วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อะเมซซิ่ง แอร์การบินไทย ว่าที่นักเพาะกายหญิงทีมชาติ

 

Pic_8036

ในสายตาของคนทั่วไปมักจะมองอาชีพแอร์โฮสเตสว่า เป็นอะไรที่สวยหรู ได้เปิดหูเปิดตาเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศโดยไม่เสียสตางค์ แถมยังรายได้ดีกว่าอาชีพอื่นมาก เผลอๆถ้าวาสนาดีอาจเจอผู้โดยสารรวยๆ มีโอกาสเป็นเมียเศรษฐี พลิกชีวิตจากนางฟ้าจำแลงกลายเป็นนางฟ้าตัวจริงภายในชั่วข้ามคืน

เฮ่อๆๆ!! ได้ยินเสียงถอนหายใจของบรรดาแอร์โฮสเตสมาแต่ไกลเชียวค่ะ  ทุกอย่างที่ว่าเป็นแค่ภาพลวงตาทั้งนั้น คนเป็นแอร์ไม่ได้เลิศหรูอย่างที่คิดเสมอไป แถมบางคนยังออกแนวสวยล่ำด้วยซ้ำ เป็นเรื่องจริงที่ ได้รับการยืนยันจากปากแอร์การบินไทย  กอล์ฟ-ขนิษฐา มะคงสุข วัย 37 ปี เธอทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินแห่งชาติมานานกว่า  15  ปี  และเพิ่งสร้างความอะเมซซิ่งให้วงการแอร์ไลน์  เมื่อไปคว้าแชมป์นักเพาะกายหญิงรุ่นบอดี้ฟิตเนสของเมืองไทย

จากนางฟ้าการบินไทย มาเป็นนักเพาะกายได้อย่างไรคะ

เริ่มจากไปเรียนศิลปะป้องกันตัวค่ะ   เพราะเคยเจอประสบการณ์บนเครื่อง โดนผู้โดยสารลวนลามแล้วเราทำอะไรไม่ได้   จากนั้นมีปัญหาเรื่องท้องย้วยย่นหลังคลอดลูกชายคนแรก (น้องนาวี อายุ 4 ขวบ 5 เดือน) ทำให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกายและอดอาหารเอง น้ำหนักลดก็จริง แต่ช่วงนั้นเป็นลมบ่อย สามี (คมสัน มะคงสุข) ซึ่งเป็นสจ๊วตการบินไทย เห็นว่าไม่เข้าท่าแล้ว เลยแนะนำให้ไปเจอเทรนเนอร์ของเขาคือ คุณโชคอนันต์ สิงหจินดาวงศ์ เพื่อจะได้ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี เขาดูแลจัดโปรแกรมกระชับรูปร่างหลังคลอดให้ หลังเล่นได้ 3 เดือนรู้สึกว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงชัด หน้าท้องเริ่มเห็นแนวโครงสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้มีกำลังใจ อยากเล่นต่อ พอรู้สึกแข็งแรงขึ้นในระดับหนึ่งก็กลับไปเอ็นจอยอีตติ้งเหมือนเดิม ชุดไทยที่ใส่เลยกลายเป็นน้องแหนม ต้องกลับไปเข้าโปรแกรมไดเอ็ตจริงจัง ไม่แตะคาร์โบไฮเดรตและพวกของทอดๆมันๆประมาณ 3 เดือน น้ำหนักลดลงเรื่อยๆจนเห็นความชัดเจนของกล้ามเนื้อ "คุณโชคอนันต์" ชักชวนว่า สนใจลงแข่งขันกีฬาเพาะกายชิงแชมป์ประเทศไทยไหม มีเวลาเตรียมตัวหนึ่งเดือน ตอนนั้นเมืองไทยมีนักกีฬาผู้หญิงอยู่น้อย พอปรึกษาสามีแล้วเขาสนับสนุน ก็เริ่มเวย์โปรตีน ใช้วิทยาศาสตร์ด้านการกีฬามาช่วย ประกอบกับได้เห็นรูป "คุณรุ้งตะวัน จินดาซิงห์" นักกีฬาเพาะกายทีมชาติไทย รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เท่มาก เป็นโรลโมเดลของเรา

ต้องบินตลอดและเลี้ยงลูกด้วย แล้วจะมีเวลาฟิตซ้อมหรือคะ

ก็มีเวลาฝึกซ้อมเฉพาะวันหยุดที่อยู่กรุงเทพฯ จะเข้าฟิตเนสเฉลี่ยอาทิตย์ละ 3 วัน ถือเป็นการวัดใจตัวเองว่าจะทำได้ไหม เพราะเรามีข้อจำกัดเยอะ ต้องเดินทางด้วย ต้องใช้ความอดทนและความพยายามมากกว่านักกีฬาทั่วไป ด้วยภารกิจที่ต้องดูแลลูก ต้องทำงานตามต่างประเทศ วันพักก็น้อย โอกาสจะได้คุมอาหารก็ยากกว่า

ตอนนั้นคาดหวังไหมคะว่าลงแข่งครั้งแรกจะได้แชมป์เลย

(ส่ายหน้า) รู้แต่ว่าออกกำลังกายมาต่อเนื่อง 2 ปีกว่าแล้ว และมีกล้ามเนื้อสวยระดับหนึ่ง ขนาดอาจไม่ใหญ่โต แต่เห็นกล้ามเนื้อชัดเจน ขึ้นเวทีแล้วคงไม่น่าเกลียด แต่ที่ได้เป็นแชมป์ประเทศไทย ได้รางวัลชนะเลิศ รุ่นบอดี้ฟิตเนสหญิงปี  2551  ทั้งๆที่ลงแข่งครั้งแรก  คงเพราะเรามีกล้ามเนื้อท้องที่โดดเด่นกว่านักกีฬาทั่วไป



รู้สึกยังไงบ้างที่น้องใหม่อย่างเราถูกวางตัวให้เป็นว่าที่นักเพาะกายทีมชาติ


ตรงนี้ยังไม่เป็นทางการนะคะ แต่ท่านนายกสมาคมเพาะกายค่อนข้างให้ความเอ็นดู อย่างแมตช์ที่สองช่วงเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว ท่านก็เป็นคนชักชวนให้ลงแข่งขันต่อในรายการที่ใหญ่ขึ้น เพราะเห็นแววว่าเป็นนักกีฬาหน้าใหม่ที่มีกล้ามเนื้อสวยงาม ท่านบอกว่าอยากให้ "กอล์ฟ" ลงแข่งรุ่นบอดี้ฟิตเนสเป็นหลัก แต่เพิ่มรุ่นใหญ่ บอดี้บลิวดิ้งด้วย เพื่อหาประสบการณ์ในการแข่งขัน ก็ต้องฝึกซ้อมหนักกว่าเดิมในแง่ของการโพสซิ่ง ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ท่า และฟรีโพสซิ่งประกอบเพลงอีกหนึ่งเพลง ก็ไปเรียนเต้น ทำให้มีทักษะด้านมูฟเมนต์ มากขึ้น เวทีนี้ได้รางวัลชนะเลิศประเภทบอดี้ฟิตเนส

ล่าสุดเพิ่งลงแข่งในแมตช์ที่สาม ชิงแชมป์ประเทศ

ไทยปี  2552   เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา   เป็นการแข่งขันเพาะกายชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มิสเตอร์ไทยแลนด์ครั้งที่ 29 ไปแข่ง ที่เชียงราย แมตช์นี้เราลงแข่งสองประเภทคือ รุ่นบอดี้ฟิตเนส กับรุ่นบอดี้บลิวดิ้ง ดีใจมากที่ได้มี โอกาสลงแข่งขันกับไอดอล คือคุณรุ้งตะวัน ซึ่งมีดีกรีเป็นแชมป์ระดับเอเชียในรุ่นบอดี้ ฟิตเนส ผลการแข่งขัน "กอล์ฟ" ได้รางวัลที่สอง ในรุ่นบอดี้ฟิตเนส และรางวัลที่สามในรุ่นใหญ่บอดี้บลิวดิ้ง

เป็นนักเพาะกายขัดแย้งกับภาพลักษณ์แอร์การบินไทยไหมคะ

(ยิ้มกว้าง) หลายๆท่านตกใจที่เห็นรูปเราแข่งเพาะกาย ไม่คิดว่าเป็นแอร์แล้วจะมาเล่นกีฬาเพาะกาย โดยบุคลิกก็ค่อนข้างแตกต่าง แต่สำหรับตัวเองไม่คิดว่าเรื่องอายุหรือหน้าที่การงานจะเป็นอุปสรรค ที่จริงแล้วกีฬาเพาะกายทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วยซ้ำ เป็นการซัพพอร์ตการทำงานของแอร์ให้มีประสิทธิภาพขึ้น เพราะอาชีพนี้มีปัจจัยเสี่ยงเยอะ ที่ทำให้เสียสุขภาพ

ต้องขออนุญาตการบินไทยหรือเปล่า

ครั้งแรกที่เข้าแข่งขันไม่ได้ขออนุญาตค่ะ แต่ก็ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะผิดกฎบริษัทหรือเปล่า แต่เห็นว่าเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง แล้วก็ลาพักร้อนไปแข่ง ถึงบริษัทรู้เข้าก็ไม่น่าจะว่าอะไร เพราะเป็นการชิงถ้วยพระราชทาน น่าจะสร้างความภูมิใจด้วยซ้ำเพราะเราก็มีข้อจำกัดเยอะ



มีคนทักไหมคะว่าเล่นเพาะกายแล้วสวยขึ้น


ก็คงมีส่วนค่ะ (หัวเราะ) ออกกำลังกายแล้วทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข เมื่อเรามีความสุขหน้าตาก็สดใส และสามารถแบ่งปันความสุขให้คนอื่น

ถามจริงๆนะคะ ตั้งแต่เป็นแอร์การบินไทย มีประสบการณ์เสี่ยงตายไหม

ได้เรื่องตั้งแต่ไฟลท์แรกเลยคะ และขอให้เป็นไฟลท์เดียว!! ตอนนั้นขึ้นสังเกตการณ์บินไปสิงคโปร์ ช่วงเครื่องใกล้จะลง เกิดสภาพอากาศแปรปรวนตกหลุมอากาศ จังหวะเดียวกับที่ลูกเรือกำลังทานอาหารอยู่ ถาดอาหารที่อยู่ในครัวลอยกระเด้ง แล้วพี่แอร์ที่อยู่ในครัวลอยกระเด้งไปติด

กับคาน กระแทกกับคาน ตกลงมาอย่างแรง!! "กอล์ฟ" อยู่ในห้องน้ำก็เกาะแน่นเลย ใจเสียไม่รู้เครื่องจะตกหรือเปล่า คิดไปใหญ่ว่าเครื่องจะตกแล้ว ฉันจะรอดไหมนี่ ฉันยังไม่ได้ทำงานเลย!! พอออกมาข้างนอกเห็นครัวระเนระนาดเละตุ้มเป๊ะ พวกพี่ซีเนียร์ต้องเดินไปปลอบผู้โดยสารว่าโอเค ไม่มีอะไรแล้วนะ เจอดีตั้งแต่ไฟลท์แรก

แล้วประสบการณ์สนุกๆเกี่ยวกับผู้โดยสารล่ะคะ

เรื่องที่เจอบ่อยที่สุดคือวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของผู้โดยสาร แอร์ทุกคนต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างดี เช่น แขกอินเดีย ปากีสถาน บางทีเราถามเขาว่าจะรับน้ำชา กาแฟไหม เขาก็ส่ายศีรษะ เรานึกว่าไม่เอา เลยเดินผ่าน แต่จริงๆคืออากัปกิริยาของเขา นั่นคือเขาจะรับนะคะ เสร็จแล้วเขาก็กวักมือเรียกใหญ่ เหมือนกับว่าทำไมถึงบริการไม่ดี ไม่รินกาแฟหรือน้ำชาให้เขาล่ะ บางครั้งการรับรู้ของเราไม่ถูกต้อง ก็ต้องรีบขอโทษผู้โดยสาร

หรืออย่างพวกเกาหลี  ผู้โดยสารชอบทักทายแรงๆคือ  เขาอาจจะแข็งแรง เพราะได้พลังโสม บางทีขอน้ำแก้วหนึ่ง ตบบ่าซะแรง ตกใจมาก เป็นคุณป้านี่ล่ะแต่แรงเยอะ ส่วนผู้โดยสารญี่ปุ่นสุภาพมาก ด้วยวัฒนธรรมของเขาจะโค้งแล้วโค้งอีก ขอบคุณกันอยู่นาน แต่มีอยู่ครั้งจำได้แม่นเลย เป็นผู้โดยสารจีน เดินเข้ามาในครัวทำหน้าพะอืดพะอม เราก็เดาแล้วล่ะว่าน่าจะอยากอาเจียน เลยรีบหาถุงอาเจียนให้ แต่ยังเดินไปหยิบไม่ทัน คุณป้าก็อาเจียนพรวดลงมาใส่ผ้าถุงเราแล้ว คืองานแอร์ต้องมีทั้งส่วนที่สนุกสนานเฮฮา แต่บางช็อตก็มีต้องเช็ดทำความสะอาดด้วยนะคะ



สมัยที่ยังไม่ล่ำบึ้ก เคยถูกผู้โดยสารลวนลามไหมคะ


อันนี้เจอกับตัวค่ะ ประมาณ 6 ปีที่แล้ว เป็นไฟลท์ชั้นอีโคโนมี "กอล์ฟ" ทำไฟลท์จากแฟรงก์เฟิร์ตเข้ากรุงเทพฯ หลังจากที่บินมา 6-7 ชั่วโมง ผู้โดยสารชาวเยอรมันคนหนึ่งมีอาการเมาแล้ว คาดว่าดื่มมาจากข้างล่างด้วย ทางหัวหน้าเที่ยวบินจึงสั่งให้หยุดบริการแอลกอฮอล์ เราก็ทำตามนโยบายหัวหน้า พอไปบอก ผู้โดยสารไม่ยอมค่ะ โวยวายจะชกกับหัวหน้าเที่ยวบิน สักพักก็เดินเมามาที่ในครัว เรากำลังพักทานข้าวกับพี่สจ๊วต เขาโถมเข้ามาจะจูบเรา ตกใจมาก!! ได้กลิ่นเหล้าหึ่งเลย เราก็ผลักออกไป ตะโกนพี่ช่วยด้วย พี่สจ๊วตก็แมนมาก ตะโกนเลย เฮ้ยมีอะไร!! กอล์ฟถอยไปๆ!!  เขาก็ช่วยกันเราออกมา  ครั้งนั้น ทำให้รู้สึกว่าถูกลวนลาม ใกล้มาก จับบ่าเราแล้ว!! ทางหัวหน้าเที่ยวบินไม่ยอมบอกว่าถึงกรุงเทพฯแล้วต้องแจ้งความ พอเครื่องแลนดิ้ง เจ้าหน้าที่ก็มาเชิญตัวลงไป พี่สจ๊วตกับเพอร์เซอร์ไปเป็นพยานให้ที่สถานีตำรวจ ตรงนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่าเราต้องไปเรียนศิลปะป้องกันตัว เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรฉุกเฉินขึ้นมาเราควรจะป้องกันตัวเองได้

แอบเม้าท์หน่อยนะคะ  ผู้โดยสารชาติไหนเป็นจอมป่วนทำให้หมดความอดทน?!

งานบริการต้องอาศัยความอดทนและใจรักค่ะ แต่บางครั้งก็ไม่ไหว!! ในหลายๆไฟลท์โดยเฉพาะไฟลท์มิดเดิลอีสต์ ผู้โดยสารมักมีดีมานด์สูงด้วยความที่บางทีเราบินไปแถบนี้ต้องบินทั้งคืน อาจจะด้วยสภาวะร่างกายด้วยที่ต้องอดนอน ผสมกับความล้า และยังต้องตื่นตัวเรื่องเซฟตี้ บางทีเราก็พยายามทำให้ผู้โดยสารพอใจ แต่อาจจะไม่ทันใจเลยโดนโวยบ้าง คิดดูสิคะว่า เดินไปทางไหนเหมือนไฟดิสโก้ มองไปสีแดงหมด เรียกใช้บริการทั้งคืน!! พอเจอเยอะๆ ขีดความอดทนใกล้หมดเหมือนกัน เริ่มชักสีหน้าบ้าง แต่ดีอย่างหนึ่ง ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของเขา บริการเขาเต็มที่ จะไม่มีรีพอร์ตกลับมา จบแล้วจบเลย ตรงข้ามกับผู้โดยสารยุโรป ที่บางทีเห็นเงียบๆไม่ค่อยรีเควสอะไรเยอะ แต่กลับมาเขียนรีพอร์ตคอมเมนต์เยอะแยะไปหมด

จนถึงวินาทีนี้  ภูมิใจกับอะไรมากกว่าระหว่างการได้เป็นแอร์ กับแชมป์เพาะกาย

ก็ภูมิใจทั้งสองอย่างเลยค่ะ ดีใจที่ได้ทำงานในสายการบินไทย ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติ และเป็นอาชีพที่ฝันตั้งแต่เด็ก ส่วนในแง่ของการเป็นนักกีฬา แข่งขันแล้วได้รางวัลก็เป็นความภูมิใจส่วนตัว ผลการแข่งขันจะเป็นยังไงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แต่อย่างน้อยเราได้วัดใจตัวเองว่าเราทำสำเร็จตามเป้าไหม หลายคนถามว่าที่ไปแข่งมิสเตอร์ไทยแลนด์ชิงแชมป์ประเทศไทย ได้เงินรางวัลเท่าไหร่ เราก็ยกมือเลขห้า เขาถามห้าหมื่นเหรอ เราบอกไม่ใช่ ห้าพัน!! เขาถามว่าแล้วคุ้มเหรอ ต้องหยุดบินต้องอะไร เราบอกว่า ถ้าตีค่าเป็นตัวเงินไม่คุ้มหรอก แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นเป็นคุณค่าทางจิตใจ การที่คุณทำอะไรสักอย่างแล้วประสบความสำเร็จ คือรางวัลสูงสุด เป็นรางวัลชีวิต ที่เงินทองก็ซื้อหาไม่ได้ ถึงคุณจะมีเงินก็ซื้อถ้วยรางวัลไม่ได้!! ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีโอกาสรับใช้ประเทศชาติ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย

เป็นแอร์การบินไทย  ไม่ใช่แค่สวยเก๋อย่างเดียว  แต่ต้องอดทน และซุปเปอร์อึดด้วย...จริงไหมคะ?!

ทีมข่าวหน้าสตรี

http://www.thairath.co.th/content/life/8036

ชะลออายุด้วยอาหาร

 
เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น คงไม่มีใครสามารถหยุดยั้งความชราไว้ได้ แต่วิธีที่จะช่วยชะลออายุได้ก็คือ การเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีที่สุด สุขภาพที่ดีมาจากร่างกายที่แข็งแรง และจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน

องค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้มีสุขภาพดี ตามที่ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้ว คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฯลฯ

ดังนั้นอาหารการกินจึงเป็นส่วนสำคัญ ที่จะกำหนดให้เราแก่ไปตามวัยที่ล่วงเลย หรือก่อนวัยอันสมควร ยิ่งเมื่อวิทยาการก้าวหน้า อาหารยิ่งถูกปรุงแต่งมากขึ้น จนแทบไม่เหลือคุณค่าของอาหารไว้ ปัจจุบันความคิดทางการแพทย์เก่า ๆ ที่ให้บริโภค เนื้อ นม ไข่ มาก ๆ จึงเริ่มเปลี่ยนไป และให้หันกลับมาสนใจอาหารธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานชีวิตของคนสมัยก่อนแทน

หลัก 10 ประการของการบริโภคอาหารต่อไปนี้ จะช่วยให้ท่านชะลออายุไว้ได้

1. กินคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ถูกดัดแปลง ขณะนี้อาหารเกือบทุกอย่างที่วางขายในท้องตลาด มักถูกดัดแปลงปรุงแต่งใหม่ เพื่อหลอกล่อผู้บริโภคว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่า แต่แท้จริงกลับเป็นผลเสียต่อร่างกาย คาร์โบไฮเดรตมักถูกดัดแปลง หรือแฝงในรูปต่าง ๆ เช่น ข้าวที่ถูกสีจนขาว น้ำตาลทรายขาว ขนมหวาน ลูกกวาด น้ำอัดลม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต้องพยายามหลีกเลี่ยง ควรบริโภคแต่คาร์โบไฮเดรตธรรมชาติที่ไม่ถูกดัดแปลง และมีคุณค่าสูง ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ผลไม้สด ถั่ว ผัก และเมล็ดพืช



2.ต้องกินโปรตีนให้เหมาะสม
โปรตีนมีอยู่ในเมล็ดพืช ผัก มันฝรั่ง ถั่ว นมพร่องไขมัน และอาหารทะเล บางคนเข้าใจผิดว่าเนื้อวัวมีโปรตีนสูง แท้จริงแล้วไม่ถูกต้องนัก การที่เนื้อวัวให้พลังงานสูง เพราะมีโปรตีนมาก แต่ร่างกายย่อมต้องการโปรตีนให้ได้สัดส่วนกับอาหารอื่น ถ้ากินมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนเป็นไขมันสะสมไว้ และไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมาใช้ได้อีก

3.ควรหลีกเลี่ยงไขมัน ยามเมื่ออายุมากขึ้นไขมันเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง เพราะก่อให้เกิดโรคหลายอย่าง นั่นคือ ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ น้ำมัน เนย มายองเนส กรดไขมันที่จำเป็น ซึ่งเป็นกรดที่สำคัญที่สุดสำหรับร่างกายนั้น พบในเมล็ดพืชทุกชนิด ผลไม้เปลือกแข็ง และข้าว การเก็บรักษาอาหารประเภทนี้ต้องใส่ภาชนะปิด เพราะแสง ความร้อน และอากาศสามารถทำลายกรดไขมันที่จำเป็นได้



4.กินวิตามินที่ได้จากพืช และสัตว์ วิตามินธรรมชาติมีคุณภาพสูงกว่าวิตามินสังเคราะห์ ยิ่งถ้าเราถูกกระทบจากความเครียดมาก ร่างกายยิ่งต้องการวิตามิน และเกลือแร่ทดแทนมากกว่าคนปกติ

5.ควรเน้นผัก และผลไม้สด อาหารในแต่ละวันควรเป็นผักสด และผลไม้ประมาณ 70% อีก 30% ควรเป็นอาหารประเภทอื่น ๆ เพราะจะเป็นการเพิ่มพลังตับสูงให้แก่ร่างกาย จะเห็นได้จากนักกีฬาชั้นนำระดับโลกต่างหันมาบำรุงร่างกายด้วยผัก และธัญพืชกันมากขึ้น

6.หลีกเลี่ยงอาหารปรุงแต่ง ได้แก่ อาหารหวานจัด อาหารสำเร็จรูป อาหารที่มีสารเคมีเป็นส่วนผสม และโซเดียมซึ่งมีอยู่ในเกลือ ผงชูรส ผงฟู และสารผสมอาหารต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ไม่มีคุณค่าแต่กลับมีโทษต่อร่างกาย

7.ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะร่างกายเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% แต่ละวันเราสูญเสียน้ำไป 6-8% ของจำนวนน้ำทั้งหมด น้ำจะเป็นตัวพาสารอาหารไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ควรดื่มน้ำสะอาดก่อนหรือหลังอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำย่อยทำงานเต็มที่ และเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ควรดื่มน้ำ 3-5 แก้ว งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เนื่องจากน้ำอัดลม และน้ำเกลือแร่ไม่มีคุณค่าอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
กินอาหารแต่ละมื้อให้เหมาะสม ไม่ควรกินอาหารจนแน่นอึดอัด ควรกินแค่เกือบอิ่ม มื้อเช้าควรได้อาหารที่ให้พลัง เพราะต้องทำงานทั้งวัน มื้อกลางวันไม่ควรทานมากจนแน่นท้อง เพราะอาจทำให้ง่วงนอนในตอนบ่าย ส่วนมื้อเย็นควรเป็นอาหารที่เบาท้องเพราะใกล้เข้านอน ในขณะที่เรานอนหลับ ควรให้กระเพาะ และสำไส้ได้พักผ่อนบ้าง

8.กินอาหารตามฤดูกาล และที่มีอยู่ในท้องถิ่น พืช ผัก ผลไม้ ตามฤดูกาลจะทำให้ร่างกายมีความสมดุลกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดี อาหารที่ผิดฤดู หรือที่เข้ามาจากต่างประเทศ อาจเคลือบสารเคมีหรืออาบรังสีบางอย่างเอาไว้ ซึ่งทำให้ร่างกายไม่มีภูมิต้านทานได้ในฤดูร้อน ควรลดอาหารหนัก และในฤดูหนาวควรกินอาหารที่ให้พลังงาน และความอบอุ่น หลายคนชอบกินอาหารฝรั่ง ซึ่งส่วนมากเป็นอาหารที่มีไขมันสูงเกินความต้องการของคนในประเทศ ซึ่งเป็นเมืองร้อน แต่เหมาะกับต่างประเทศที่เป็นเมืองหนาว

9.กินให้เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวัน หากทำงานนั่งโต๊ะในออฟฟิศ ซึ่งมีเครื่องปรับอากาศทั้งวัน ไม่ควรรับประทานอาหารแต่ละมื้อมากเท่ากับกรรมกรที่ทำงานใช้แรงงานกลางแดด

หลักการกินทั้ง 10 ประการนี้ ช่วยให้ท่านที่ปฏิบัติตาม ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายผนวกกับการดูแลเอาใจใส่ตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และปฏิบัติธรรมแล้วสุขภาพกาย และจิตใจของท่านจะแข็งแรง และดูอ่อนกว่าวัย ไม่ว่าอายุจะล่วงเลยไปเท่าไรก็ตาม



ข้อสรุปในเรื่องอาหาร และการปฏิบัติตนสำหรับผู้สูงอายุ
-จัดอาหารที่ให้พลังงานลดลง เช่น ลดอาหารพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล และไขมันลง
-จัดหารอาหารที่เคี้ยวง่าย และย่อยง่าย โดยจัดหาอาหารให้มีลักษณะน่ารับประทาน และรสชาติถูกใจผู้สูงอายุ
-จัดอาหารให้ครั้งละน้อย ๆ แต่จัดให้กินบ่อยขึ้น เช่น มีมื้อของว่าง
-จัดอาหารให้กินตามเวลา และไม่ควรให้ท่านรอเมื่อหิว
-ให้ดื่มน้ำมาก ๆ อาจเป็นน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้สด ไม่ควรดื่มชา กาแฟแก่ ๆ เพราะจะทำให้ท้องผูก และนอนไม่หลับ
-ไม่กินยาระบาย ยาลดกรด และยาอื่น ๆ โดยแพทย์มิได้สั่ง
-ห้อง หรือที่อยู่อาศัย ควรมีการระบายลมที่ดี และอยู่ในที่ที่ไม่ร้อนจัด เมื่อหนาวก็มีผ้าห่ม และเสื้อกันหนาวให้อย่างเพียงพอ
-ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ
-รักษาสุขภาพจิตให้ดี ควรใช้เวลาในวันนี้ศึกษาพระธรรม และฝึกปฏิบัติเพื่อได้มีสติสัมปะชัญญะอยู่เสมอ

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
http://www.bangkokhospital.com
http://www.bangkokhealth.com
 

พบสมุนไพรใหม่ คาวตอง ทางเลือกสู้หวัด 09

Pic_9090

ผอ.สนช. เผยเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทยตระกูลเดียวกับพลู พบมากทางภาคเหนือ ได้รับความนิยมมากในเกาหลี อินเดีย และอาเซียน ขอเวลาวิจัย-พัฒนา 2 ปีเชื่อ ต้านเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ได้ 

วันนี้ (28 พ.ค.)  นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า ขณะนี้ สนช. สนับสนุนงบประมาณการวิจัยพืชสมุนไพรทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ รวมทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ล่าสุด ได้มีการค้นพบสมุนไพรพื้นบ้านที่เรียกว่า คาวตอง หรือ พลูคาว  เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทยตระกูลเดียวกับพลู พบมากทางภาคเหนือของประเทศ ลักษณะเป็นพืชล้มลุกชนิดเถา มีกลิ่นค่อนข้างคาวเหมือนคาวปลา แต่มีคุณสมบัติพิเศษในการรักษาการติดเชื้อ รักษา แผล รักษามะเร็ง ต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ สมุนไพรดังกล่าวชาวบ้านทางภาคเหนือนิยมนำไปเป็นส่วนผสมของอาหาร แต่ไม่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีกลิ่นแรง ไม่หอมเหมือนใบโหระพา และ กระเพรา ทำให้ไม่เป็นที่นิยม อย่างไรก็ตาม สมุนไพรดังกล่าวได้รับความนิยมมากในประเทศเกาหลี อินเดีย และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการนำสมุนไพรดังกล่าวไปรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง โรคริดสีดวงทวาร โรคติดเชื้อ เป็นต้น  

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า การสนับสนุนพืชสมุนไพรดังกล่าวเพื่อพัฒนาสมุนไพรไทย ที่มีคุณสมบัติในการรักษาโรคให้เป็นยาที่ได้รับการยอมรับ โดย สนช. ได้ร่วมกับ  นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล ประธานบริษัท ไบโอคอนซัลท์ จำกัด ดำเนินการวิจัยสมุนไพรคาวตอง โดยจะศึกษาคุณสมบัติเชิงลึกว่าทำงานได้อย่างไร และมีประโยชน์ในการต้านไวรัสชนิดใดได้บ้าง คาดว่าใช้เวลาการวิจัยและพัฒนา 2 ปี 

ด้าน นพ.กำพล กล่าวว่า ตนเตรียมหารือกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อศึกษาคุณสมบัติของคาวตอง ว่า สามารถนำมาพัฒนาเป็นยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้หรือไม่ เชื่อว่าจะสามารถต้านเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเชื้อเอชไอวี โดยอาจต้องใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ฟ้าทะลายโจน  มีคุณสมบัติเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย อย่างไรก็ตาม ในต้นเดือนมิ.ย.นี้ ตนจะหารือกับกลุ่มแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น นำโดย นพ.ฮิราชิ เพื่อที่จะพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากกลุ่มแพทย์ดังกล่าวกำลังมองหาเครือข่ายจากประเทศต่างๆ  ประเทศไทยก็สนใจเช่นกัน
 
http://www.thairath.co.th/content/edu/9090



check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

สภากาชาดเผยเลือดร้อยละ 40 คุณภาพต่ำ ข้นไม่พอ-พลาสมาขุ่น

สภากาชาดเผยเลือดร้อยละ 40 คุณภาพต่ำ ข้นไม่พอ-พลาสมาขุ่น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤษภาคม 2552 09:15 น.
       สภากาชาดเผยผลโครงการดูแลผู้บริจาคโลหิต พบสาเหตุที่ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ ร้อยละ 40 ความเข้มข้นของโลหิต ไม่ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน จากภาวะโลหิตจาง ร้อยละ 10 ไม่รู้ว่าต้องงดยา ปฏิชีวนะ ยารักษาสิว แอสไพริน ก่อนบริจาค รวมถึงไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันสูงก่อนมาบริจาคโลหิตทำให้ พลาสมาขาวขุ่น นำเลือดไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ แนะดื่มน้ำ 3-4 แก้วก่อนบริจาคป้องกันเป็นลม
       
       นาวาโทหญิง พญ.อุบลวัณณ์ จรูญเรืองฤทธิ์ รองผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ กล่าวว่า จากการที่สภากาชาดจัดให้มีโครงการดูแลผู้บริจาคโลหิต 4 โครงการ คือ
1.โครงการการดูแลผู้บริจาคโลกหิตด้วยการดำเนินโครงการคัดกรองผู้บริจาคโลหิตที่ใช้ยา ระหว่างปี 2547 -2550 พบว่า สาเหตุสำคัญที่ไม่สามารถบริจาคโลหิตมาจากการใช้ยาร้อยละ 10 เนื่องจากไม่ทราบว่าต้องมีการงดยาบางประเภทก่อนที่จะมาบริจาคโลหิตหรือหายจากโรคหรือสาเหตุที่ต้องใช้ยาอย่างน้อย 3-7 วัน เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาสิว และยาแอสไพริน เป็นต้น 
2.โครงการการป้องกันและลดการเป็นลมระหว่างหรือหลังบริจาคโลหิต โดยได้ให้ผู้บริจาคโลหิตดื่มน้ำก่อนการบริจาคโลหิต 30 นาที ประมาณ 3-4 แก้ว หรือเท่ากับปริมาณโลหิตที่บริจาค 450 ซี.ซี. เพราะจะช่วยจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น เลือดไหลเวียนดี ป้องกันภาวะการขาดน้ำซึ่งเป็นสาเหตุของการเป็นลม ซึ่งภายหลังการดำเนินการเช่นนี้ พบว่า อัตราการเป็นลมหลังบริจาคโลหิตที่ศูนย์บริการโลหิตฯ ระหว่าง ส.ค.2550-มิ.ย.2551 ลดลงจาก ร้อยละ 0.25 เหลือ ร้อยละ 0.16 และที่หน่วยรับบริจาคเคลื่อนที่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงระหว่างเดือนก.ค.2550 – มิ.ย. 2551 ลดลงจาก ร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 0.16
3.โครงการลดการสูญเสียพลาสมาขาวขุ่น พบว่าโลหิตที่ได้รับบริจาค เมื่อนำไปปั่นแยกส่วนประกอบของโลหิต มักจะพบว่าพลาสมาหรือ น้ำเหลือง มีสีที่ผิดปกติเช่น สีขาวขุ่น สีเขียว และสีดำ ไม่สามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยได้ ซึ่งพลาสมาขาวขุ่น พบในปริมาณมากที่สุด จึงทำการศึกษาจากผู้บริจาคโลหิตที่มีพลาสมามีสีขาวขุ่น พบว่าร้อยละ 98 ไม่ทราบว่าต้องงดอาหารที่มีไขมันสูงก่อนมาบริจาคโลหิต ทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารและไขมันเข้าสู่กระแสเลือด จึงมีไขมันอยู่ในโลหิตปริมาณมาก ผู้บริจาคโลหิตควรงดการทานอาหารที่มีไขมันสูงก่อนมาบริจาคโลหิตอย่างน้อย 6 ชั่วโมง สามารถลดปริมาณการเกิดพลาสมาขุ่นขาวได้"
4.โครงการ การป้องกันภาวะโลหิตจาง พบว่า สาเหตุที่ผู้ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ อันดับ 1 หรือ ร้อยละ 40 ของผู้บริจาคโลหิต คือ ความเข้มข้นของโลหิต ไม่ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากเกิดภาวะโลหิตจาง จากการสูญเสียธาตุเหล็ก ดังนั้น ผู้บริจาคโลหิตต้องให้ความสำคัญกับการรับประทานธาตุเหล็ก ในรูปของเม็ดยา ภายหลังจากการบริจาคโลหิตทุกครั้ง เพื่อรักษาภาวะความสมดุลของร่างกายให้สามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน เพื่อให้โลหิตมีความเข้มข้นพอที่จะสามารถบริจาคโลหิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถสอบถามและขอรับเอกสารความรู้ได้ที่โทร. 0 2256 4300, 0 2263 9600 ต่อ 1760 หรือ www.blooddonationthai.com

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000060560


check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กลับบ้านที่แท้จริง กับติช นัท ฮันห์

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11403 มติชนรายวัน


กลับบ้านที่แท้จริง กับติช นัท ฮันห์


คอลัมน์ บุ๊กสโตร์

โดย พยาธิ เยิรสมุด




ธรรมบรรยายของผู้นำจิตวิญญาณอันเป็นที่เคารพ ครั้งเดินทางมานำภาวนาและปาฐกถาในเมืองไทยเมื่อปี ๒๕๕๐ เนื่องในวันวิสาขบูชาโลก กลับบ้านที่แท้จริงกับติช นัท ฮันห์ โดยเลมอนฟาร์ม บุ๊คส์ ด้วยหลักคำสอนที่ง่าย งดงาม ซึ่งสามารถประยุกต์กับชีวิตประจำวันได้ดี ภิกษุณี นิรามิสา แปลให้อ่านชัดเจน

- แสงดาวมี เทือกเถาเหล่ากอ ของอาจารย์ วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร โครงกระดูกในตู้ของตัวเอง จากสายปู่ย่าและตายาย ซึ่งล้วนเคยมีบทบาทสำคัญในวงสังคมไทย

ยังมี การพูดในที่ชุมนุม ของ เดล คาร์เนกี้ แปลโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์ ที่โด่งดังมาถึงครึ่งศตวรรษแล้ว นักอ่านและนักปรับปรุงตัวรุ่นนี้ควรศึกษาดูเป็นแบบ

- จีเอ็มบุ๊คส์มี เดินสู่ภูเขา ของ ๑๓ นักเดินทางที่ต่างเคยไปสู่ภูเขามีชื่อทั่วโลก ตั้งแต่ดอยม่อนจอง, กรากะตั้ว, แคนาเดียน ร็อคกี้, แอลป์, คินาบาลู, เอเวอร์เรสท์ เบส แคมป์, คิลิมานจาโร ฯลฯ กับ ๑๓ สำนวนชวนติดตาม พร้อมด้วย "พระเจ้าบนภูเขา" ของ โตมร ศุขปรีชา


- หนังสือเศรษฐศาสตร์และการเงินขายดีที่โลกพูดถึง เมื่อเศรษฐกิจโลกพินาศ ของ โมอัมเหม็ด เอล อีเรียน เราคนไทยยิ่งน่าหาอ่นไว้ตั้งหลัก และปรับตัวให้เหมาะสม แมคกรอฮิลล์ให้ พรศักดิ์ อุรัจฉัทชัยรัตน์ แปลให้เข้าใจ

- คนรุ่นสงครามเวียดนามต้องรู้จัก หวอเหงียนย้าป จอมทัพคู่บารมีโฮจิมินห์ ผู้พิชิตฝรั่งเศสและอเมริกัน หนึ่งในสิบนักการทหารซึ่งโลกยกย่อง ศุขปรีดา พนมยงค์ กับ ปรีดา ข้าวบ่อ เรียบเรียงให้มิ่งมิตรพิมพ์ จะได้เห็นว่าไทยกับเวียดนามผูกพันลึกซึ้งมาก่อนขนาดไหน

- ผีเสื้อมี เกือบไม่ได้เขียน ของ เจมส์ เฮอร์เรียต รวมเรื่องสั้นอันลือชื่อของสัตวแพทย์ที่โลกรู้จัก ปาริฉัตร เสมอแข แปลเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจที่ไม่ได้อ่าน

ยังมีวรรณกรรมเยาวชนร่วมสมัย ดอกไม้และสายฝน ของ วาวแพร ที่ชวนให้ซาบซึ้งและประทับใจ

- แต่หากจะเอาเจ็บๆ ก็ต้อง อะ เยียร์ อิน เดอะ แมร์ด ซึ่งต่อด้วย แมร์ด แอคชวลลี่ และ ทอล์ค ทู เดอะ สเนล งานพิสดารของ สตีเฟน คลาร์ค คนอังกฤษที่เขียนเรื่องคนฝรั่งเศสให้คนฝรั่งเศสและคนทั้งโลกอ่าน ด้วยเสียงหัวเราะที่แสบและคันด้วยความเข้าใจ



มนันยา กับ วลัยภรณ์ นาคพันธุ์ และ อธิชา มัญชุนากร ช่วยกันแปลคนละเล่มให้ฟรีฟอร์มพิมพ์

- อมรินทร์วางชุด เชอร์ล็อค โฮล์ม ครบ ๑๖ เล่มชุด อ่านกันเพลินไปเลย โดยแก้ไขสำนวนแปลเพิ่มเติม อ.สายสุวรรณ ให้เยี่ยมขึ้น เริ่มด้วยตอน แรงพยาบาท และ ผจญมัจจุราช อันเข้มข้นคลาสสิค จะทยอยอ่านเล่มต่อๆ ไป

- การ์ตูนไทยก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ พุทธประวัติ โดย โอม รัชเวทย์ จะทำให้น้องๆ ที่รักเรียนและรักการ์ตูนเข้าใจพระศาสนายิ่งขึ้น

- สยาม อินเตอร์ บุ๊คส์ยังวาง ผู้พิชิตดาราจักร ของ หวงอี้ ให้อ่านไม่ขาดตอน น.นพรัตน์ ก็แปลนิยายวิทยาศาสตร์เล่ม ๔ ได้รสชาติไม่เพี้ยนความรู้สึก

ส่วนฝีมือนักเขียนไทยก็ต้อง แชโดว์ ออฟ แองเจิล จินตนาการในห้วงจักรวาลความคิด ที่กระตุ้นให้นักเขียนรุ่นหนุ่มสาวปัจจุบันเขียนหนังสือกันยกใหญ่

- สารคดี ตามรอยเจ้าอนุวงศ์ พลิกประวัติศาสตร์ไทยลาว, สัมภาษณ์ธนกรบ้านท้องทราย, รู้จักโพลาร์ซิตี้, สุขภาพดูแลเองได้, เที่ยวทะเลชุมพร

ฅ คน อ่านหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ตั้งวงหมอลำ, หมอแม่น้ำโขง, การเมืองบำบัด, ภาพชุดพระสงฆ์, ผู้ใหญ่คนจริงสามร้อยยอด, ทิวาพูดถึงปืน, โตมรชวนมองโลก

แพรว กับแอนดริวและศิรพันธ์พร้อมสัมภาษณ์หมดเปลือก, เปิดวังประมวญน่าดู, ทายาทนักบินหญิง, ปาร์ตี้ที่เกาะเกร็ด, ช่วงดีๆ คอฟฟี้ไทม์ ชีวจิต กับสุวนันท์, วิธีแก้หวัดของจอร์จ วอชิงตัน, โรคจากในรถ, กินยาไม่ถูกโรค

สุดสัปดาห์ กับเดอะ สตาร์, ๓๐ หนุ่มน่ากอด, เซ็กซ์เสื่อมหรือเป็นเกย์, ๑๐ ข้อดีของสาวโสด ซีเครท กับสุกฤษฏิ์, รู้จักแม่ชีศันสนีย์, ๘ วิธียืดอกเป็นโสด, ๕ สาเหตุที่ชายมีกิ๊ก

เอ-สตาร์ ๕ เทพสุดฮอท, ซูเปอร์จูเนียร์, เอฟ.ที.ไอส์แลนด์, บิ้กแบง, แถมโปสเตอร์ชีเน่

และสุดท้ายประจำเสาร์ มติชนสุดสัปดาห์ การเมืองสำหรับครอบครัว วางแผงแล้ววานนี้

หน้า 24
 
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01ent02300552&sectionid=0105&day=2009-05-30


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

มติ 35 ปธ.กมธ.คืนกม.ผู้สูงอายุนายกฯ

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11403 มติชนรายวัน


มติ 35 ปธ.กมธ.คืนกม.ผู้สูงอายุนายกฯ




นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นประธานการประชุมประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญประจำสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 35 คณะ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ที่ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาวาระ 2 เป็น พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงินตามรัฐธรรมนูญ 149 หรือไม่ ซึ่งประธาน กมธ.ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ถือเป็น พ.ร.บ.การเงินมาตั้งแต่แรกแล้ว เนื่องจากมีกำหนดให้การจ่ายเบี้ยยังชีพตลอดไป ไม่ใช่จ่ายเพียงชั่วคราว โดยนายสามารถได้ขอมติจากที่ประชุม ปรากฏเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า พ.ร.บ.สูงอายุ เป็น พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงิน ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจะส่งเรื่องกลับไปให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับรอง และเมื่อนายกรัฐมนตรีส่งเรื่องกลับมาก็จะได้เข้าสู่ที่ประชุมรับหลักการ ในวาระ 3 จากนั้นส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ยังมีประธาน กมธ.ได้ฝากข้อสังเกต อาทิ นายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ประธานกมธ.ติดตามการบริหารงบประมาณ กล่าวว่า ขอฝากว่ากรณีที่จะเสนอร่างกฎหมายที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาไม่ว่าจะเป็นของ ส.ส. องค์กรอิสระต่างๆ เช่น คตง. ศาลรัฐธรรมนูญ กกต.ให้ตรวจสอบให้เรียบร้อย โดยเฉพาะกรณีการจัดสรรตำแหน่งขึ้นมาใหม่ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงินหรือไม่ จะได้ไม่เป็นภาระของสภา ทำให้สภาเสียหายเพราะฉะนั้นขอให้พิจารณาให้รอบคอบ ด้านนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา ประธาน กมธ.การเกษตรและสหกรณ์ กล่าวตำหนิทีมกฎหมายว่า อยากให้ดูรายละเอียดให้รอบคอบก่อนที่จะส่งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตัดสินใจ เพราะเกิดปัญหาข้อกฎหมายหลายเรื่อง นอกจากนี้ อยากฝากเรื่องการตั้งที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการที่พบว่ามีการตั้งนักการเมืองท้องถิ่นมาเป็นที่ปรึกษา ซึ่งถือว่าผิดและไม่เหมาะสม ซึ่งตามระเบียบถือว่าผิดกฎหมาย และต้องลาออกจากตำแหน่ง เพราะสภานี้ออกกฎหมายมาเพื่อใช้กับคนทั้งประเทศ แต่ถ้าหลุดเส้นอย่างนี้มันน่าอดสู

หน้า 11

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pol03300552&sectionid=0133&day=2009-05-30
 


check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

www.parent-youth.net

จาก:  lee lee (thai9lee@gmail.com)
ส่งเมื่อ: 29 พฤษภาคม 2552 20:24:23
ถึง:
สิ่งที่แนบมา: สิ่งที่แนบมา 13 รายการ
ATT00001 (2.8 กิโลไบต์), ATT00000 (2.9 กิโลไบต์), ATT00002 (16.9 กิโลไบต์), อำมาตยาธิ...doc (29.3 กิโลไบต์), การเมืองใ...doc (30.8 กิโลไบต์), ทักษะชีวิ...doc (141.0 กิโลไบต์), ทำไมเด็กไ...doc (58.9 กิโลไบต์), แอดมิชชั่...doc (19.5 กิโลไบต์), ปัญหาวิกฤ...doc (41.3 กิโลไบต์), คนที่ควรห...doc (28.1 กิโลไบต์), แอดมิชั่น...doc (322.9 กิโลไบต์), ท่าน ทหา...doc (19.1 กิโลไบต์), วงจร ชั่ว...doc (31.9 กิโลไบต์)

เชิญเลือกอ่านตามสบายนะคะ
 
ขอบคุณคะ
 
กมลพรรณ
 

ภาคประชาชนบอยคอตเวทีรับฟังความเห็นร่างกฎหมายคุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากบริการสาธารณสุขฉบับใหม่

ภาคประชาชนบอยคอตเวทีรับฟังความเห็นร่างกฎหมายคุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากบริการสาธารณสุขฉบับใหม่ 

 

27 พ.ค.52 กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นเรื่อง "ร่าง พ.ร.บ." เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในระบบบริการสาธารณสุข" หรือร่างเดิมชื่อ "ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากบริการสาธารณสุข" ซึ่งทางกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนและเครือข่ายประชาชนหลายกลุ่มที่เกี่ยวข้องปฏิเสธการเข้าร่วม

 

น.ส.สารี กล่าวว่า เครือข่ายภาคประชาชนเห็นว่า เป็นการจัดประชุมเพื่อรับฟังความเห็นที่ไม่เป็นธรรม ไม่มีสัดส่วนผู้เสียหาย ผู้ป่วย องค์กรผู้บริโภคเข้าชี้แจง ทั้งที่เป็นเวทีสุดท้ายก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ภายหลังจากที่ผ่านความเห็นของคณะกรรมการกฎษฎีกาที่มีการปรับเปลี่ยนจากร่างฯ เดิมที่ทางเครือข่ายเสนอค่องข้างมาก โดยกำหนดเวลาในการรับฟังความคิดเห็นเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น ดังนั้นทางเครือข่ายผู้บริโภคและเครือข่ายผู้ป่วยจึงไม่อยากเป็นเพียงหุ่นที่นั่งรับฟัง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการออกกฎหมายฉบับนี้ให้กับกระทรวงเท่านั้น

         

"เครือข่ายผู้บริโภคและเครือข่ายผู้ป่วย ได้ทำหนังสือเพื่อส่งถึงนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข เพื่อให้จัดเวทีในการรับฟังความคิดเห็นในร่างกฎหมายนี้ใหม่ โดยต้องเปิดให้ทุกฝ่ายได้แสดงความเห็นเช่นเดียวกับร่างพ.ร.บ.องค์กรอิสระคุ้มครองผู้บริโภค ที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายและผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ใช่การจัดเวทีรับฟังความเห็นอย่างวันนี้ที่ทำอย่างรวบรัด" น.ส.สารีกล่าว

        

ด้าน นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า หากมีการเรียกร้องให้จัดเวทีเสวนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นใหม่ก็ไม่ขัดข้อง แต่ยืนยันว่าการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้เป็นไปตามขั้นตอนซึ่งไม่ได้ปิดกั้นและเปิดให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นได้ และการที่ร่างที่ผ่านความเห็นกฤษฎีกามีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ และขั้นตอนการออกกฎหมายก็ยังไม่สิ้นสุดแค่นี้เพราะหลังจากนี้จะต้องรวบรวมความคิดเห็นทั้งหมดที่รับฟังเพื่อนำเสนอกลับไปยังกฤษฎีกาอีกครั้ง

 

 

ทั้งนี้ ในหนังสือคัดค้านการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อกฎหมายฉบับดังกล่าวระบุว่า

 

"เครือข่ายประชาชนผู้สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมาย (ร่าง) พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ.... ประกอบด้วย เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ประเทศไทย เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ชมรมผู้ป่วยโรคไต เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ซึ่งได้ร่วมกันผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อชดเชยผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ลดการฟ้องร้องระหว่างแพทย์และคนไข้ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพ มาตรฐานระบบบริการสาธารณสุขในประเทศไทย

โดยที่รัฐบาลนี้ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว และร่างพระราชบัญญัติของรัฐบาลได้ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กฎหมายดังกล่าวได้ถูกปรับเปลี่ยนหลักการและสาระสำคัญหลายประการ อาทิ

1.1    เปลี่ยนแปลงชื่อกฎหมาย

จาก "ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... เป็น  "ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในระบบบริการสาธารณสุข พ.ศ. ..." ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์และหลักการของร่างกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีแล้ว จากเดิมที่มุ่งเน้นการชดเชยความเสียหายเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของผู้เสียหาย เป็นมุ่งเน้นการสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ โดยลดทอนความสำคัญของการชดเชยความเสียหายลงไป

1.2    เพิ่มขั้นตอนการไกล่เกลี่ย

หลักการดำเนินการเดิมมุ่งเน้นการชดเชยความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมโดยไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิด แต่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับเพิ่มกระบวนการไกล่เกลี่ย

1.3    ปรับให้สำนักงานอยู่ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข

ตามร่างเดิมเสนอให้มีสำนักงานคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข แต่ได้มีการปรับแก้ในร่างใหม่ให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขเป็นสำนักงานเลขานุการ

จากข้อเท็จจริงในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีฐานะเป็นผู้ให้บริการและเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายในหลายกรณี จึงไม่อยู่ในฐานะที่เป็นกลาง และไม่ได้รับการยอมรับจากเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ นอกจากนี้ กรมสนับสนุนบริการยังไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายตลอดจนขาดประสบการณ์และบุคลากรที่มีความสามารถในการบริหารกองทุน หากจะยึดแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีควรกำหนดให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นสำนักงานเลขานุการไปพลางก่อน เนื่องจากมีประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากการให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตลอดจนมีฐานะเป็นผู้ซื้อบริการมิใช่ผู้ให้บริการ และสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการหรือพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจหน้าที่ ดังเช่นที่ต้องดำเนินการกรณีกำหนดให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นสำนักงานเลขานุการ

1.4    ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของคณะกรรมการจ่ายเงินชดเชยความเสียหาย

ได้ปรับแก้องค์ประกอบให้มีสัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพเพิ่มขึ้น ซึ่งในปัจจุบันพบว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นอุปสรรคในการพิจารณาการชดเชยความเสียหายและทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นที่เป็นธรรม

บทบาทที่สำคัญของคณะกรรมการ คือการพิจารณาว่าความเสียหายเกิดจากการรับบริการสาธารณสุขจริงหรือไม่ เพื่อจ่ายเงินชดเชย โดยไม่ต้องพิจารณาว่ามีผู้ใดต้องรับผิดหรือไม่ เพื่อให้การชดเชยเป็นไปโดยรวดเร็วและเป็นธรรม ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้กระบวนการพิสูจน์ความรับผิดซึ่งใช้ระยะเวลานาน และไม่เกี่ยวพันกับการสอบสวนหรือลงโทษโดยสภาวิชาชีพ ดังนั้นองค์ประกอบของคณะกรรมการจึงไม่จำเป็นต้องเป็นผู้แทนจากสมาคมวิชาชีพหรือสภาวิชาชีพ แต่ต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละวิชาชีพที่ได้รับการยอมรับจากสังคม และองค์ประกอบของคณะกรรมการควรมีผู้ที่มีผลงานด้านการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในสัดส่วนที่เหมาะสม

1.5    สิทธิกรณีผู้เสียหายฟ้องคดีต่อศาล

ตามร่างเดิมหากผู้เสียหายหรือทายาทฟ้องคดีต่อศาล ให้ยกเลิกการพิจารณาคำร้อง แต่ในร่างใหม่ปรับแก้เป็นให้ยุติการดำเนินการและตัดสิทธิที่จะยื่นคำขอตามพระราชบัญญัตินี้อีก และเพิ่มเติมในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ให้บริการสาธารณสุขชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้พิจารณาว่าจะจ่ายเงินจากกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้แทนผู้ถูกฟ้องคดีหรือไม่

ดังนั้นการจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นในวันนี้ ควรจะได้มีโอกาสรับฟังความคิดเห็น แลกเปลี่ยนและหาข้อสรุปในสาระสำคัญของกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะร่างเดิมของทั้งกระทรวงสาธารณสุขและเครือข่ายประชาชนผู้มีสิทธิเสนอกฎหมายไม่ได้แตกต่างกันในหลักการและสาระสำคัญ แต่การจัดสัมมนาในครั้งนี้ กลับดำเนินการตั้งประเด็นที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบัน รวมทั้งสะท้อนความไม่เป็นธรรมในกำหนดการจัดสัมมนาเป็นอย่างดี โอกาสในการพูดที่ไม่เท่าเทียม การแสดงความเห็นของกลุ่มที่ขัดแย้งเห็นได้จาก มีเวลาที่จำกัดในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพียง ๓๐ นาทีก่อนการปิดการประชุม

จึงใคร่ขอเรียนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่ประธานในการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอีกครั้ง  และกลุ่มองค์กรข้างต้น ยินดีเข้าร่วมสัมมนาการรับฟังความคิดเห็นเรื่องนี้ จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา"

 

 




http://www.prachatai.com/05web/th/home/17002

โดย : ประชาไท   วันที่ : 28/5/2552


Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.

เสียงจากชุมชนถึงผู้นำประเทศ: สัมมนาเอดส์ชาติครั้งที่ 12

เสียงจากชุมชนถึงผู้นำประเทศ: สัมมนาเอดส์ชาติครั้งที่ 12 

หมายเหตุผู้ดำเนินรายการ: วานนี้ (27 พ.ค.) ได้มีการเปิดการประชุมสัมมนาเอดส์ชาติ ครั้งที่ 12 โดย คณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ และ 18 เครือข่ายภาคประชาสังคม ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี โดยมีนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน ถ้อยแถลงข้างล่างเป็นสาส์นจากชุมชนที่มีต่อนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้แทนผู้มีเชื้อเอชไอวีเป็นผู้นำเสนอ

 


เรียน ท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ดิฉันขอขอบคุณท่านที่ให้โอกาสมารับฟังและมาร่วมงานสัมมนาเอดส์ระดับชาติครั้งนี้

ดิฉัน รัตนา น้อยตา จากเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ในนามตัวแทนเครือข่ายประชาสังคมที่ทำงานด้านเอดส์ 18 เครือข่าย

จากประสบการณ์และบทเรียนการทำงานของพวกเรา จากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีความสำคัญที่เราพบว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องให้ความใส่ใจและความสำคัญ ประเด็นสำคัญคือ รัฐยังอ่อนแอในงานป้องกันเอดส์ เนื่องเพราะหากมองไปยังกลุ่มต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนงาน กลุ่มแรงงานข้ามชาติ กลุ่มเยาวชน กลุ่มผู้หญิงทั่วไป กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ใช้ยา กลุ่มชาติพันธุ์ ฯลฯ รัฐยังไม่ได้ทำงานป้องกันกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างจริงจัง เราพบว่าหากรัฐจะสร้างสังคมแห่งสุขภาวะได้ ต้องให้ความสำคัญในการป้องกัน

สิ่งที่พบมีตัวอย่างสำคัญมากมาย....

ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันในกลุ่มผู้หญิงในคู่ความสัมพันธ์ทั่วไป ซึ่งที่ผ่านมา รัฐมุ่งเน้นทำงานป้องกันในกลุ่มพนักงานบริการ แต่สิ่งที่พบคือ อาชีพไม่ใช่สาเหตุของการแพร่เชื้อ แต่ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของคน ในเรื่องนี้รัฐต้องมองให้เห็นว่าถุงยางอนามัยไม่ใช่แค่การป้องกันโรคเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นเรื่องสุขอนามัย เป็นเรื่องทั่วไปในวิถีชีวิตของคนทุกคน และต้องสร้างความรู้สึกธรรมดาต่อถุงยางอนามัย

ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรงบประมาณสำหรับการป้องกัน ที่ยังไม่ค่อยสอดคล้องกับวิถีชีวิต เช่น ถุงยางอนามัยที่ทั่วถึง เข้าถึงง่าย ถุงอนามัยสำหรับผู้หญิง และ การรณรงค์เข็มสะอาด ยังคงต้องส่งเสริมอย่างต่อเนื่องและดำเนินการอย่างจริงจัง ครอบคลุม มากกว่าเดิม

ไม่ว่าจะเป็นการสอนเรื่องเพศศึกษาในโรงเรียน พบว่า ครูยังมีอคติต่อเรื่องเพศ ยังไม่มีความเข้าใจอย่างลุ่มลึก ในประเด็นเรื่องเพศศึกษา เพราะยังมีอคติทางเพศอยู่ในนั้น ซึ่งเรายังไม่เห็นความจริงใจในระดับนโยบาย ว่าจะเอาความชัดเจนไว้ตรงไหน ใน สพฐ. หรือไม่อย่างไร แม้ว่างานวิจัยที่ระบุว่า "เรียน 16 คาบต่อปีรองรับว่าจะทำให้เด็กมีชีวิตทางเพศที่ปลอดภัยและสุขภาวะ" แต่ยังไม่เห็นรัฐบาลกำหนดเรื่องเพศศึกษา ที่ชัดเจน ในโรงเรียน ที่ต้องไม่ใช่แค่สร้าง "ความเก่ง" แต่ "ความดี" และ "มีสุข" ยังขาดไป

หรือแม้แต่ การตรวจเลือดของเด็กและเยาวชนที่อายุต่ำ 18 ปี กับการส่งเสริมสิทธิทางเพศในการเข้ารับบริการ รัฐเองต้องเชื่อมั่นว่าเป็นสิทธิของเด็กและเยาวชนในการเข้าถึงบริการในการดูแลสุขภาพของตนเอง ซึ่งหากรัฐมีความจริงใจควรติดตามแนวปฏิบัติให้เกิดการสนับสนุนบุคลากรที่เกี่ยวข้องดำเนินการบริการที่ปราศจากอคติ ลดการเลือกปฏิบัติ และมีความจริงใจต่อการดำเนินการอย่างแท้จริง

รวมทั้ง การตรวจเลือดก่อนฝากครรภ์ของหญิงที่มีเชื้อและผู้หญิงทั่วไป ควรได้รับการดูแลที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะปัจจุบันยังขาดระบบการดูแล ทั้งก่อนและหลังการตั้งครรภ์ เนื่องเพราะเป็นเรื่องส่งผลให้ผู้หญิงหลายๆ คนมีความประสงค์ที่จะยุติการตั้งครรภ์ ทำให้ผู้หญิงไม่มีทางเลือก ที่จะตัดสินใจชีวิตของตัวเอง

สิ่งที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ ล้วนสะท้อนถึงจุดอ่อนทางด้านสังคมที่รัฐยังอ่อนแอและละเลย ต่อการทำงานป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/ เอดส์ อย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ภาคประชาสังคมไทย เฝ้ามองและติดตามมาโดยตลอด และเราขอเรียกร้องให้ท่านในฐานะผู้นำประเทศ แสดงความกล้าหาญ แสดงความเข้มแข็ง แสดงความใส่ใจ ที่จะดำเนินการในเรื่องเอดส์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการส่งเสริมการป้องกัน อย่างเป็นรูปธรรม และเราต้องการสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงต่อข้อเรียกร้องของเรา โดยการเริ่มต้นฟื้นฟู กระบวนการมีส่วนร่วมในการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างรัฐและประชาสังคม

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าการป้องกัน นั่นคือ การดูแล รักษาผู้ที่ติดเชื้อซึ่งปัจจุบันมีคนมากกว่า 100,000 คนได้รับการรักษาจากระบบหลักประกันสุขภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยชีวิตหลังการกินยา เป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ต่อเนื่องและทางเลือกในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียนหนังสือ ความสัมพันธ์ระหว่างคู่ การอยู่ร่วมในชุมชนและสังคม ล้วนเป็นสิ่งที่รัฐต้องมีนโยบายในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตหลังจากกินยาต้านอย่างมีเป็นรูปธรรม

ท่านนายกฯ ค่ะ และที่สำคัญไปกว่านั้น ท่านต้องเป็นคนแถวหน้า ที่จะแสดงให้คนทั้งสังคมเห็นว่า เอดส์เริ่มป้องกันได้ด้วยตัวเอง และท่านต้องแสดงให้เห็นว่า พวกเราทุกๆ คน พร้อมจะร่วมสร้างสังคมที่จะอยู่ร่วมกัน ป้องกัน ดูแล รักษาเอดส์

ท่านนายกฯ ค่ะ ไม่ว่าท่านจะมีเชื้อหรือไม่ เราอยู่ร่วมกันได้ และที่สำคัญเราขอให้ท่านมีสุขภาวะทางเพศที่ดี มีสติทุกครั้งที่จะป้องกันตัวเองจากการมีเพศสัมพันธ์ เราอยากให้ท่านปลอดภัย เช่นเดียวกันกับที่พวกเราทุกคนต่างก็ต้องการความปลอดภัยและเป็นสุขทางเพศเหมือนกัน

ด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่น

27 พฤษภาคม 2552



คณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ และ 18 เครือข่ายภาคประชาสังคม
1.  
คณะทำงานเรื่องผู้หญิงในงานเอดส์
2.  
เครือข่ายเยาวชนด้านเอดส์ ประเทศไทย
3.  
เครือข่ายผู้สูงอายุและหมอเมือง
4.  
เครือข่ายแผนงานสร้างเสริมสุขภาพทางเพศ
5.  
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย
6.  
เครือข่ายผู้ใช้ยา ประเทศไทย
7.  
เครือข่ายผู้หญิงติดเชื้อ
8.  
เครือข่ายองค์กรศาสนาด้านเอดส์
9.
เครือข่ายชาติพันธุ์
1
0. เครือข่ายแรงงานข้ามชาติ
11.
เครือข่ายสิทธิมนุษยชนกับเอชไอวี/ เอดส์
1
2. เครือข่ายพนักงานบริการ
1
3. เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ
1
4. เครือข่ายเพศศึกษารอบด้าน
1
5. เครือข่ายคนทำงานเอดส์ในชุมชน
1
6. เครือข่ายคนทำงานในสถานประกอบการ
1
7. เครือข่ายเอดส์และยาเสพติด
1
8. กลุ่มเพื่อน ""




http://www.prachatai.com/05web/th/home/17008

โดย : ประชาไท   วันที่ : 29/5/2552


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.

รับมือ “ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก”/ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล ภาควิชาจุลชีววิทยา

รับมือ "ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก"/ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล ภาควิชาจุลชีววิทยา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 เมษายน 2552 07:39 น.
       ช่วงนี้หลายคนอาจตื่นตระหนกกับโรค "ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก" ซึ่งแพร่ระบาดอยู่ในประเทศเม็กซิโกและขยายไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเจ้าไวรัสนี้ เรามีความรู้มาฝากครับ
       

       1.โรคไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก หรือแต่เดิมเรียกไข้หวัดหมู เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จากเชื้อไวรัสชนิด A สายพันธุ์ H1N1 ที่มีสารพันธุกรรมของไวรัสของคน หมู และนกผสมกัน แต่มีความแตกต่างจากไข้หวัดดั้งเดิมที่พบในหมูที่เกิดขึ้นได้ตามฤดูกาล อีกทั้งลักษณะสายพันธุ์ ไม่คล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ในคน ไวรัสสายพันธุ์นี้เป็นการกลายพันธุ์ของเชื้อในตัวคน ไม่ใช่จากหมูสู่คน ดังนั้น ภายหลังการประชุมวิชาการหารือเร่งด่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก H1N1 ของกรมควบคุมโรคของไทยเมื่อวันที่ 27 เม.ย.จึงให้เรียกชื่อว่า "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก" สาเหตุที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคนไม่มีภูมิต้านทานโรคชนิดนี้ตามธรรมชาติ และวัคซีนสำหรับโรคนี้จะต้องใช้เวลาหลายเดือนในการพัฒนาขึ้นมา
       
       2.การติดต่อจากคนสู่คน ไม่ใช่จากหมูสู่คน ไม่เหมือนไข้หวัดนก เชื้อไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก มีการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนโดยทั่วไป คือ เชื้อนั้นจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด หรือติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา มักพบในคนที่แข็งแรงช่วงอายุ 20-40 ปี ส่วนประชาชนที่บริโภคหมูก็ไม่ต้องกลัว เพราะหากปรุงสุกก็ไม่มีอันตรายอะไร
       
       3.อาการ คล้ายคนเป็นไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอ มีน้ำมูก นอกจากนี้ ในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หากติดเชื้อจะทำให้มีอาการที่รุนแรงขึ้นได้ ขอย้ำเพื่อไม่ให้ตื่นตกใจ ผู้ที่มีอาการไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ไม่ต้องมาพบแพทย์ ยกเว้นรายที่มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ขอให้มาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา ซึ่งหากค้นพบผู้ป่วยได้เร็ว แยกโรค แยกผู้ป่วยไม่ให้กระจายเชื้อ โดยสวมหน้ากากอนามัยและให้ยาทามิฟลู หรือโอเซลทามิเวียร์ภายใน 48 ชั่วโมงที่มีไข้ ส่วนใหญ่รอดชีวิต ซึ่งขณะนี้ไทยมียาต้านไวรัส "ทามิฟลู" สำรองไว้ 3 ล้านเม็ด ซึ่งสามารถรักษาคนได้ 3 แสนคน และกรณีฉุกเฉินองค์การเภสัชกรรม สามารถผลิตเพิ่มได้อีกประมาณ 1 ล้านเม็ด
       
       4.ความแตกต่าง ไข้หวัดนกจะกระจายไปทุกระบบของร่างกาย แต่ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกจะไปเฉพาะระบบทางเดินหายใจ จึงทำให้อาการรุนแรงน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดปอดอักเสบที่อาจนำไปสู่ระบบหายใจล้มเหลวและทำให้เสียชีวิตได้
       
       5.ความรุนแรงของไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก หากเทียบกับไข้หวัดนกนับว่าน้อยกว่า มีเพียง 6% เท่านั้นที่เสียชีวิต แต่ความสามารถแพร่ระบาดขยายวงกว้างได้มากกว่า ขณะที่ผู้ป่วยไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์รุนแรงที่ทั่วโลกให้ความสำคัญมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 65%
       
       6.มาตรการของโลก ขณะนี้องค์การอนามัยโลก ( WHO) ได้ประกาศยกระดับการแพร่ระบาดจากระดับ 3 ซึ่งเป็นการติดต่อจากสัตว์สู่คนและคนสู่คนในวงจำกัด มาเป็นระดับ 4 ที่เป็นการติดต่อจากคนสู่คน และขยายวงกว้างในระดับประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ สเปน แคนาดา ฝรั่งเศส อิสราเอล สวีเดน สหราชอาณาจักร และนิวซีแลนด์ ซึ่งหมายความว่า มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากที่จะเป็นโรคระบาดไปทั่วโลก ทั้งนี้การเพิ่มระดับการเตือนภัยมีความสำคัญเพราะ เป็นการส่งสัญญานถึงรัฐบาลชาติต่างๆ ว่าสมควรเพิ่มการตรวจตรา เตรียมความพร้อมที่จะรับมือ และประเมินอย่างจริงจังเรื่องขั้นตอนต่างๆ ที่จะใช้รับมือหากโรคนี้ระบาดไปทั่วโลก
       
       อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกจนเกินเหตุ แต่ควรรับมือด้วยความระมัดระวัง โดย...ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลล้างมือ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด
       
       นอกจากส่งผลต่อสุขภาพ ยังส่งผลต่อโลกด้วยครับ
       
       เรียบเรียง: ยุพดี ห่อเนาวรัตน์
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000048167

Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.