะไรก็ได้ มันจะมีงานแบบอาร์ตโอเพ่นนิ่ง พยายามไปคุยกับเพื่อนบ้าง คนรู้จักบ้าง ได้ไอเดียตลอด แต่จะไม่ซื้อแมกกาซีนแฟชั่นมาดู ไม่อยากซึมซับโดยไม่รู้ตัว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นของๆ เราจะออกไปเหมือนแบรนด์อื่น ถ้าหากดูจะดูแมกกาซีนอาร์ตมากกว่า เด็กไทยมาเรียนแฟชั่นที่ฝรั่งเศสเยอะไหม? เยอะค่ะ เยอะขึ้นมาก และก็ได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์เยอะ พริ้งมีเพื่อนที่เป็นดีไซเนอร์ แต่รุ่นโตกว่า เขาจะชมให้ฟังตลอดว่าเด็กไทยเก่ง คลุกคลีในวงการแฟชั่นอย่างนี้มองว่าแบรนด์ไทยจะไประดับโลกได้ไหม? ได้ค่ะ แต่ถ้าจะให้เกิดจริงๆ รัฐบาลและเอกชนต้องช่วยสนับสนุนอย่างจริงจัง เพราะปัญหาหลักแฟชั่นของเมืองไทย คือภาคดีไซเนอร์กับอุตสาหกรรมไม่ประสานงานกัน ดีไซเนอร์จะไม่มีทางไปรอดถ้าไม่มีอุตสาหกรรมรองรับ อย่างการตั้งโรงงานเองมันยากเย็นมาก แต่มันก็ทำให้เราไปได้ไกลกว่าคนอื่น เพราะเราไม่ต้องมานั่งง้อโรงงานชาวบ้าน แล้วเราต้องการคุณภาพความแน่นอน ส่งตรงเวลา แต่อย่างพวกยังดีไซเนอร์ ถ้าเขาไปซื้อผ้าสำเพ็งมาแล้วไม่มีผ้าขายจะทำยังไง คือโรงงานเสื้อผ้าไทยมีเยอะ ดีไซเนอร์ก็เยอะ แต่ไม่ร่วมมือกัน โรงงานก็เอาแต่ก๊อบปี้แบรนด์เนม ดีไซเนอร์ก็ทำแต่ซี่รี่ย์เล็กๆ พริ้งมองว่าถ้าร่วมมือกันน่าจะไปได้ไกล รัฐบาลก็ต้องมีแผนงานเป็นเรื่องเป็นราว อาจจะต้องยอมลงทุนอย่างน้อย 2 ปีติดต่อกัน แล้วอยู่เมืองแฟชั่นนานๆ คนฝรั่งเศสเป็นยังไง? คนปารีสเขาจะตรงกันข้ามกับคนอิตาลี เขาจะไม่ฉูดฉาด จะใส่แต่สีดำ คือวัฒนธรรมของฝรั่งเศสเขาจะไม่โอ้อวด แต่เขาจะชอบทำตัวคลาสสิคเรียบๆ ที่คนมักพูดกันว่า ฝรั่งเศสคือเมืองแฟชั่น เพราะว่าแฟชั่นมันเป็นวัฒนธรรมของเขา เหมือนอยู่ในสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นความพิถีพิถัน ความละเอียดละมุนละไม ทุกดีเทลต้องเฟอร์เฟ็คต์ อะไรอย่างนี้ แล้วมีความสวยงามในสายเลือด แต่มันไม่เกี่ยวกับการโชว์ออฟแบบสไตล์ของอเมริกาหรืออิตาลี ที่ต้องใส่เพชรเยอะๆ แต่ที่นี่เขาแค่มุกเส้นเดียว ให้มันพอดี ไม่เกินเลย แล้วพริ้งเป็นยังไง? แรง- -จะแต่งตัวแรง ใส่สายเดี่ยว นุ่งผ้าถุง อะไรอย่างนี้ ชอบสะสมผ้าไทย ชอบนุ่งโสร่ง เป็นคนชอบแต่งตัว ชอบศิลปวัฒนธรรม ชอบหมดเลย ดนตรีก็ชอบ เรียนเต้นด้วย เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถึงเป็นลูกคนเดียวแต่ที่บ้านให้อิสระ "ที่บ้านเขาชินแล้วว่าเราเป็นอย่างนี้" หน้า 17 |