วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กทม.เร่งปราบยุงลาย/สกัด “ชิคุนกุนยา “ระบาด

 กทม.เร่งปราบยุงลาย/สกัด "ชิคุนกุนยา "ระบาด
ข่าววันที่ 16 พฤษภาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

 

 

 

                พญ.มาลินี  สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯกทม.กล่าวถึงมาตรการเตรียมความพร้อมในการรับมือปัญหาการระบาดของโรคชิคุนกุนยาในพื้นที่กทม.ว่า จากการรายงานผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า โรคชิคุนกุนยายังไม่มีการระบาดเข้ามาในพื้นที่ของกทม.แต่อย่างใด พบแต่การระบาดในพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ได้ดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันปัญหา โดยให้สำนักอนามัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประสานขอความร่วมมือกับจังหวัดปริมณฑลพื้นที่โดยรอบของกทม.ในการฉีดพ่นยากำจัดยุงลาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดของโรคชิคุนกุนยา ซึ่งผลการติดตามประเมินผลภายหลังการดำเนินการพบว่ายุงลายลดลงเป็นที่น่าพอใจ จึงให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

                 รองผู้ว่าฯกทม.กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้โรคชิคุนกุนยาจะไม่ได้ทำอันตรายแก่ผู้ติดเชื้อจนถึงแก่ชีวิต แต่ก็สร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานให้อย่างมาก ประกอบกับไทยตั้งอยู่บนพื้นที่เขตร้อนชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการขยายพันธุ์ของยุงลาย ดังนั้น กทม.จึงจะดำเนินมาตรการกำจัดยุงลายสาเหตุของการระบาดของโรคอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดในพื้นที่กทม. รวมทั้งเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก ปัญหาสำคัญในการคร่าชีวิตประชาชนให้หมดไปด้วย

 
 
 

 

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=62&nid=38165


Hotmail® has a new way to see what's up with your friends. Check it out.

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิงไม่ควรพลาด

Pic_5266

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

• ลูกพรุน (Prunes)
ลูกพรุนเป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามทีต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจะเป็นสีชมพู-ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหต เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัยจนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาดคือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาดลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว

• ถั่ว
ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม "ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ" ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก


• บรอคโคลี่

เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลายเพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังจึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย




• กล้วยไข่

กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือเบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงักความเสื่อมในส่วนต่างๆของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือสิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้นสิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆพร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ(Detoxification) ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกันดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเองก็คือคุณต้องรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มากซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์(Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม

• ฝรั่ง
คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ

• แอปเปิ้ล
มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ "เพคติน" แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว "เพคติน" นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดโคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรืออ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวันช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่าเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันและแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้นและพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย

• ส้ม
แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่งเพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะนอกจากนี้หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ

ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือเภสัชโภชนา โดย ภก. สรจักร ศิริบริรักษ์

 
http://www.thairath.co.th/content/life/5266



Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ป่าชุมชนสมบูรณ์เห็ดโคนสะพรั่ง

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6740 ข่าวสดรายวัน


ป่าชุมชนสมบูรณ์เห็ดโคนสะพรั่ง




ปราจีนบุรี - นายนิรันดร์ นะตาปา ผู้ใหญ่บ้านเนินหินตั้ง หมู่ 10 ต.หนองแก้ว อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี เผยว่าป่าชุมชนหมู่บ้านที่เพิ่งได้รับงบประมาณกว่า 80,000 บาท เพื่อนำมาบริหารจัดการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมฟื้นฟูรักษาป่าไม้สัตว์ป่าพื้นที่ป่าชุมชนเนื้อที่กว่า 500 ไร่นั้น จากสภาพที่ฝนเริ่มตกในต้นฤดูประกอบกับสภาพอากาศอบอ้าวทำให้เห็ดระโงก และเห็ดโคน เริ่มออกดอกสะพรั่งแล้ว พบว่าเป็นป่าชุมชนปากทางเข้าน้ำตกธารทิพย์ ติดอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มรดกโลกมีชาวบ้านเก็บเห็ดระโงกเพิ่งจะเริ่มออกรับเดือนหกที่ฝนฟ้าเริ่มตก ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านพากันเก็บหาเริ่มออกหาตั้งแต่ 05.00 น. ที่เป็นวิถีชีวิตชาวบ้านหาเป็นอาหารจากป่าชุมชนเลี้ยงดูครอบครัว วิธีการโดยเดินหาตามพื้นดินใช้มือเก็บโดยนำไปเลี้ยงครอบครัว นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านหาขายเช่นกันราคากิโลกรัมละ 70 บาท

สำหรับป่าชุมชนนี้เรียกป่าโคกเขาดิน มีเห็ดระโงกขึ้นจำนวนมากโดยเฉพาะเวลาที่ฝนชุกอากาศอบอ้าว จะมีชาวบ้านหากันเต็มป่า เห็ดระโงกที่พบมี 2 พันธุ์คือสีเหลืองกับสีขาว โดยสีเหลืองดอกเล็กกว่า ระโงกสีเหลืองกินดีกว่ามีลักษณะเป็นเมือก หลักการดูเห็ดระโงกจะดูที่ดอกโผล่ออกมา

หน้า 30

http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd2NtOHdOREV6TURVMU1nPT0=&sectionid=TURNeE13PT0=&day=TWpBd09TMHdOUzB4TXc9PQ==

Insert movie times and more without leaving Hotmail®. See how.

พุทธมีหลากหลาย"สำนัก" ในประวัติศาสตร์ไทย

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11386 มติชนรายวัน


พุทธมีหลากหลาย"สำนัก" ในประวัติศาสตร์ไทย


คอลัมน์ สยามประเทศไทย

โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ



พุทธศาสนาแบบรวม หรือแบบหลากหลาย ควรเป็นพุทธศาสนาแบบเก่าสุดตั้งแต่แรกเข้ามาประดิษฐานในสุวรรณภูมิ

สมมุติว่าพุทธศาสนาในอินเดียยุคพระเจ้าอโศก เป็นพุทธศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นของแท้ไม่มีอะไรเจือปน(ขอย้ำว่า สมมุติๆ ไม่ใช่จริงๆ)

เมื่อหัวหน้าเผ่าพันธุ์สุวรรณภูมิยอมรับนับถือพุทธแต่โดยดี(ความจริงมีการงัดข้อสูงมาก) ก็ต้องเปลี่ยนจากศาสนาเดิมของตนคือผี(หรือศาสนาผี)มานับถือพุทธ

แต่ผีไม่ได้หมดไปสิ้นซากจากความเชื่อที่มีมานานมาก ฉะนั้นหัวหน้าเผ่าพันธุ์ที่รับพุทธแล้ว จึงต้องรักษาพิธีกรรมผีบางอย่างไว้ เช่น ทำขวัญ แล้วดัดแปลงพิธีทำขวัญของผีให้กลมกลืนกับพุทธ เช่น มีพิธีทำขวัญนาคก่อนบวชเป็นภิกษุ เป็นต้น

นี่แหละ น่าจะเป็นการประสมกลมกลืนระหว่างพุทธกับผีเป็นครั้งแรก แล้วต่อจากนั้นจะมีตามมาอีกมาก


กว่าจะเป็นศาสนาพุทธที่เรารู้จักอย่างดีสมัยนี้ ได้ผ่านกาลเวลามานานราว 2,000 ปี ผ่านรัฐต่างๆหลายรัฐ เช่น ทวารวดี, "ศรีวิชัย", ละโว้, อโยธยา, ฯลฯ แล้วยังผ่านลัทธินิกายอีกหลากหลาย เช่น ลังกาวงศ์(เก่า) มีพระพุทธสิหิงค์เป็นสัญลักษณ์, ลังกาวงศ์(ใหม่) มีพระแก้วมรกตเป็นสัญลักษณ์ เป็นต้น

ฉะนั้น พุทธที่เราคิดว่ารู้จักดีนี้ ต่างจากพุทธยุคสุวรรณภูมิไปแล้ว ซึ่งต้องไม่เหมือนพุทธของพระเจ้าอโศกแหงๆ แต่เป็นยังไง? ไม่รู้

คนไทยทั่วไปมักสรุปว่าพุทธในประวัติศาสตร์ไทย ย่อมงดงามสมถะเป็นเนื้อนาบุญอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งประเทศเยี่ยงพุทธปัจจุบัน ทั้งๆปัจจุบันก็ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียว

ประเด็นนี้ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ อ้างถึงงานวิจัยของกมลา ติยวณิชย์ แล้วสรุปได้ว่า

"ก่อนการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น พุทธศาสนาของไทยประกอบด้วย"สำนัก"ของอาจารย์ต่างๆจำนวนมาก สำนักเหล่านี้ตีความพระวินัยแตกต่างกัน ซึ่งทำให้มีวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่การให้จุดเน้นแก่คำสอนก็แตกต่างกันมาก หาได้มีพระพุทธศาสนาที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ แม้ในเมืองเดียวกันก็อาจมีสำนักที่แตกต่างกันหลายสำนัก หรือแม้แต่ในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน ก็มีสำนักที่ต่างกันเองด้วย

นอกจากนี้แต่ละสำนักก็มีการผสมกลมกลืน (syncretism)กับศาสนาอื่นๆ ในข้อนี้ต้องเข้าใจด้วยว่าศาสนาอื่นๆที่เข้ามาผสมปนเปนั้นย่อมแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น บางท้องถิ่นเคยเป็นศูนย์กลางการศึกษาของศาสนาฮินดู หรือพุทธมหายาน บางท้องถิ่นไม่ใช่ แต่อาจเคยเป็นแหล่งที่การนับถือผีมีความแข็งแกร่ง

ฉะนั้นแม้แต่ยอมรับว่าพุทธศาสนาไทยได้ผสมกลมกลืนกับศาสนาอื่น ผลบั้นปลายของการผสมกลมกลืนก็ยังแตกต่างกันในแต่ละสำนักอยู่นั่นเอง"

พุทธศาสนาที่มีจารีตแตกต่างหลากหลายเช่นนี้แหละ อาจารย์นิธิบอกว่าเป็นศาสนาของชาวนาแบบหนึ่ง และของราชสำนักก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ในที่นี้ขอเรียกว่าพุทธศาสนาแบบรวม หรือพุทธศาสนาแบบหลากหลาย ซึ่งแตกต่างจาก "พุทธศาสนาแห่งชาติ" ที่เพิ่งเกิดขึ้นในสมัย ร. 5 นี้เอง

เมื่อพุทธจริงๆ มีหลากหลาย การตีความอธิบายต่างๆย่อมหลากหลายด้วย ไม่ว่าเรื่องเถรวาทหรืออาจารยวาท ฯลฯ


หน้า 20
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra03130552&sectionid=0131&day=2009-05-13


Insert movie times and more without leaving Hotmail®. See how.

"วันนักเขียน" และก้าวต่อไป "สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย" ในวาระ "การอ่านแห่งชาติ"

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11386 มติชนรายวัน


"วันนักเขียน" และก้าวต่อไป "สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย" ในวาระ "การอ่านแห่งชาติ"


โดย เชตวัน เตือประโคน




มอบ "รางวัลศรีบูรพา"
" "วันนักเขียน" ตรงกับวันไหน?"

คำถามนี้ หลายคนได้ยินแล้วอาจส่ายหน้า ตอบไม่ได้ โธ่!...อย่าว่าแต่คนส่วนใหญ่เลย แม้แต่ผู้สนใจแวดวงการอ่านการเขียนบางคนก็ยังไม่รู้ ยิ่งที่ทำการ "สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย" ด้วยแล้ว บางคนอาจถามกลับ "มีด้วยเหรอ? อยู่ตรงมุมไหนของโลก (วะ)?"

จากปุจฉาข้างต้น ขอวิสัชนาไว้ดังนี้...

5 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันนักเขียน ส่วนที่ทำการสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยนั้น อยู่ที่ ซอยกรุงเทพฯ-นนทบุรี 33 ซึ่งเป็นบ้านที่นักเขียนผู้ล่วงลับนาม ส.บุญเสนอ ได้มอบให้กับสมาคม

วันนักเขียนที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ มีโอกาสได้ไปร่วมเกาะติดกับแวดวงวรรณกรรม ซึ่งมีการจัดงานที่ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ตั้งแต่ช่วงบ่าย ทั้งอภิปรายในหัวข้อ "100 ปี ศักดิ์ศรีคนวรรณกรรม" พูดถึงคุณูปการของนักเขียนที่ครบ 100 ปี ชาตะกาล ในปีนี้ อาทิ เปลื้อง ณ นคร, ร.จันทพิมพะ และ ส.บุญเสนอ การอภิปรายหัวข้อ "คิดถึง "รงค์ วงษ์สวรรค์ พญาอินทรีแห่งฟากฟ้าวรรณกรรม"

งานวันนั้น คับคั่งด้วยนักเขียนทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นใหม่ ตลอดผู้สนใจแวดวงวรรณกรรมอีกเพียบ!!!

อาทิ มนัส สัตยารักษ์, ใหญ่ นภายน, อั๋น สัตหีบ, ช่วง มูลพินิจ, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, วัฒน์ วรรลยางกูร, ปรีดา ข้าวบ่อ, ณัฐการณ์ ลิ่มสถาพร, ณรงค์ จันทร์เรือง, อาทร เตชะธาดา, วินทร์ เลียววาริณ, สุมิตรา จันทร์เงา, บินหลา สันกาลาคีรี, วรพจน์ พันธุ์พงศ์, ศิริวร แก้วกาญจน์ ฯลฯ นี่เพียงส่วนหนึ่ง หากนับจนครบเกรงพื้นที่แห่งนี้จะไม่พอ

ในงานปีนี้ นอกจากจะมีการมอบรางวัล "ศรีบูรพา" ให้กับ "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" แล้ว ยังมีอีกหนึ่งรางวัล นั่นคือ การประกวดเรื่องสั้น รางวัลอิวากิ ซึ่งจัดโดย นักแปลชาวญี่ปุ่น ผู้แปลผลงานของนักเขียนไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นมาแล้วมากมายอย่าง "อิวากิ ยูจิโร" ซึ่งงานนี้เขาลงทุนลงแรงทำประกาศเกียรติคุณด้วยตนเอง พร้อมมาร่วมงาน มอบรางวัลให้กับผู้ได้รับรางวัล กล่าวให้กำลังใจกับนักเขียนไทย สร้างความหวัง มอบความสนุกสนานครื้นเครงเป็นอย่างยิ่งในหัวค่ำของวันนั้น

(ซ้ายบน) อภิปราย "100 ปีศักดิ์ศรีคนวรรณกรรม" (ขวาบน) อภิปราย "คิดถึง "รงค์ วงษ์สวรรค์ พญาอินทรีแห่งฟากฟ้าวรรณกรรม" (ซ้ายล่าง) ประยอม ซองทอง กับ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (ขวาล่าง) สุรพันธ์ สายประดิษฐ์


ในงานวันนักเขียน มีหนังสือ 2 เล่ม มอบให้กับผู้ร่วมงาน...

หนึ่งคือ "ปากไก่" วารสารของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย และอีกหนึ่ง คือ "ศรีบูรพา" วารสารกองทุนศรีบูรพา

เล่มแรกมีเนื้อหาเกี่ยวกับแวดวงการอ่าน-การเขียนหลากหลาย เช่น นักเขียนรุ่นใหม่อ่านอะไร?, สัมภาษณ์ ดร.สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร, 100 ปี นักเขียนไทย ส.บุญเสนอ ร.จันทพิมพะ, พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ, นายตำรา ณ เมืองใต้, "รงค์ วงษ์สวรรค์ อินทรีสวนอักษร ติดปีกสู่สวรรค์, เรื่องสั้น ฯลฯ

ส่วนเล่มหลังนั้นเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ได้รับรางวัลศรีบูรพาคนล่าสุด

ชมัยภร แสงกระจ่าง นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เขียนไว้ในบทนำ "ปากไก่" ว่า...

...ครั้งนี้ที่ตั้งใจสมัครทำงาน (นายกสมาคม) ต่อ ด้วยมีงานของสมาคมหลายส่วนที่ต้องการดำเนินการให้แล้วเสร็จ อาทิ โครงงานพิพิธภัณฑ์บ้านนักเขียน เสาว์ บุญเสนอ งานโครงการต่างๆ ที่ตกลงร่วมมือกับ บมจ.ธนาคารกรุงไทย และการอบรมเยาวชนในเรื่องการอ่านการเขียน งานด้านวรรณกรรมสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ที่ดำเนินโครงการกับมาเลเซียค้างอยู่ และเริ่มเปิดโครงการใหม่กับจีนใต้ (หนานหนิง)...

...รวมทั้งงานหลักของสมาคม คือการสัมมนาประจำปี ซึ่งในสองปีที่ผ่านมา ได้มุ่งเป้าไปที่นักเขียนและนักอ่าน ในส่วนปีนี้จะเป็นการสานต่อจากนักเขียนและนักอ่านไปสู่ระบบการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับการประกาศของรัฐบาลให้ปีนี้ เป็นวาระการอ่านแห่งชาติ...

ชมัยภร แสงกระจ่าง


ชมัยภรรับตำแหน่งนายกสมาคมเป็นครั้งที่สอง โดยคณะกรรมการชุดนี้จะมีวาระการทำงาน 2 ปี คือ พ.ศ.2552-2554

น่าสนใจว่าในห้วงเวลาที่รัฐบาลประกาศให้ "การอ่าน" เป็น "วาระแห่งชาติ" มีการส่งเสริมการอ่านและจะสนับสนุนโครงการหนังสือเล่มแรก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เองก็รับลูกด้วยการ แต่งตั้ง "คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต" ด้าน สมาคมนักเขียนฯจะถือโอกาสอันดีนี้ เดินหน้ารุดงานเพื่อคุณภาพของประเทศชาติอย่างไร?

อยากรู้ จึงหยิบโทรศัพท์กดหมายเลขสอบถามเอาความจากชมัยภรทันที

"สำหรับสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย จากนี้คงต้องสานงานที่ทำต่อเนื่องมาจากคณะกรรมการชุดที่แล้ว เช่น กิจกรรม มุมห้องสมุด ที่ทำร่วมกับ บมจ.ธนาคารกรุงไทย และรายการสัมมนาต่างๆ ทั้ง 4 ภาคทั่วประเทศ โดยตั้งใจไว้ว่าจะเริ่มจากการสัมมนานักเขียนก่อน จากนั้นก็มาเป็นสัมมนานักอ่าน ในพื้นที่ภูมิภาคโดยไม่ให้ซ้ำกับที่เคยทำเมื่อปีที่แล้ว

"ในส่วนรูปแบบของกิจกรรม นอกจากจะเป็นการบรรยายของนักเขียนที่เราจัดไปแล้ว จะพยายามทำให้ผู้ฟังได้มีส่วนร่วม ได้ร่วมอภิปราย เพราะเราอยากได้ข้อมูลจากคนในพื้นที่จริงๆ อยากรู้ว่าเขาอ่านอะไร เพราะแน่นอนว่าการอ่านนั้นเป็นพื้นฐานของการเขียน" ชมัยภรกล่าว และว่า สำหรับการทำงานกับคณะกรรมการการส่งเสริมการอ่านเพื่อสังคมแห่งการเรียนรู้ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการทำการบ้านว่า แต่ละองค์กรมีโครงการอะไรมาเสนอ ให้จัดทำรายละเอียดมาในการประชุมกันครั้งต่อไป

ในวาระการอ่านแห่งชาติมี "คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต" เป็นตัวตั้ง

จากนั้นองค์กรต่างๆ ที่ทำกิจกรรมส่งเสริมด้านการอ่าน การเขียน ด้วยดีเสมอมา เป็นต้นว่า สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย, สมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย, อุทยานการเรียนรู้ (ทีเค ปาร์ค), บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ฯลฯ นำโครงการไปคุยกันกับคณะกรรมการซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ในที่ประชุม เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของกิจกรรม

นี่เป็นการสนับสนุนจากภาครัฐ ใน "วาระการอ่านแห่งชาติ"

คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ผลจะออกมาอย่างไร เพราะเท่าที่ใครต่อใครรู้สึก กิจกรรมอะไรก็ตามที่ออกมาจากภาครัฐอย่างนี้ ขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก ล่าช้าเหลือเกิน กว่าที่กิจกรรมจะขับเคลื่อนไปได้ บางทีก็เปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนคณะกรรมการกันวุ่นแล้ว

จึงไม่อยากให้คาดหวังมาก (เพื่อจะได้ไม่ผิดหวัง)

หากแต่สิ่งหนึ่ง ที่เป็นปัญหาหลักของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ที่อยากให้รัฐยื่นมือเข้ามาช่วยคือเรื่องการเงิน

นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย บอกว่า ปัญหาหลักของสมาคมคือ การไม่มีรายได้ประจำ ทุกคนที่มาทำงานก็เป็นอาสาสมัครและมาด้วยใจ ที่ผ่านมาก็ทำงานไป หาผู้อุปถัมภ์ด้านการเงินไป ซึ่งค่อนข้างเหนื่อย และงานไม่ขับเคลื่อนเท่าที่ควรจะเป็น

ที่ผ่านมา คงต้องขอปรบมือให้กับองค์กรต่างๆที่สนับสนุนสมาคมด้วยดีมาตลอด

แต่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐจะลองหันมามอง และสนับสนุนอย่างจริงๆ จังๆ บ้าง?


หน้า 20
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01130552&sectionid=0131&day=2009-05-13


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.

ความพิการในเมืองแห่งมลพิษ



--- On Tue, 5/12/09, JeaB <kwanruthai@dpiap.org> wrote:

From: JeaB <kwanruthai@dpiap.org>
Subject: ความพิการในเมืองแห่งมลพิษ

 

ความพิการในเมืองแห่งมลพิษ

 

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

8 พฤษภาคม 2552 21:07 น.

 

 

       หลัง เลิกเรียนทุกวัน หลี่ ซันซัน จะขับรถไปรับลูกๆ กลับจากโรงเรียน เด็กทุกคนจะนั่งอัดกันบนหลังรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อ และระหว่างที่มอเตอร์ไซค์คันนั้นเคลื่อนผ่านเนินเขาหลายลูกเพื่อนำพวกเขา กลับสู่บ้าน เด็กๆ จะจับมอเตอร์ไซค์ยึดไว้แน่น ต่างพากันหัวเราะอย่างขบขัน และพยายามขืนตัวไม่ให้หล่นจากมอเตอร์ไซค์
       

       บน ถนนสายหลักที่ขนานไปกับเส้นทางที่หลี่ ซันซัน และลูกๆ ใช้เดินทางกลับบ้านนั้น เราจะเห็นรถบรรทุกถ่านหินแล่นสวนทางมาไม่ขาดสาย เพื่อนำถ่านหินจากหุบเขาแห่งนี้ไปสู่ที่ต่างๆ ในจีน และหุบเขาแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยโรงงานเหล็กกล้าและอุตสาหกรรมหนัก
       
       ครอบครัวหลี่อาศัยอยู่ในบ้านที่ขุดเป็นโพรงเข้าไปในช่องของหุบเขา ที่นั่น ฮง เหว่ย ลูกชายวัยหกขวบของพวกเขา กำลังนั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวอย่างเงียบๆ โดยมีสมุดเรียนวางอยู่ตรงหน้า เขายิ้มอย่างอายๆ และเอาใบหน้าซุกตักพี่สาวเมื่อผู้มาเยือนพยายามชวนเขาคุย ที่ มือข้างขวาของ ฮง เหว่ย มีนิ้วโป้ง 2 อันติดมาตั้งแต่เกิด ขณะที่พี่สาววัยสิบสี่ปีของเขา หลี่ เซีย เกิดมาพร้อมด้วยเท้าซ้ายที่บิดงอและต้องเดินกระโผลกกระเผลกอย่างยากลำบาก
       
       ครอบครัวหลี่ก็เหมือนกับครอบครัวอื่นๆ ในซันซี พวกเขายากจนเกินกว่าที่จะพาลูกๆ ไปหาหมอได้ และพวกเขาไม่รู้ว่าความผิดปกติของลูกๆ นั้นมีสาเหตุจากอะไร พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บงำความสงสัยเอาไว้
       
       "อากาศรอบๆ บ้านเราไม่ค่อยดีนัก ถ้าวันไหนอากาศแย่มากๆ เราก็หายใจกันลำบาก ที่หุบเขานั้นมันดูมัวซัวและมีหมอกอยู่ตลอดเวลา" หลี่ ซันซัน บอกกับผู้มาเยือน

มลพิษที่ถูกปล่อยออก จากโรงงานอุตสาหกรรม เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทารกในมณฑลซันซีประสบภาวะพิการมาตั้งแต่ เกิด แม้รัฐบาลจีนได้สัญญาว่า จะทำให้ประเทศมีอากาศและน้ำที่สะอาด แต่ในมณฑลห่างไกล อุตสาหกรรมมักจะมาก่อนสภาพแวดล้อมที่สะอาดเสมอ

       มณฑลซันซีจัดเป็นแหล่งมลพิษอันดับหนึ่งของโลก อัตราความพิการของเด็กแรกเกิดในมณฑลนี้มีสูงกว่าระดับเฉลี่ยในจีนถึง 6 เท่าตัว
       
       เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา อัน ฮวานเซี่ยว ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนครอบครัวในมณฑลซันซี ได้กล่าวยอมรับกับหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ ว่าความพิการตั้งแต่แรกเกิดที่มีอัตราสูงในซันซี มีส่วนสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมเป็นพิษ
       
       ขณะที่แพทย์ในซันซียังไม่เห็นด้วยกับข้อความนี้นัก โดยแพทย์รายหนึ่งที่เปิดคลินิกในตำบลหนึ่ง กล่าวว่า การสำรวจที่ทำขึ้นในท้องถิ่นเมื่อปี 2545 สรุปไว้ว่า ภาวะความพิการตั้งแต่แรกเกิดมีสาเหตุมาจากการขาดสารอาหาร ดังนั้น หน่วยงานราชการจึงตัดสินใจว่าจะแจกจ่ายแป้งทำขนมที่มีสารอาหารไปให้แก่ครอบ ครัวยากจนในแถบนั้น
       
       ใน โรงพยาบาลสำหรับคลอดบุตรที่อำเภอจงหยาง มณฑลซันซี มีการรณรงค์เรื่องโทษจากการขาดสารอาหาร โดยมีการติดโปสเตอร์เพื่อเตือนให้หญิงตั้งครรภ์รับประทานอาหารที่ดีและมี ประโยชน์
       

       จ้าว ซูเจิ้น หญิงมีครรภ์วัย 23 ปีที่มาทำอัลตร้า ซาวด์ ที่โรงพยาบาลแห่งนี้เพราะครรภ์ของเธอมีอายุครบ 9 เดือนแล้ว กล่าวว่า "นี่คือลูกคนแรกของเราและเราก็อยากรู้ว่าเด็กจะสมบูรณ์ดีไหม สามีของฉันกังวลใจมาก เราพูดถึงเรื่องนี้กันตลอด จึงได้ตัดสินใจมาโรงพยาบาล"
       
       ขณะที่ครอบครัวจางซึ่งอาศัยอยู่ในตำบลเก้าเจี่ยโกว ก็ไม่เคยได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเหมาะสมเช่นกัน ลูกทั้งสองของเขาคือ ยี่ เหมย วัย 13 และ ยี่หลง วัย 9 ขวบ ต่างก็มีภาวะความบกพร่องด้านจิตใจมาตั้งแต่เกิด โดยยี่หลงพูดไม่ได้ ขณะที่ยี่เหมยพูดแค่คำเดียว หลังจากนั้นก็จะใช้เวลาทั้งวันนั่งฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือ
       

       และตอนนี้ แม่ของพวกเขาก็เพิ่งให้กำเนิดน้องคนเล็ก ยี่หวู่ ที่กำลังนอนอยู่บนผ้าห่มที่วางอยู่บนเตียงหลังเดียวที่มีอยู่ในบ้านหลังนี้ โดยมีกล่องกระดาษแข็งวางอยู่บนหัวนอน มารดาของเด็กๆ เชื่อว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า ยี่หวู่เกิดมาพร้อมความผิดปกติใดๆ หรือไม่ เธอได้แต่เพียงจับจ้องไปที่เขา พร้อมด้วยความหวังว่าลูกคนนี้จะเป็นปกติเช่นเด็กอื่นๆ
       
       "ทุกครั้งที่ฉันจ้องมองเขา เขาดูเหมือนจะปกติดี" เธอกล่าวอย่างมีความหวัง และยังแอบหวังด้วยว่าเธออยากให้เขาเป็นหมอเมื่อเขาโตขึ้น
       
       แม้รัฐบาลจีนได้สัญญาว่า จะทำให้ประเทศมีอากาศและน้ำที่สะอาด แต่ในมณฑลห่างไกลนั้นอุตสาหกรรมมักจะมาก่อนสภาพแวดล้อมที่สะอาด และบนพื้นสกปรกของบ้านหลังหนึ่งในซันซี ความหวังทั้งหมดของครอบครัวได้ขึ้นอยู่กับเด็กทารกคนหนึ่งเท่านั้น (ผู้จัดการออนไลน์ http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000048946 )

 

 

 

ขอบคุณค่ะ

ขวัญฤทัย  สว่างศรี

 

 

 

Ms. Kwanruthai Savangsri

National Project Coordinator

********************************************************************

Disabled Peoples' International Asia-Pacific Region (DPI/AP)

29/486 Moo 9, Soi 12, Muang Thong Thani, Bangpood Sub-district , Pakkred District Nonthaburi Province 11120 THAILAND

Tel: 66-2503-4268 Fax: 66-2503-4269

Email: kwanruthai@dpiap.org and iam_jeabja@hotmail.com

Website: http://www.dpiap.org/

********************************************************************

 

 


วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ตั้งหัวหน้าทีมงานตำรวจพระ นครปฐมคุมเข้มปัญหาสงฆ์

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6737 ข่าวสดรายวัน


ตั้งหัวหน้าทีมงานตำรวจพระ นครปฐมคุมเข้มปัญหาสงฆ์





ทุกวันนี้ปัญหาของพระสงฆ์ล้วนมีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการบิณฑบาตขาดความสำรวม เรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต เที่ยวเร่ร่อนเพื่อหาลาภสักการะ พักค้างแรมตามบ้านเรือน ปักกลดในย่านชุมชน นุ่งห่มไม่เรียบร้อย เข้าร่วมพิธีสงฆ์โดยไม่ได้รับฎีกา กล่าวถ้อยคำไม่เหมาะสม ตั้งสำนักทรง พักอาศัยอยู่ในที่อโคจร เล่นการพนัน เสพยาเสพติด ดื่มสุรา ก่อความวุ่นวายในสถานที่ราชการ และอื่นๆ อีกมากมาย

คณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้งพระวินยาธิการ หรือตำรวจพระ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย

พระวินยาธิการมีหน้าที่ตรวจตราชี้แจงแนะนำพระภิกษุสามเณรให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช และคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตน

จรรยาบรรณของพระวินยาธิการ ต้องมีความอดทน อดกลั้น ใจเย็น สุขุมรอบคอบ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เห็นต่อประโยชน์ส่วนรวม เสียสละ พร้อมปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ

ที่ผ่านมาบทบาทและหน้าที่ของพระวินยาธิการถือว่าสัมฤทธิผล มีเหตุเกิดขึ้นที่ใด ท่านไปจัดการได้ทันที


ล่าสุดถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่มีคำสั่งคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม ประกาศแต่งตั้งคณะพระวินยาธิการส่วนกลาง เพื่อประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์นครปฐม และเพื่อแบ่งเบาภาระของเจ้าคณะผู้ปกครอง อาศัยอำนาจตามความในข้อ 15 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐมจึงแต่งตั้งพระวินยาธิการส่วนกลาง ในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมขึ้น ประกอบด้วย พระสงฆ์ผู้มีรายนามดังต่อไปนี้
1.พระพิพัฒน์วิริยาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอพุทธมณฑล วัดไร่ขิง ประธานที่ปรึกษา
2.พระพิมลสมณคุณ เจ้าคณะอำเภอสามพราน วัดไร่ขิง รองประ ธานที่ปรึกษา
3.พระครูปราการลักษาภิบาล เจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน วัดใหม่ปิ่นเกลียว ที่ปรึกษา
4.พระครูถาวรศีลวัตร เจ้าคณะอำเภอบางเลน วัดลานคา ที่ปรึกษา
5.พระครูนนทสิริคุณ เจ้าคณะอำเภอดอนตูม วัดลำเหย ที่ปรึกษา
6.พระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี วัดสำโรง ที่ปรึกษา
7.พระมหาสมบูรณ์ ทัสสธัมโม เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม วัดพระงาม ที่ปรึกษา
8.พระครูวิบูลสิริธรรม รองเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี วัดตุ๊กตา
9.พระครูอาทรภัทรกิจ รองเจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน วัดโพธิ์งาม
10.พระครูพิทักษ์สุขวัฒน์ รองเจ้าคณะอำเภอบางเลน วัดสุขวัฒนาราม ที่ปรึกษา

11.พระครูพิศาลสาธุวัฒน์ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม วัดพะเนียงแตก ที่ปรึกษา
12.พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ วัดไผ่ล้อม หัวหน้าพระวินยาธิการ
13.พระครูศรีสุตากร วัดกลางบางพระ รองหัวหน้าพระวินยาธิการ
14.พระครูสังฆรักษ์พรหมลิขิต ยโสธโร วัดวังตะกู
    รองหัวหน้าพระวินยาธิการ
15.พระครูปลัดสาธุวัฒน์ วัดวังน้ำเขียว พระวินยาธิการ
16.พระครูพิศิษฏ์สรการ วัดไร่ขิง พระวินยาธิการ
17.พระมหาพิทยา ปริญาโณ วัดห้วยจระเข้ พระวินยาธิการ
18.พระสมุห์สังข์ชัย ฐานิสสโร วัดคลองเสมียนตรา พระวินยาธิการ 19.พระมหาปัญญา ปริญาโณ วัดทุ่งสีหลง พระวินยาธิการ
20.พระปลัดเอกนุพงษ์ ถิรธัมโม วัดมะเกลือ พระวินยาธิการ
21.พระสุรวิช ธีรธัมโม วัดไผ่ล้อม พระวินยาธิการ
22.พระมหาสหัส ปิยวัณโณ วัดพระปฐมเจดีย์ พระวินยาธิการ
23.พระมหารุ่งธรรม ญาณสิทธิ วัดพระงาม เลขานุการพระวินยาธิการ
24.พระปลัดพิเชษ ธัมมธโช วัดท่าเสา ผู้ช่วยเลขานุการพระวินยาธิการ
25.พระมหาชุติพงษ์ โชติโก วัดไผ่ล้อม ผู้ช่วยเลขานุการพระวินยาธิการ

กล่าวสำหรับวินยาธิการ (อ่านว่า วิ-นะ-ยา-ทิ-กาน) หมายถึงพระภิกษุผู้มีหน้าที่ทำตามพระวินัย เรียกเต็มว่าพระวินยาธิการ เป็นคำใหม่ที่ใช้เรียกพระภิกษุ ผู้ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดให้มีหน้าที่ช่วยเหลือด้านการปกครองคณะสงฆ์ในจังหวัด โดยเฉพาะหน้าที่เกี่ยวกับความเรียบร้อยด้านการปฏิบัติวินัยของพระภิกษุสามเณร

มีหน้าที่แนะนำ ตักเตือนชี้แจงระเบียบปฏิบัติแก่พระภิกษุสามเณรที่ประพฤติไม่เรียบร้อย และหากไม่ปฏิบัติตามหรือทำผิดก็นำตัวส่งเจ้าคณะผู้รับผิดชอบหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้ดำเนินการ ทันที

พระวินยาธิการต้องพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่ง โดยชอบด้วยพระธรรมวินัย กฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคม ต้องสุภาพอ่อนโยน นิ่มนวล ใช้ปิยวาจา และมีสมณสัญญาเพียบพร้อม ต้องปฏิบัติงานเพื่อการคณะสงฆ์ เพื่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง


หน้า 30
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNVEV3TURVMU1nPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHdOUzB4TUE9PQ==


Insert movie times and more without leaving Hotmail®. See how.

หน้าที่เล็กๆ ของนางโชว์

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11383 มติชนรายวัน


หน้าที่เล็กๆ ของนางโชว์


โดย ชุติมา นุ่นมัน aae_ok@yahoo.com




น้องอั้มกำลังปฏิบัติหน้าที่ "เต้น" สร้างรอยยิ้มที่ป้ายรถเมล์

ถึงจะค่ำแล้ว แต่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ฝั่งถนนพหลโยธิน ยังคงพลุกพล่านไปด้วยผู้คน เดินสวนกันไปสวนกันมา หลายคนสีหน้าเคร่งเครียด ครุ่นคิด บ้างก็รีบจ้ำเท้าก้าวไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเพื่อรีบเบียดผู้คนให้ทันขึ้นรถเมล์ฟรีที่เข้ามาจอดเทียบป้าย

เธอยืนมองภาพเหล่านั้นอย่างไม่เบิกบานนัก

แต่พักใหญ่ต่อจากนั้นเห็นสาวชุดขนนกสีแดงจัด มองไกลๆ เหมือนนางโชว์สถานบันเทิง สาวชุดแดงขนนกมาพร้อมลำโพงสำเร็จรูปและกล่องกำมะหยี่สีชมพู ครู่เดียวเธอก็เริ่มเปิดเพลง เป็นเพลงลูกทุ่งจังหวะสนุกๆ ที่คุ้นหู แล้วเธอก็เต้นด้วยท่วงทำนองพลิ้วไหว

ผ่านไปเพลงแล้วเพลงเล่า ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

คนที่ผ่านไปผ่านมา รวมทั้งคนที่รอรถเมล์ เริ่มอมยิ้มกับภาพที่เห็น หลายคนแสดงน้ำใจเอาเงินไปใส่ในกล่องกำมะหยี่สีชมพู

ผ่านไปเป็นชั่วโมง สาวชุดแดงขนนกยังไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย ยังคงวาดลีลาพลิ้วไหวและโปรยยิ้มให้ผู้คนด้วยสีหน้ารื่นรมย์สุดสุด

จนถึงเวลาหยุดพัก เราได้นั่งสนทนากันตรงบันไดทางออกของห้างนั้น

เธอบอกว่า ชื่อน้องอั้ม แต่ไม่พร้อมที่จะบอกชื่อจริง

อั้มบอกว่า มาที่นี่ทุกวันหยุด

มาเต้นหารายได้พิเศษหรือ

"เปล่า มาเต้นคลายเครียด ชอบเต้นเป็นชีวิตจิตใจ เต้นแล้วหายเครียดได้ปลดปล่อย เลยเต้น" บอกพร้อมกับซับเหงื่อบนใบหน้า แล้วเล่าต่อว่า ราว 2 ปีก่อนพอเรียนจบเข้ามาสมัครงานที่กรุงเทพฯ หลังจากได้งานทำแล้วก็ต้องทำตัวเป็นเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วไปคือ เช้าไปทำงานเย็นกลับบ้าน ชีวิตมันเครียดมาก รู้สึกว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป เส้นเลือดในสมองต้องแตกแน่

"จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันลอยกระทง กลับจากทำงานถึงห้องหนูบอกเพื่อนว่า ไม่ไหวแล้วเครียด วันนี้ต้องหาทางระบายอยากเต้น จึงไปเช่าชุดมา แล้วแต่งหน้าทำผมเอง นั่งแท็กซี่ไปสวนสันติชัยปราการ พร้อมลำโพงแบบนี้แหละ แล้วก็เต้น มีเพลงอยู่ 3 เพลง เปิดวนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 3 ชั่วโมง คนดูกันเยอะมาก"

อั้ม หายเครียดเป็นปลิดทิ้งจากการทำกิจกรรมดังกล่าว และนอกเหนือจากการได้บำบัดตัวเองแล้ว ผลพลอยได้อย่างหนึ่งที่ตามมาคือ การช่วยเพิ่มรอยยิ้มให้คนอื่นด้วย

"เห็นคนที่ดูเราแล้วอมยิ้ม หรือยิ้ม หรือหัวเราะ เราก็ยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่ แม้จะเป็นความสุขชั่วเวลาหนึ่งก็ยังดี มีรอยยิ้มก่อนเข้าบ้านสักหน่อย ดีกว่าพกพาเอาความเครียดเข้าบ้านนะ"

อายมั้ย เต้นกลางผู้คนแปลกหน้าแบบนี้ เวทีก็ไม่มี

"ไม่อายเลย ไม่เคยอาย" สาวชุดขนนกสีแดงรีบบอก

เธออธิบายเหตุผลที่ไม่อายว่า ประการแรกคือ ไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ประการต่อมาคือ ชินกับการแสดงออกแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ อั้มเรียนที่คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีกิจกรรมแบบนี้ที่คณะบ่อยๆ ทั้งร้องเพลง เดินแบบ และเล่นตลกแบบคนหน้าขาว

อั้มบอกว่า แม้การแสดงของเธอจะอยู่ในเวทีเล็กๆ แต่เธอก็มีความตั้งใจอย่างสูง หมั่นฝึกซ้อม และเมื่อมีโอกาสก็มักจะหาทางพัฒนาฝีมืออยู่เสมอ เสื้อผ้าหน้าผม และทุกอุปกรณ์ประกอบการแสดงเธอก็พยายามสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

"หลังจากเรียนจบหนูก็ทำงานประจำที่เกี่ยวกับความสวยความงามอยู่แล้ว เรื่องแต่งหน้าแต่งผมพอจะทำได้เองอยู่บ้าง ส่วนชุดนี่ใหม่ๆ ก็เช่าเขามา ตอนหลังก็ซื้อเอง ตัวที่ใส่อยู่นี้ซื้อมาราคาห้าพันบาท ชอบมาก ส่วนเรื่องเต้นนั้นมีเวลาว่างก็ไปเรียน ก่อนนี้เพิ่งไปเรียนยิมนาสติคมา อยากเต้นแบบที่ตีลังกาได้ กำลังพยายามอยู่ ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ส่วนเพลงนั้น จะเน้นเพลงลูกทุ่งจังหวะสนุกๆ เมื่อก่อนมีไม่มาก ตอนนี้มีมากกว่า 60 เพลงแล้ว บางวันเต้นจนครบ 60 เพลง ไม่หยุด 3-4 ชั่วโมงเลย อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และอยากให้คนที่ดูเรามีความสุข"

ถึงกระนั้นเธอบอกว่า การแสดงของเธอจะมีเฉพาะช่วงวันที่เธอหยุดงานเท่านั้น เพราะไม่อยากจะให้กระทบกับงานประจำ

เต้นแต่ละครั้งได้เงินเยอะมั้ย

"ราวพันห้า ถึงสามพัน แต่หนูยืนยันนะคะว่า เงินที่ได้เป็นเพียงกำลังใจส่วนหนึ่งเท่านั้น มันไม่ใช่สาระสำคัญที่สุดที่หนูทำตรงนี้ จุดประสงค์หลักของหนูคือ อยากให้ทุกคนที่ได้ดูมีรอยยิ้ม ได้คลายเครียดก่อนกลับบ้าน อยากจะตอบแทนสังคม มันเป็นงานเล็กๆ ที่คนตัวเล็กอย่างหนูพอจะทำให้สังคมได้ นอกจากนี้ก็เป็นความชอบส่วนตัว"

อั้มบอกว่า ก่อนหน้านี้เคยลองออกนอกสถานที่จากหน้าห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตรงแถวป้ายรถเมล์ แต่ถูกตำรวจไล่ เท่านั้นไม่พอ ยังด่าตามมาอีก ด่าว่าบ้ารึเปล่า สติไม่ดีรึเปล่า ที่มาทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน แต่เธอก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับตำรวจนายนั้น และกลับออกมาโดยดี

สนทนาผ่านไปอีกพักใหญ่...อั้มขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ของเธอต่อ

และทันทีที่เสียงเพลงดังขึ้น นางโชว์สมัครเล่นในชุดขนนกสีแดงก็เริ่มวาดลวดลายพลิ้วไหวบนเวทีกลางป้ายรถเมล์ ผู้คนที่ผ่านไปมาเริ่มชี้ชวนและหยุดมอง

ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า


หน้า 8
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01way01100552&sectionid=0137&day=2009-05-10


Hotmail® has a new way to see what's up with your friends. Check it out.

เที่ยวเชียงราย แวะเยือน"วัดพระแก้ว"

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11383 มติชนรายวัน


เที่ยวเชียงราย แวะเยือน"วัดพระแก้ว"


คอลัมน์ บันทึกเดินทาง

โดย ศุทธนุช วิริยะพินิจ




พระอุโบสถวัดพระแก้วท่ามกลางไม้นานาพันธุ์

บรรยากาศรอบๆ วัด ร่มรื่น สงบ

เชียงราย เป็นอีกจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวไม่น้อยหน้าใคร ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และโบราณสถาน

อีกทั้งเป็นจังหวัดที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาวและพม่า บริเวณ "สามเหลี่ยมทองคำ" จึงเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งซื้อขายยาเสพติดระดับโลก

อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ก็มีโบราณสถานสำคัญหลายแห่ง ในฐานะที่เป็นเมืองโบราณที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน

แม่สาย อำเภอชายแดนที่ติดพม่า เป็นแหล่งที่มีการค้าทั้งสองประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดแม่สายฝั่งพม่า เป็นศูนย์กลางซื้อขายสินค้าเลียนแบบจากประเทศจีน คนไทยมักจะข้ามไปซื้อสินค้าเลียนแบบประเภท เสื้อผ้า กระเป๋า แผ่นดีวีดี จิปาถะอื่นๆ อีกมากหลาย ในขณะที่ชาวพม่าก็ข้ามมาฝั่งไทย เพื่อหาซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคกลับไปขายในบ้านเมืองของตน

ส่วนนักท่องเที่ยวที่ชอบธรรมชาติ มักขึ้นไปที่ "ดอยตุง" เพื่อเยี่ยมชมพระตำหนักดอยตุง สถานที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพลิกฟื้นผืนป่าที่ถูกทำลายจากชาวเขา เพื่อถางทำไร่เลื่อนลอย ปัจจุบันกลายเป็นป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังโปรดให้ปลูกไม้ดอกไม้ประดับเป็นสวนสวยงามมีพรรณไม้นานาพันธุ์ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญควบคู่กับพระธาตุดอยตุง

อีกดอยหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวขึ้นไปเยี่ยมชมไม่น้อย คือ "ดอยแม่สลอง" ถิ่นพำนักของกองพลทหารจีนที่ 93 ปัจจุบันกลายเป็นชุมชนจีนขนาดใหญ่ ครั้งหนึ่งก็สร้างปัญหาให้กับประเทศไทย เพราะชาวจีนบนดอยแม่สลองนิยมปลูกฝิ่นขาย ทำให้เกิดยาเสพติดทั้งฝิ่นและเฮโรอีน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยโครงการพระราชดำริได้แก้ปัญหาให้มีการปลูกพืชทดแทน จนการปลูกฝิ่นสูญสิ้นไปจากดินแดนแห่งนี้

พระแก้วหยกจำลอง แทน พระแก้วมรกต

พระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ในพิพิธภัณฑ์

พระเจ้าล้านทอง

ภายในพิพิธภัณฑ์



ปัจจุบันนอกจากมีการปลูกพืชเมืองหนาวแล้ว บนดอยแม่สลอง ก็มีการปลูกชาพันธุ์ดี เช่น ชาอู๋หลง ซึ่งมีนักธุรกิจไต้หวันมาลงทุน โดยเฉพาะการปลูกชาและปลูกขิง ซึ่งกลายเป็นพืชส่งออกที่ทำรายได้ให้กับชาวจีนบนดอยแม่สลอง

ในตัวเมืองเชียงรายแม้จะไม่มีโบราณสถาน ดังเช่นจังหวัดภาคเหนืออื่นๆ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แต่ในตัวเมืองก็มีวัดเก่าจำนวนไม่น้อย

โบราณสถานส่วนใหญ่มักจะเสื่อมสลายพังไปตามกาลเวลา ส่วนที่เหลืออยู่ก็มีร่องรอยของความเป็น "เมืองประวัติศาสตร์"

"วัดพระแก้ว" จ.เชียงราย ถือได้ว่าเป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดนี้ ด้วยว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานของ "พระแก้วมรกต" มาตั้งแต่ พ.ศ.1977 ก่อนที่จะย้ายไปประดิษฐานตามสถานที่ต่างๆ จนวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานครในที่สุด

แม้ปัจจุบันจะมีแต่ "พระแก้วจำลอง" ที่แกะสลักจากหยก ยังมีนักท่องเที่ยวมากราบไหว้สักการะอยู่ตลอด

ที่วัดพระแก้วแห่งนี้ยังมีคุณค่าอื่นๆ อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เจ้าอาวาส" ที่เห็นการณ์ไกล ได้ปรับปรุงบริเวณวัดให้งดงาม ร่มรื่น สมกับเป็นพระอารามทางพุทธศาสนา ที่มุ่งให้ผู้ที่เข้าวัดได้รับความร่มรื่นทางกายจากสภาพแวดล้อม และทางจิตใจนั้น วัดมีส่วนสำคัญในการชักนำให้ผู้คนน้อมนำ รับเอาคุณค่าทางธรรมะ ชำระจิตใจบริสุทธิ์ ส่งผลให้เกิดศีลสมาธิและปัญญาในที่สุด

เจ้าอาวาสพระอารามหลวงแห่งนี้ คือ "ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร" (สุทัศน์ สุทสฺสโน) ซึ่งนอกจากจะเป็นเจ้าอาวาสวัดพระแก้วนี้แล้ว ท่านยังมีตำแหน่งทางด้านการบริหารคณะสงฆ์ เป็นเจ้าคณะภาค 6 ดูแลการคณะสงฆ์ในภาคเหนืออีก 5 จังหวัด คือ ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และเชียงราย

ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตรมักจะออกตัวว่าวัดพระแก้วเป็นวัดเล็กๆ พื้นที่จำกัด การที่จะพัฒนาให้ดูสวยงามและร่มรื่นนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ท่านจึงประยุกต์ความร่มรื่นของพันธุ์ไม้หลากชนิดให้เข้ากับสิ่งก่อสร้างภายในวัด ซึ่งมีอาคารถาวรวัตถุเช่นเดียวกับวัดอื่นๆ แต่ท่านได้ออกแบบก่อสร้างอย่างมีระเบียบแบบแผน และลงตัวในแง่ของสถาปัตยกรรมและสิ่งแวดล้อม ดังอาคารของตัวพระอุโบสถ เป็นต้น

พระธาตุดอยตุงที่ได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้ว

เจดีย์แก้วบรรจุพระธาตุจำนวนมาก

โบราณสถานในวัด พระธาตุผาเงา อ.เชียงแสน

ร้ายขายชา บนดอยแม่สลอง

ด้านหน้าห้องน้ำในวัด แสนจะสะอาด

สวนดอกไม้สวยงามบนดอยตุง

(ภาพกลาง) พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาส



วัดพระแก้วแห่งนี้ นอกจากจะมีศาสนสถานสำหรับพุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวได้นมัสการพระเจ้าล้านทอง ซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และพระแก้วหยก ณ หอพระแก้วแล้ว ที่วัดนี้ยังให้ความสำคัญกับ "วัฒนธรรมท้องถิ่น" โดยการสร้างพิพิธภัณฑ์ประจำวัดขึ้น

พิพิธภัณฑ์ของท่านเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมที่ผู้ไปเยี่ยมชมมักจะได้รับความประทับใจในการได้นมัสการ "พระธาตุ" จำนวนมาก แทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยเห็นองค์พระธาตุจำนวนมากมายเช่นนี้จากวัดที่ใดๆ มาก่อน

ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตรได้เก็บรวบรวมมาไว้ในพิพิธภัณฑ์ ถ้าเป็นวัดอื่นๆ คงจะหาผลประโยชน์จากปวงพระธาตุเหล่านี้มิใช่น้อย แต่ที่วัดพระแก้วท่านเจ้าอาวาส ไม่ให้ความสำคัญกับการเรี่ยราย แม้จะมีตู้รับบริจาคตั้งอยู่บ้าง ก็เพื่อสนองความประสงค์ของพุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธาอยากทำบุญมากกว่าจะตั้งใจหารายได้จริงๆ จังๆ

ท่านเจ้าอาวาสมีนโยบายไม่ต้องการให้บอกบุญบริจาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ เพราะท่านเห็นว่า "การถือศีลและภาวนาไม่ต้องใช้ทรัพย์และไม่ยุ่งยากเหมือนการทำทาน" แต่ก็เป็นหนึ่งในการทำบุญเหมือนกัน และยังเป็นการทำบุญขั้นสูงกว่า

ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้คนเข้าใจผิดเรื่องการทำบุญหรือบุญกิริยาวัตถุ ประกอบด้วยการให้ทาน รักษาศีลและภาวนา โดยเน้นทำบุญด้วยการให้ทานเพียงอย่างเดียว แต่ขาดการรักษาศีลและภาวนา จึงทำให้เห็นว่าท่านเจริญรอยตามพระบรมศาสดาที่มุ่งในการเผยแผ่พุทธศาสนาให้เกิดขึ้นในใจคน

นอกจากนี้ ท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตรยังตระหนักถึงความสะอาดรอบๆ บริเวณวัด เวลาเข้าไปในวัดพระแก้วจะเห็นพระเณรกวาดบริเวณวัดอย่างขยันขันแข็ง สิ่งสำคัญสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวหรือผู้มาแสวงบุญก็คือ "ห้องน้ำ" วัดจำนวนไม่น้อยห้องน้ำส่วนใหญ่มักจะสกปรกเหม็นฟุ้งกระจาย แต่ที่วัดพระแก้วแห่งนี้ ห้องน้ำไม่หรูหรา แต่สะอาดพอควร สำหรับรองรับญาติโยมที่ไปเที่ยว

วัดพระแก้ว เชียงราย จึงสมควรเป็นวัดตัวอย่างที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย น่าจะได้พาพระอธิการที่มีตำแหน่งบริหารตั้งแต่เจ้าอาวาส ไปเยี่ยมชมเพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาวัด โดยเฉพาะจะได้ปลงในเรื่องการหารายได้เข้าวัด ว่ามิใช่เป็นกิจของสงฆ์ เพราะถ้าวัดดีพร้อมในด้านต่างๆ แล้วเชื่อได้ว่ามีคนอยากทำบุญอย่างเป็นกอบเป็นกำแน่นอน

นโยบายสำคัญของท่านอีกประการหนึ่งที่วัดต่างๆ ควรพิจารณาดำเนินตาม คือการสร้างอาคารถาวรวัตถุ ซึ่งท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตรไม่เห็นด้วยกับการสร้างอาคารใหญ่โตสิ้นเปลืองทุนทรัพย์ ทั้งยังต้องไปเบียดเบียนญาติโยม ทำให้ปัจจุบันภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ดูเหมือนขายสวรรค์ขายนิพพาน

สำหรับชาวบ้านในละแวกวัดพระแก้วนับว่าโชคดีกว่านักท่องเที่ยว เพราะมีโอกาสได้เจริญภาวนา ทำวัตร สวดมนต์ ตลอดจนฟังเทศน์ สนทนาธรรมกับพระภิกษุสงฆ์ภายในวัด โดยวัดได้จัดกิจกรรมสำหรับญาติโยมอยู่ตลอด ซึ่งถ้าวัดอื่นๆ สามารถจัดให้มีการเผยแผ่ธรรมะสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ก็จะยิ่งทำให้วัดและพระสงฆ์มีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการท่องเที่ยวมิใช่น้อย ซึ่งเรื่องนี้คงเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องศึกษาและวางแผนอย่างเป็นระบบ

"เพื่อที่จะช่วยให้วัดเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป"


หน้า 23
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01tra01100552&sectionid=0139&day=2009-05-10


Hotmail® goes with you. Get it on your BlackBerry or iPhone.

"เกาจาล" น้ำดื่มจาก"ฉี่วัว"

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11383 มติชนรายวัน


"เกาจาล" น้ำดื่มจาก"ฉี่วัว"


คอลัมน์ เรื่องไม่ธรรมดา

โดย สุทธาสินี จิตรกรรมไทย




เดี๋ยวนี้หากเข้าร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต จะเห็นเครื่องดื่มมากมายหลากหลายยี่ห้อ-สรรพคุณ วางจำหน่ายจนแทบเลือกไม่ถูก

ขวดนั้นโฆษณาว่าบำรุงสมอง ขวดโน้นชวนให้เชื่อว่าดื่มแล้วผิวพรรณจะผ่องใส ส่วนขวดนี้บอกว่าช่วยเรื่องการขับถ่าย

"แล้วเครื่องดื่มที่ผู้ผลิตอ้างว่าช่วยต้านโรคได้ ทั้งยังทำจาก "ฉี่วัว" ล่ะ...สนไหม?"

ไม่นานมานี้ "ราชตรียะ สวายัมเสวก สังห์" องค์กรชาตินิยมฮินดูในอินเดีย ส่งตัวแทนออกมาบอกต่อสาธารณชนว่า ได้คิดค้นเครื่องดื่มสูตรใหม่ชื่อ ""เกาจาล"" ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต แปลได้ประมาณว่า "น้ำจากวัว" เพราะส่วนผสมสำคัญ คือ "ปัสสาวะวัว" นั่นเอง



ไม่ต้องกลัวกลิ่นจนต้องเอามือปิดจมูก เพราะเกาจาลจะเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีกลิ่นปัสสาวะวัวติดมาสักนิด

และนอกจากปัสสาวะวัวแล้ว ส่วนผสมอื่นยังมีอย่าง ว่านหางจระเข้ กูซเบอร์รี่ ฯลฯ เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณประโยชน์จากเครื่องดื่มเต็มที่

"สรรพคุณของเกาจาลน่ะหรือ...ทางองค์กรบอกว่า ช่วยเรื่องการล้างสารพิษออกจากร่างกาย ทั้งยังมีสารซึ่งช่วยต้านโรคเบาหวานและมะเร็งอีกด้วย"

ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการทดสอบ-วิจัยเกาจาลในห้องแล็บ เสร็จสิ้นขั้นตอนนี้เมื่อไหร่ ชาวอินเดียก็จะมีเครื่องดื่มชนิดใหม่ให้ได้ลองลิ้มชิมรสกัน แต่องค์กรราชตรียะ สวายัมเสวก สังห์ ก็ไม่คิดจะวางแผนโฆษณาทำการตลาดแข่งขันกับเครื่องดื่มยี่ห้ออื่นแต่อย่างใด

เพราะที่ผลิตเกาจาลออกมาก็เพื่อให้ชาวอินเดีย (และหากจะมีชาวต่างชาติด้วยก็ดี) ได้รู้จักองค์กรราชตรียะ สวายัมเสวก สังห์ และแนวคิดขององค์กร มากขึ้นเท่านั้น

การดื่มปัสสาวะวัวไม่ใช่เรื่องแปลกนักในสังคมอินเดีย เพราะหลายคนเชื่อว่าปัสสาวะวัวมีคุณสมบัติในการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยสารพัดโรค

ทั้งในอินเดียยังมีการนำปัสสาวะวัวและมูลวัวมาเป็นส่วนผสมหลักในหลายผลิตภัณฑ์ อย่างยา ซึ่งมีทั้งยาเม็ดและยาน้ำ เชื่อว่าใช้รักษาได้ตั้งแต่ริดสีดวงทวารไปจนถึงโรคมะเร็ง และยังมีสบู่ ยาสีฟัน ครีมจำพวกปรับสีผิวให้ขาว ผงซักฟอก ฯลฯ อีกด้วย

"เรียกว่านำปัสสาวะวัวและมูลวัวมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้ครอบจักรวาลจริงๆ"


หน้า 17

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun02100552&sectionid=0140&day=2009-05-10



Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.

พิชยนันท์ จินดาพร เจ้าของรองเท้า"พริ้ง" แบรนด์ไทย(โด่งดัง)ในปารีส

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11383 มติชนรายวัน


พิชยนันท์ จินดาพร เจ้าของรองเท้า"พริ้ง" แบรนด์ไทย(โด่งดัง)ในปารีส


โดย ชมพูนุท นำภา




"ปราด้า อาร์มานี กุชชี่ หลบไปก่อน...แบรนด์พริ้งกำลังจะมา!!!"

ที่มหานครปารีส เมืองแห่งแฟชั่น กำลังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น เมื่อสาวไทยหน้าใสเจ้าของรองเท้าแบรนด์ "พริ้ง" นำสินค้ารองเท้าดีไซน์ใหม่เอี่ยมของตัวเองไปแสดงให้คนเมืองน้ำหอมได้ชื่นชม

"พริ้ง" เป็นทั้งชื่อแบรนด์รองเท้าและชื่อเล่นของสาวไทยคนนี้ ส่วนชื่อจริง-นามสกุลจริงของเธอ "พิชยนันท์ จินดาพร" วัย 30 บริบูรณ์

เป็นลูกสาวคนเดียวของ "คุณพ่อพิชัย-คุณแม่พัฒนา จินดาพร" ที่ตอนนี้ทุ่มสุดตัวกับการดูแลโรงงาน "พริ้งแอนด์โค" โรงงานผลิตรองเท้าแบรนด์พริ้ง ตั้งอยู่ที่บางพลี จ.สมุทรปราการ

สาว "พริ้ง" เข้าเรียนมัธยมที่เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ถึงชั้น ม.2 แล้วไปเรียนต่อมัธยมที่อเมริกา ด้วยความชอบทางด้านแฟชั่นบวกกับมีโอกาสทำให้ช่วงปิดเทอม พริ้งมักจะกลับเมืองไทย มาฝึกงานเขียนเกี่ยวกับแฟชั่นที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ กระทั่งจบปริญญาตรี จาก ยูซี เบิร์กเลย์ (Univercity of California Berkley) สาขาประวัติศาสตร์ศิลป์ และโมเดิร์นแดนซ์

หลังเรียนจบทำงานโฆษณาอยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นก็รับงานเต้น งานเขียน และเป็นครูสอนบัลเล่ต์ไปด้วย ทำงานประจำได้แค่ 3 ปี เริ่มรู้สึกว่าไม่มีอะไรท้าทายในชีวิตอีกต่อไป เรื่องการเรียนต่อจึงแวบเข้ามาในสมอง พริ้งตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ ที่ฝรั่งเศส

เธอใช้เวลาเรียนภาษาคอร์สสั้นๆ 6 เดือน เวลาที่เหลือเปิดหูเปิดตาตามงานศิลปะหลากหลายที่ รวมทั้งงานแฟชั่นโชว์ จนเกิดอาการคันไม้คันมือจึงสมัครเรียนคอร์สแฟชั่นด้วยอีกหนึ่ง แล้วไปฝึกงานตามร้านต่างๆ คราวนี้ชีวิตเริ่มสนุก พริ้งเบนเข็มจากประวัติศาสตร์ศิลป์มาเอาจริงเอาจังด้านแฟชั่นแทน

ปัจจุบัน พริ้งแต่งงานแล้วและเปิดร้านรองเท้าของตัวเองที่ย่านชาโล ซึ่งถือเป็นย่านสุดฮิปอีกหนึ่งของปารีส มีดาราฝรั่งเศสให้ความสนใจมาอุด

หนุนอยู่ไม่ขาด

"รองเท้าพริ้งออกมาสามคอลเลคชั่นแล้ว ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาง่ายๆ ต้องทำงานเยอะ และต้องมีความมุ่งมั่นกว่าคนอื่น"

และหากจะถามว่าเป้าหมายในชีวิตของผู้หญิงคนนี้คืออะไร

แน่นอนว่า "ขอแค่ให้แบรนด์พริ้งเกิดและขายครอบคลุมตลาดยุโรปเจาะตลาดอเมริกาและเอเชีย พอใจแล้วค่ะ" เป็นเสียงที่ออกมาจากปากเรียวของเธอ

"หลายคนรู้จักเธอแล้วต่างเอาใจช่วยกับความมุ่งมั่นของสาวคนนี้"

เปลี่ยนใจมาเรียนดีไซน์รองเท้าทำไม?

ที่จริงแล้วชอบเรื่องแฟชั่น และที่เรียนคอร์สแฟชั่นเป็นเรื่องของเสื้อผ้า แต่บังเอิญว่าน้องชายสามีเขาทำรองเท้าอยู่ และตอนนั้น "พธู" เขาจะขายโรงงานรองเท้า เลยเสนอสามีว่าสนใจไหม? จากนั้นจึงเริ่มมาศึกษาเรื่องของรองเท้าอย่างจริงจัง เป็นการศึกษาเองหมด แล้วพอได้เข้ามาคลุกคลีมากๆ กลายเป็นสนใจและชอบในที่สุด ตอนนี้ศึกษารองเท้าทุกชนิด ยกเว้นผ้าใบที่มันไฮเทคมาก

แต่ก็เป็นดีไซเนอร์ให้รองเท้าแบรนด์ฝรั่งเศสด้วย

ค่ะ เป็นเพราะความกล้าของเรามั้ง? แล้วเป็นคนไม่อีโก้ ให้ทำอะไรก็ทำจะเอาสไตล์ไหนบอกมาทำให้ได้ ราคาก็คิดไม่แพงด้วย เคยทำให้สวารอฟกี้ เขาเอาไปใช้เดินแบบ แล้วก็ทำให้แบรนด์รัสเซียแบรนด์หนึ่ง เป็นครั้งแรกที่เห็นรองเท้าตัวเองขึ้นแฟชั่นโชว์ที่ปารีส ตอนนั้นเป็นแฟชั่นโชว์เมื่อตุลาคม 2550 ภูมิใจมาก ตื่นเต้นมากๆ ตอนนั้นมีสองแบบทั้งหมด 30 คู่ เป็นแบรนด์คนอื่นแต่ดีไซน์โดยเรา กลับมาที่กรุงเทพฯ นั่งดูทีวีเห็นพอดี ทั้งแม่ทั้งลูกตื่นเต้นกันใหญ่ ส่วนของสวารอฟกี้ปีนี้ก็สั่งทำเป็นปีที่ 3 แล้ว และมีแบรนด์ฝรั่งเศสอีกแบรนด์หนึ่งชื่อ mars กำลังรุ่ง เขามีบูติคเยอะมาก ก็ให้ทำให้

เจอกันก็เพราะว่าหัวหน้าฝ่ายแอสเซสเซอร์รี่เขาเดินช็อปปิ้งอยู่ แล้วเดินเข้ามาที่ร้านของเรา ได้คุยกันรู้ว่าเราเป็นดีไซเนอร์เลยเรียกให้เข้าไปลองดีไซน์แบบให้ดู เราก็ลุยสเก๊ตช์ภาพไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย ทำไปประมาณ 20 กว่าภาพ ลงสีน้ำสวยงาม ปรากฏว่าเขาชอบเลยให้ดีไซน์ให้เราก็บอกเขาว่าเรามีโรงงานด้วยนะ เขาก็ถามว่าที่เมืองไทยทำได้เหรอ เราเลยลองขึ้นตัวอย่างให้เขาดู แล้วกลับมาเมืองไทยทำตัวอย่างด้วยตัวเองจนเขาประทับใจ สั่งทั้งหมดสามแบบจากไม่กี่สิบคู่ตอนนี้ออเดอร์ห้าพันคู่ คุณแม่จะเป็นลม

พอจะมาเป็นแบรนด์ของตัวเองทำไง?

โอ้ย..ปรึกษาเยอะมาก จนงงไปหมด.. ในที่สุดเชื่อตัวเราเองดีที่สุด เพราะว่าปรึกษาสิบคนทุกคนให้คำแนะนำสิบแบบ เลยไม่เอาแล้วเอาดีไซน์ในแบบที่เราชอบดีกว่าแล้วพยายามขายเท่านั้นแหละ เพราะคิดมากไปก็ปวดหัว เครียด นอนไม่หลับ

รสนิยมส่วนตัวใส่แบรนด์เนมไหม?

ส่วนมากใส่แบรนด์ไทย ฝรั่งเห็นก็จะชอบ เขาจะถามว่าใครดีไซน์ เราก็บอกว่า อ๋อ.. ดีไซเนอร์ไทย เราใส่โซดาหรือเซนาด้า เขาจะตื่นเต้นว่านี่จากเมืองไทยเหรอ เพื่อนๆ ก็ชอบ ดังนั้น ทุกครั้งที่กลับเมืองไทยก็จะไปเหมาโซดาเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็จะมี sretsis kloset หรือว่าเกรฮาวน์ เป็นแบรนด์ไทยที่จะใส่เป็นส่วนมาก เพราะทำให้เราเด่นไม่ซ้ำใคร

ส่วนแบรนด์นอก จะชอบสไตล์มากกว่า ส่วนดีไซเนอร์จะชอบเป็นบางคน ต้องดูอะไรที่เหมาะกับเรา เพราะถ้าหากบางทีเราบ้าแบรนด์ คิดว่าใส่แล้วดูดี แต่ว่าเมื่อใส่แล้วไม่เหมาะกับเรา ไม่เข้ากับเรา มันก็ทำให้เรากลายเป็นตัวตลก พริ้งคิดว่าอะไรที่มันเป็นตัวเรา ดีที่สุด

แล้วอีกอย่างนะ รองเท้าดังๆ เวลานี้อย่างแบรนด์ที่ว่า เมดอินอิตาลี เดี๋ยวนี้ทำที่เมืองจีนทั้งนั้น แค่มาเย็บที่อิตาลีในขั้นตอนสุดท้าย แบรนด์ดังๆ เขาก็ใช้แรงงานเมดอินไชน่าทั้งนั้น ไม่อยากพาดพิง คือในส่วนของแพทเทิร์นทุกอย่างจะจ้างให้จีนทำหมด ค่าทำตัวอย่างที่อิตาลีน่ะแพงมากๆ

พอมาเป็นแบรนด์พริ้งเลยเมดอินไทยแลนด์

ใช่ ตั้งโรงงานของตัวเองเลยที่สมุทรปราการ คุณแม่เป็นคนคุมตอนนี้ ช่างก็เก่งๆ ทั้งนั้น คนไทยเรามีฝีมือนะ ตอนแรกก็ลังเลจะบอกดีไหมว่า เมดอินไทยแลนด์ เพราะบางคนเขาก็มีข้อแม้ว่าไม่ได้เมดอินอิตาลีเหรอ ไม่ได้เมดอินฝรั่งเศสเหรอ แต่พริ้งก็ยืนยันคุณภาพ เรื่องของความปราณีต ว่าเราไม่แพ้ใคร ตอนนี้ลูกค้าเริ่มติดใจ บางคนซื้อทีละ 5-6 คู่ และมีลูกค้าประจำเยอะเหมือนกัน

ช่างที่ทำเป็นคนจากไหน?

ช่างมาจากอีสานเยอะมาก พลิกแผ่นดินหากว่าจะได้ ไปหากับคุณแม่ ไปตามโรงเรียนของรัฐบาลที่เขามีสอนช่าง ตอนแรกให้เชิญอาจารย์มาแต่เขาไม่ค่อยสู้งาน แล้วอีโก้สูง อีกอย่างโดนเขาหลอกไปเยอะ ให้เราไปซื้อเครื่องมือมาปรากฏว่าใช้ไม่ได้ หมดไปเป็นแสน...เซ็งมาก ในที่สุดก็ค่อยๆ เรียนรู้ ไป จะใช้วิธีไปยืมรองเท้าเพื่อนบ้าง รองเท้าตัวเอง ของคุณแม่บ้าง เอามาให้ช่างดู

ส่วนตัวพริ้งเวลาออกแบบสิ่งที่ยาก คือ เรื่องเทคนิค ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นช่าง บางทีเราอยากให้รองเท้าเป็นแบบนี้ แต่เทคนิคมันทำไม่ได้ เราก็ต้องไปหาว่าทำยังไงให้ทำได้ บางทีวาดออกมามันไม่เหมือนกับอธิบายให้ช่างฟัง เราก็จะหาแบบให้ช่างดูว่าอยากได้แบบไหน เราต้องแก้ปัญหาด้วยกันกับช่าง

รองเท้าพริ้งหาวัสดุจากไหน ราคายังไง ถึงถือว่าเจ๋ง

เราใช้หนังจากอิตาลี ฝรั่งเศส มีหนังของไทยด้วย และเวลานี้อยากจะหันมาเลือกใช้หนังของไทยมากขึ้น แต่ว่า..คุณภาพหนังของอิตาลีมันดีกว่าจริงๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ตัววัว การเลี้ยงดูวัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วก็เทคนิคการฟอก คือหนังไทยเห็นเหมือนมีรอยเฆี่ยนนะ (หัวเราะ)

สำหรับพริ้งรองเท้าจะชอบใช้หนังแพะ เพราะมันนิ่ม ใส่แล้วทนและสบายกว่าหนังวัว แล้วการทำรองเท้าแฮนด์เมดมันต้องดึง หนังแพะจะดึงง่ายกว่าหนังวัว หนังวัวบางทีมันแข็ง ดึงยาก แต่ถ้าเป็นรองเท้าโรงงานใหญ่ เขาจะใช้หนังวัวเยอะ เพราะเขามีเครื่องจักร ตอนนี้เพิ่งได้หนังแก้วสีดำมา เป็นหนังแกะมาจากโรงฟอกไทย

ส่วนราคา รองเท้าพริ้งจะอยู่เฉลี่ยราคาคู่ละประมาณ 200 ยูโร (9,000 บาท) เพราะลุคของเราดูดี ดูแพง แต่ว่าถูกกว่าของแบรนด์เนมที่เป็นตลาดกลุ่มเดียวกันอย่าง มิวมิว มาร์กจาคอบ ของเขา 400 ยูโรขึ้นไป

ช่วงที่มีเซลจะขายได้เยอะมาก แต่กฎหมายของประเทศฝรั่งเศสเขาห้ามจัดเซลส์ตามใจชอบ และเวลาเซลส์ก็ต้องเต็มที่ สุดสุดก็ 60% คิดว่าถ้าเจาะตลาดนี้ได้แล้วเราจะทำแบรนด์ที่ราคาต่ำลงได้

ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นใคร?

ทั่วๆ ไป บางทีได้จากการออกงานจัดบู๊ธบ้าง หรือผ่านมาที่หน้าร้านบูติคโดยบังเอิญ บางครั้งเราเข้าไปหาเขาเองก็มี อย่างมีผู้หญิงคนหนึ่งเขาเป็นดีไซเนอร์ทำสร้อยคอจิวเวลรี่ แล้วเขาไปโชว์ที่อัมสเตอดัมแฟชั่นวีค เขามาชวนพริ้งให้ไปโชว์รองเท้ากับเขา เราก็ไป แล้วในงานเดียวกันนี้มีบูติคหรูขายแต่แบรนด์เนม เขามาดูแฟชั่นโชว์เห็นรองเท้าเราก็ชอบ เข้ามาติดต่อ

ส่วนลูกค้าที่เดินเข้ามาในบูติคมีทุกรูปแบบ แม้แต่ผู้ชายก็อยากมาซื้อ ถามว่ามีไซซ์ 44-45 ไหม หรือเป็นเซเลบริตี้ก็มี ดาราก็มี พริ้งไม่ค่อยรู้จัก แต่ถ้าเพื่อนอยู่เพื่อนเขารู้เขาจะคอยบอกว่านี่คือดาราฝรั่งเศส

รองเท้าของพริ้งส่วนมากลูกค้าเขาบอกว่าชอบเพราะไม่ซ้ำแบบใคร หาที่อื่นไม่ได้ (ยิ้ม)

เอาไอเดียมาจากไหน?

พยายามไปดูนิทรรศการให้มากที่สุด ไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น เพลง คอนเสิร์ต งานแสดง อย่างน้อยสัปดาห์หนึ่งต้องไปดู-ไปดูอะไรก็ได้ มันจะมีงานแบบอาร์ตโอเพ่นนิ่ง พยายามไปคุยกับเพื่อนบ้าง คนรู้จักบ้าง ได้ไอเดียตลอด แต่จะไม่ซื้อแมกกาซีนแฟชั่นมาดู ไม่อยากซึมซับโดยไม่รู้ตัว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นของๆ เราจะออกไปเหมือนแบรนด์อื่น ถ้าหากดูจะดูแมกกาซีนอาร์ตมากกว่า

เด็กไทยมาเรียนแฟชั่นที่ฝรั่งเศสเยอะไหม?

เยอะค่ะ เยอะขึ้นมาก และก็ได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์เยอะ พริ้งมีเพื่อนที่เป็นดีไซเนอร์ แต่รุ่นโตกว่า เขาจะชมให้ฟังตลอดว่าเด็กไทยเก่ง

คลุกคลีในวงการแฟชั่นอย่างนี้มองว่าแบรนด์ไทยจะไประดับโลกได้ไหม?

ได้ค่ะ แต่ถ้าจะให้เกิดจริงๆ รัฐบาลและเอกชนต้องช่วยสนับสนุนอย่างจริงจัง เพราะปัญหาหลักแฟชั่นของเมืองไทย คือภาคดีไซเนอร์กับอุตสาหกรรมไม่ประสานงานกัน ดีไซเนอร์จะไม่มีทางไปรอดถ้าไม่มีอุตสาหกรรมรองรับ

อย่างการตั้งโรงงานเองมันยากเย็นมาก แต่มันก็ทำให้เราไปได้ไกลกว่าคนอื่น เพราะเราไม่ต้องมานั่งง้อโรงงานชาวบ้าน แล้วเราต้องการคุณภาพความแน่นอน ส่งตรงเวลา แต่อย่างพวกยังดีไซเนอร์ ถ้าเขาไปซื้อผ้าสำเพ็งมาแล้วไม่มีผ้าขายจะทำยังไง คือโรงงานเสื้อผ้าไทยมีเยอะ ดีไซเนอร์ก็เยอะ แต่ไม่ร่วมมือกัน โรงงานก็เอาแต่ก๊อบปี้แบรนด์เนม ดีไซเนอร์ก็ทำแต่ซี่รี่ย์เล็กๆ พริ้งมองว่าถ้าร่วมมือกันน่าจะไปได้ไกล รัฐบาลก็ต้องมีแผนงานเป็นเรื่องเป็นราว อาจจะต้องยอมลงทุนอย่างน้อย 2 ปีติดต่อกัน

แล้วอยู่เมืองแฟชั่นนานๆ คนฝรั่งเศสเป็นยังไง?

คนปารีสเขาจะตรงกันข้ามกับคนอิตาลี เขาจะไม่ฉูดฉาด จะใส่แต่สีดำ คือวัฒนธรรมของฝรั่งเศสเขาจะไม่โอ้อวด แต่เขาจะชอบทำตัวคลาสสิคเรียบๆ ที่คนมักพูดกันว่า ฝรั่งเศสคือเมืองแฟชั่น เพราะว่าแฟชั่นมันเป็นวัฒนธรรมของเขา เหมือนอยู่ในสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นความพิถีพิถัน ความละเอียดละมุนละไม ทุกดีเทลต้องเฟอร์เฟ็คต์ อะไรอย่างนี้ แล้วมีความสวยงามในสายเลือด แต่มันไม่เกี่ยวกับการโชว์ออฟแบบสไตล์ของอเมริกาหรืออิตาลี ที่ต้องใส่เพชรเยอะๆ แต่ที่นี่เขาแค่มุกเส้นเดียว ให้มันพอดี ไม่เกินเลย

แล้วพริ้งเป็นยังไง?

แรง- -จะแต่งตัวแรง ใส่สายเดี่ยว นุ่งผ้าถุง อะไรอย่างนี้ ชอบสะสมผ้าไทย ชอบนุ่งโสร่ง เป็นคนชอบแต่งตัว ชอบศิลปวัฒนธรรม ชอบหมดเลย ดนตรีก็ชอบ เรียนเต้นด้วย เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถึงเป็นลูกคนเดียวแต่ที่บ้านให้อิสระ

"ที่บ้านเขาชินแล้วว่าเราเป็นอย่างนี้"


หน้า 17
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun01100552&sectionid=0140&day=2009-05-10

Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.