วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ส่วนต่อ "บีทีเอสแบริ่ง"ไร้อนาคต งานระบบไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณยังไม่ได้เริ่ม ตามแผนจะต้องเริ่มตั้งแต่ 9 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้เริ่มทดลองวิ่งรถได้เดือนธ.ค.53

ส่วนต่อ “บีทีเอสแบริ่ง”ไร้อนาคต

ข่าววันที่ 20 กันยายน 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

 

 

   ส่วนต่อ บีทีเอสแบริ่งไร้อนาคต

 

** เหตุขรก.ผวาซ้ำรอย ณัษฐนนท

 

    รอง ผู้ว่าฯเซ็งบิ๊กขรก.ไม่ยอมเซ็นจัดจ้างเอกชนประมูลระบบไฟฟ้า-อาณัติสัญญาณ ทำฝันส่วนต่ออ่อนนุช-แบริ่งแป้ก เหตุกลัวถูกหางเลขคดีทุจริตเหมือนคดีรถดับเพลิง

    นายธีระชน  มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯกทม.เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายอ่อนนุช-แบริ่ง ล่าช้ากว่าแผนเกือบปีทั้งที่งานก่อสร้างโครงสร้างและสถานีเสร็จเกือบ 100% จึงจำเป็นต้องปรับแผนจากเดิมที่มีกำหนดทดลองวิ่งปลายปี 53 เป็นกลางปี 54 สาเหตุเกิดจากงานจัดซื้อจัดจ้างระบบไฟฟ้าและระบบอาณัติสัญญาณที่ยังไม่ สามารถเริ่มได้เพราะข้าราชการระดับสูงของกทม.ที่รับผิดชอบตามสายงานที่จะ ต้องลงนามตามขั้นตอนราชการกลัวคดีทุจริตจึงไม่เซ็นหนังสือตามขั้นตอนเพื่อ จัดประมูลหาเอกชนมารับงาน จึงไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ซึ่งตามแผนจะต้องเริ่มตั้งแต่ 9 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้เริ่มทดลองวิ่งรถได้เดือนธ.ค.53

    ผม ตามเรื่องกับข้าราชการผู้นั้นมาโดยตลอด และได้อธิบายให้ทราบว่าต้องรีบดำเนินการแล้วและการลงนามตามขั้นตอนผมได้ พิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดได้ แต่ข้าราชการผู้นั้นก็ยังกลัวทำผิดอยู่ดี เพราะเขากำลังจะเกษียณแล้วไม่อยากจบชีวิตข้าราชการแบบไม่สวย อย่างตอนนี้ที่อดีตปลัดกทม. (คุณหญิงณัษฐนนท  ทวีสิน) โดนข้อหาประมาทเลินเล่อคดีโครงการรถดับเพลิงเขาเลยยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่

    รอง ผู้ว่าฯกทม.กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม จากที่เลื่อนกำหนดการทดลองวิ่งรถไฟฟ้าเส้นทางนี้จากเดือนธ.ค.53 ไปเป็นเดือนพ.ค.54 นั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะตามขั้นตอนช่วงจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษางานระบบไฟฟ้าและระบบอาณัติสัญญาณ รถไฟฟ้าจะต้องใช้เวลาถึง 4 เดือน ไม่รวมขั้นตอนการร่างทีโออาร์ประมูลจัดหาบริษัทมารับงานระบบไฟฟ้าและระบบ อาณัติสัญญาณรถไฟฟ้าอีก 3 เดือนก่อนที่จะให้บริษัทดังกล่าวเริ่มลงมือดำเนินโครงการ

                   สำหรับ ส่วนต่อขยายอ่อนนุช-แบริ่ง 5.25 กม. กทม.ได้จัดจ้างบริษัท อิตาเลี่ยนไทยฯ รับเหมาก่อสร้างงานฐานรากโยธา (สถานี-รางรถไฟฟ้า) วงเงินกว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งเริ่มงานกว่าสองปีแล้ว ปัจจุบันแล้วเสร็จ 95% แต่งานระบบไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณยังไม่ได้เริ่ม

 

 

 

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=62&nid=46858


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/
http://newsblog9.blogspot.com/
http://bloghealth99.blogspot.com/
http://labour9.blogspot.com/
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

อาการบ่งชี้ตัวที่ 4 ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง - อย่าประมาท คุณสามาถช่วยชีวิตคนได้ Blood Clots/Stroke - They Now Have a Fourth Indicator, the Tongue


 
Please visit blog.Thanks for visiting!
http://www.parent-youth.net
http://www.thaihof.org
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.industry4u.com
http://logistics.dpim.go.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://www.educationatclick.com/th/


 
From: สุกัญญา นิยมตรุษะ <niyomtrusa2@hotmail.com>
To: 
Sent: Friday, September 4, 2009 10:58:52 PM
Subject: FW: อาการบ่งชี้ตัวที่ 4 ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง - อย่าประมาท คุณสามาถช่วยชีวิตคนได้ Blood Clots/Stroke - They Now Have a Fourth Indicator, the Tongue


 

Date: Thu, 3 Sep 2009 19:30:36 -0700
From: linglom49@yahoo.com
Subject:  อาการบ่งชี้ตัวที่ 4 ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง - อย่าประมาท คุณสามาถช่วยชีวิตคนได้ Blood Clots/Stroke - They Now Have a Fourth Indicator, the Tongue
To: niyomtrusa2@hotmail.com



--- On Tue, 9/1/09, Thanee Chanvorachaikul <thanee@cfffoods.com> wrote:


From: Thanee Chanvorachaikul <thanee@cfffoods.com>
Subject:  อาการบ่งชี้ตัวที่ 4 ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง - อย่าประมาท คุณสามาถช่วยชีวิตคนได้ Blood Clots/Stroke - They Now Have a Fourth Indicator, the Tongue
To: 

Date: Tuesday, September 1, 2009, 1:51 PM



Subject: อาการบ่งชี้ตัวที่ 4 ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง - อย่าประมาท คุณสามาถช่วยชีวิตคนได้B lood Clots/Stroke - They Now Have a Fourth Indicator, the Tongue

 

 

 
B lood Clots/Stroke - They Now Have a Fourth Indicator, the Tongue

อาการบ่งชี้ตัวที่ 4 ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง



I will continue to forward this every time it comes around!

ไม่ว่าจะได้รับเมล์นี้อีกกี่ครั้ง ฉันก็จะส่งต่อไป


STROKE:
Remember the 1st Three Letters.... S.T.R.
เส้นเลือดอุดตันในสมอง (Stroke) ให้จำไว้ว่า อักษร 3 ตัวแรกคือ S.T.R


My nurse friend sent this and encouraged me to post it and spread the word.
I agree.

เพื่อนพยาบาลส่งเมล์นี้มาให้ และสนับสนุนให้ฉันส่งต่อไปอีกเรื่อยๆให้ทั่วโลกเลยยิ่งดี ฉันก็เห็นด้วย


If everyone can remember something this simple, we could save some folks.
Seriously..

ถ้าเราสามารถจำสิ่งง่ายๆเหล่านี้ได้ เราจะช่วยชีวิตคนบางคนได้..อันนี้เรื่องจริง


Please read:
STROKE IDENTIFICATION:

อาการบ่งชี้ของเส้นเลือดอุดตันในสมอง


During a BBQ, a friend stumbled and took a little fall - she assured everyone that she was fine (they offered to call paramedics) .she said she had just tripped over a brick because of her new shoes.

ระหว่างงานเลี้ยงบาร์บีคิว เพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น แต่เธอบอกกับทุกคนว่าเธอไม่เป็นไร (เพื่อนๆถามว่าจะให้เรียกแพทย์เคลื่อนที่มั้ย) เธอบอกว่าเธอแค่สะดุดก้อนหินเพราะยังไม่ชินที่ใส่รองเท้าคู่ใหม่มา


They got her cleaned up and got her a new plate of food. While she appeared a bit shaken up, Ingrid went about enjoying herself the rest of the evening

ทุกคนช่วยกันปัดเศษสกปรกออกไปจากตัวเธอและไปตักอาหารมาให้ใหม่ ตัว Ingrid เองหลังจากนั้นรู้สึกว่าจะมีอาการสั่นเล็กน้อย แต่ก็สนุกสนานดีตลอดเย็นวันนั้น


Ingrid's husband called later telling everyone that his wife had been taken to the hospital - (at 6:00 pm Ingrid passed away.) She had suffered a stroke at the BBQ. Had they known how to identify the signs of a stroke, perhaps Ingrid would be with us today. Some don't die. they end up in a helpless, hopeless condition instead.

หลังจากนั้น สามีของ Ingrid โทรหาเพื่อนๆทุกคนว่า ภรรยาเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล (และเสียชีวิตในเวลา 6 นาฬิกา) เธอมีอาการของเส้นเลือดอุดตันในสมองตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงบาร์บีคิวแล้ว ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอมีอาการนี้เสียตั้งแต่แรก บางที Ingrid อาจจะยังอยู่กับพวกเราในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ไม่เสียชีวิต แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวังและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้


It only takes a minute to read this...

ใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น


A neurologist says that if he can get to a stroke victim within 3 hours he can totally reverse the effects of a stroke... totally . He said the trick was getting a stroke recognized, diagnosed, and then getting the patient medically cared for within 3 hours, which is tough.

แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าวว่า ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัวผู้ป่วยเส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้องทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การรักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้นเป็นไปได้ยากอยู่


RECOGNIZING A STROKE

ต้องรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน


Thank God for the sense to remember the '3' steps, STR . Read and Learn!

ขอบคุณพระเจ้าที่หาวิธีจำง่ายๆมาให้ STR


Sometimes symptoms of a stroke are difficult to identify. Unfortunately, the lack of awareness spells disaster. The stroke victim may suffer severe brain damage when people nearby fail to recognize the symptoms of a stroke.

บางครั้งอาการของโรคเส้นเลือดสมองอุดตันก็เป็นการยากที่จะรู้กันได้ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การไม่รู้อาจหมายถึงหายนะได้ สมองผู้ป่วยอาจจะโดนทำลายอย่างรุนแรง แต่คนรอบข้างไม่ได้รู้เลยว่านี่คืออาการของเส้นเลือดสมองอุดตัน


Now doctors say a bystander can recognize a stroke by asking three simple questions:

หมอบอกว่า คนที่ยืนอยู่รอบข้างก็สามารถรู้อาการได้ โดยคำถาม 3 ข้อ ดังนี้


S *Ask the individual to SMILE.

S คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม


T *Ask the person to TALK and SPEAK A SIMPLE SENTENCE (Coherently)
(i.e.. It is sunny out today.)

T คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะเป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ


R *Ask him or her to RAISE BOTH ARMS.

R คือบอกให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้น


If he or she has trouble with ANY ONE of these tasks, call emergency number immediately and describe the symptoms to the dispatcher.

ถ้าผู้ป่วยมีความลำบากในการทำข้อใดข้อหนึ่ง ให้โทร.หาเบอร์ฉุกเฉินทันทีและแจ้งไปว่าผู้ป่วยมีอาการอย่างไร


New Sign of a Stroke -------- Stick out Your Tongue

สัญญาณใหม่ของเส้นเลือดสมองอุดตัน -- แลบลิ้นออกมาดู

NOTE: Another 'sign' of a stroke is this: Ask the person to 'stick' out his tongue.. If the tongue is 'crooked', if it goes to one side or the other, that is also an indication of a stroke.

หมายเหตุ : สัญญาณอีกประการหนึ่งก็คือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา หากลิ้นมีลักษณะม้วนงอ ตกไปด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือข้อบ่งชี้ว่ามีอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน



 


  

  
 

 

 

 

 

 




แบ่งปันความทรงจำกับคนอื่นๆ ที่คุณต้องการทางออนไลน์ได้ คนอื่นๆ ที่คุณต้องการ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

มหันตภัยกล่องโฟม



 
From: amornrat mitpaibul <amornratnoi@yahoo.com>
Date: ก.ย. 3, 2009 12:19 หลังเที่ยง
Subject: : มหันตภัยกล่องโฟม
To:


--- On Mon, 8/31/09, Doungrat Apichit <doungrat_a@hotmail.com> wrote:

From: Doungrat Apichit <doungrat_a@hotmail.com>
Subject: มหันตภัยกล่องโฟม
To:
Date: Monday, August 31, 2009, 10:08 PM


 

 
 
ด้วยรักและห่วงใยค่ะ....
 

 
มหันตภัยกล่องโฟม
กล่องโฟมที่ร้านค้าเอามาใช้เค้าจะแกะจากถุงพลาสติกใหญ่ (กล่องโฟมจะเรียงซ้อนกันเป็นแถวๆ)
แล้วหยิบใช้ใส่อาหารขายไม่มีการเช็ด/ล้างก่อน
เคยลองเอามือลูบดูกล่องโฟมใหม่ที่เพิ่งแกะจากถุงจะมีฝุ่นโฟมติดอยู่คิดว่าน่าจะมาจากการตัดโฟมจากโรงงาน   

หลายคนคงจะรู้จัก โรคด่างขาว บางคนเรียกโรคสะเก็ดขาว มันก็โรคมะเร็งผิวหนังดีๆ นี่เอง
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเจอเพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี (เมื่อก่อนดื่ม เที่ยวด้วยกันเป็นประจำ)
ก็เลยลงไปสนทนาปราศรัยในฐานะเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพรักและไม่ได้พบปะกันมานาน สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา
พี่คนนี้ลักษณะแกคล้ายๆ อี๊ด วงฟลาย แต่หน้าตาดีกว่า ลักษณะแบบนี้คงนึกออก




--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://www.parent-youth.net
http://itceoclub.ning.com
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.logex.kmutt.ac.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://pwdhutch3.blogspot.com
http://energygreenhealth.com

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

ชี้คนแก่วัย 60 ยังอยู่ในภาคแรงงานถึง 37.9% นักวิชาการเสนอแก้ระเบียบ ขยายอายุเกษียณ


วันที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 18:45:06 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ [อ่านล่าสุด 114 คน]

ชี้คนแก่วัย 60 ยังอยู่ในภาคแรงงานถึง 37.9% นักวิชาการเสนอแก้ระเบียบ ขยายอายุเกษียณ

     ผศ.ดร.นงนุช  สุนทรเวชกานต์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)  เผยผลการวิจัยการสร้างโอกาสการทำงานของผู้สูงอายุ  สนับ สนุนโดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนา ผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า งานวิจัยชิ้นนี้มีเป้าหมายเพื่อศึกษาหาโครงสร้างการทำงานของผู้สูงอายุ รวมทั้งประมาณความต้องการแรงงานในภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถอยู่ในตลาดแรงงานได้อย่างเหมาะสมเพื่อนำเสนอเป็น นโยบายต่อรัฐบาล เนื่องจากที่ผ่านมายังมีระเบียบ กฎหมายและมาตรการที่ไม่เอื้อกับการจ้างผู้สูงอายุเข้าเป็นแรงงาน  โดยเฉพาะในอนาคตที่

  อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจากการสำรวจสภาวะการทำงานของประชากร ช่วงปี 2551 พบว่า ร้อยละ 37.9 ของจำนวนประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปยังคงอยู่ในกำลังแรงงาน สำหรับผู้สูงอายุที่ไม่อยู่ในกำลังแรงงานนั้น พบว่าร้อยละ 77  ไม่ ต้องการทำงาน หรือไม่สามารถทำงานได้ ส่วนที่เหลือเป็นผู้สูงอายุที่ว่างงานและกำลังหางานทำ โดยในจำนวนผู้สูงอายุทั้งที่อยู่ในกำลังแรงงาน  ที่ว่างงานและต้องการทำงานนั้นเป็นผู้สูงอายุเพศชายมากกว่าผู้สูงอายุเพศหญิง คิดเป็นสัดส่วน 60 ต่อ 40

         ผศ.ดร.นงนุช กล่าวอีกว่า  ขณะ ที่อุตสาหกรรมแรงงานสูงอายุชายและหญิง กระจุกตัวมากที่สุดคืออุตสาหกรรมการขายส่ง ขายปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ รถจกรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคล และของใช้ในครัวเรือน  รองลงมา คือ อุตสาหกรรมโรงแรมและภัตตาคาร และเมื่อพิจารณาระดับการศึกษาของผู้สูงอายุที่อยู่ในกำลังแรงงานจะพบว่า แรงงานสูงอายุที่ไม่มีการศึกษา และมีการศึกษาในระดับต่ำกว่าประถมศึกษาเป็นกลุ่มที่ยังทำงานจนกระทั่งมีอายุ มาก ในอุตสาหกรรมทุกประเภท ยกเว้นอุตสาหกรรมโรงแรม ยังพบแรงงานสูงอายุที่มีการศึกษาสูงทำงานอยู่บ้าง ส่วนอาชีพของผู้สูงอายุที่นอกเหนือจากภาคการเกษตรและประมง พบว่าผู้สูงอายุทุกกลุ่ม ประกอบอาชีพการบริการมากที่สุด รองลงมา ประกอบอาชีพพื้นฐานและความสามารถทางฝีมือ โดยแรงงานสูงอายุที่ยังทำงานเกี่ยวกับงานฝีมือและอาชีพพื้นฐาน  เป็นพวกที่มีการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย
 
Weblink
blog
http://tham-manamai.blogspot.com
http://thammanamai.blogspot.com
http://sunsangfun.blogspot.com
http://dbd-52hi5com.blogspot.com
http://sundara21.blogspot.com
http://newsnet1951.blogspot.com
http://same111.blogspot.com
http://sea-canoe.blogspot.com
http://seminarsweet.blogspot.com
http://sunsweet09.blogspot.com
http://dbd652.blogspot.com
http://net209.blogspot.com
http://parent-youth.blogspot.com
http://netnine.blogspot.com
http://parent-net.blogspot.com








ปาร์ตี้ไปกับ Buddy! เติมประกายให้ Messenger ของคุณด้วย emoticons ฟรีๆ คลิกที่นี่เลย

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สธ.เร่งเพิ่มยาสมุนไพรเข้าบัญชียาหลักสามารถเบิกได้ 40 รายการ

วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 17:32:09 น.  มติชนออนไลน์

สธ.เร่งเพิ่มยาสมุนไพรเข้าบัญชียาหลักสามารถเบิกได้ 40 รายการ

นพ.นรา นาควัฒนานุกูล  อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข  (สธ.) กล่าวหลังการอบรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540  ตามโครงการพัฒนาเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล วันที่ 27 สิงหาคม ว่า ก่อนหน้าการรักษาพยาบาลด้านแพทย์แผนไทย มีกระแสว่า ไม่สามารถเบิกตามระบบสวัสดิการข้าราชการได้  ล่าสุด การเบิกจ่ายระบบข้าราชการ  มีอัตราคือการฝังเข็ม เบิกได้ครั้งละ 100 บาท การนวดรวมประคบด้วยสมุนไพร  เบิกค่ารักษาได้ครั้งละ 250 บาท ไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ การนวดฟื้นฟูรวมประคบสมุนไพร เบิกได้ 250 บาทต่อครั้ง ไม่เกิน 2-5 ครั้งต่อสัปดาห์ การอบสมุนไพร เฉพาะผู้ป่วยหอบหืดและหวัด เบิกได้ครั้งละ 100 บาท ไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์


ส่วนการเบิกจ่ายค่ายาแผนไทย ตามรายการยาในบัญชียาหลัก 19 รายการ กรมฯ กำลังจัดทำมาตรฐานหลักปฏิบัติ  เพื่อขยายให้มียาแผนไทยเพิ่มเป็น 40 รายการ ส่วนการเบิกจ่ายยาสมุนไพรตาม 19 รายการ กรมฯ กำลังขยายให้มีรายการยาเพิ่มเป็น 40 รายการ ภายใน 2 ปี เพื่อลดปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณการรักษาไปกับยานำเข้าจากต่างประเทศ  โดยที่ผ่านมา แต่ละโรงพยาบาลในสังกัด  สธ. มีอัตราส่วนการใช้ยาแผนไทยร้อยละ 1.5 โดยกรมฯ จะเร่งให้โรงพยาบาลต่าง ๆ จัดทำบัญชียาสมุนไพรให้แล้วเสร็จ  เพื่อนำเข้าคณะกรรมการยาแห่งชาติ  ในเดือนมกราคม 2553 เพื่อเพิ่มรายการยาสมุนไพรให้เข้าในบัญชียาหลักให้มากขึ้น จากเดิม 19 รายการ เป็น 40 รายการ ปัจจุบันมีอัตราส่วนการใช้ในบัญชียาหลักกับนอกบัญชายาหลัก 30 ต่อ 70



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

7 เรื่องน่ารู้ ... หลีกหนีมะเร็งตับ

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11489 มติชนรายวัน


7 เรื่องน่ารู้ ... หลีกหนีมะเร็งตับ




เชื่อ หรือไม่ !! คนไทยป่วยตายด้วยโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีมากที่สุดในโลก ทำให้โรคมะเร็งคงครองแชมป์สาเหตุการเสียชีวิตของประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆ มาแรงถึงขั้นแซงสาเหตุใหญ่ๆ อย่างอุบัติเหตุ และโรคหัวใจกันเลยทีเดียว ยิ่งฟังแบบนี้ก็ยิ่งทำใครหลายๆ คนต้องขนลุกขนพองไปตามๆ กัน แต่ถึงแม้ว่าโรคมะเร็งซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรคที่คนกลัวกันมากที่สุด ด้วยกิตติศัพท์เรื่องลือไปต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด รักษาหายยาก เนื่องจากผู้ป่วยส่วนมากกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งก็เข้าขั้นเกือบสุดท้ายซะ แล้วแถมเสียชีวิตอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก รู้ทั้งรู้ขนาดนี้ แต่ทำไม้...ทำไม...อัตราการป่วยก็ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะลดลงเลย หากแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ถึงเวลาแล้วหรือยัง...ที่เราต้องหันมาดูแลรักษาสุขภาพให้ห่างไกลพฤติกรรม กระตุ้นสารก่อมะเร็งหลีกหนีโรคร้ายที่ว่านี้ดีกว่ามั้ย ??

จริงๆ แล้วหากจะพูดถึงโรคมะเร็งตับก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด หลายๆ คนอาจจะเคยคุ้นหูกับคำรณรงค์ที่ว่า "กินสุกๆ ดิบๆ พยาธิใบไม้ตับถามหา" จากกระทรวงสาธารณสุขที่รณรงค์อย่างต่อเนื่องมานานกว่า 30 ปี แต่คำคุ้นหูที่ว่าไม่ได้ส่งผลให้อัตราการป่วยและตายด้วยโรคมะเร็งตับใน ปัจจุบันลดลงตามเป้าที่ตั้งไว้เท่าที่ควรจะเป็น เพราะประชาชนคนไทยยังไม่ปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อผิดๆ รวมถึงพฤติกรรมการกินที่ผิดสุขลักษณะอันเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคร้ายดัง กล่าว แต่ก่อนที่จะไปเรียนรู้วิธีป้องกัน เรามาทำความรู้จักกับโรคมะเร็งตับแบบจริงจังอีกครั้งดีกว่า

โรค มะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ มะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ ซึ่งพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบบี ซี และสารอัลฟาท็อกซินในเชื้อราบางชนิดที่ขึ้นบนถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง หัวหอม กระเทียม เป็นต้น และมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี คือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุภายในท่อน้ำดีส่วนที่อยู่ภายในตับ เกิดจากพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งเป็นพยาธิที่มีอยู่ในปลาน้ำจืดตามหนองบึง เช่น ปลาแม่สะแด้ง ปลาตะเพียนทราย ปลาสร้อยนกเขา ปลาสูตร ปลากะมัง ฯลฯ ซึ่งพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่พบในอาหารพวก โปรตีนหมัก เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม ฯลฯ และอาหารพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว เช่น กุนเชียง ไส้กรอก เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น

ทั้งนี้ หากอยากที่จะมีชีวิตที่ยืนยาว ห่างไกลโรคมะเร็งตับ ทำได้ง่ายๆ เพียงจดจำบัญญัติ 7 ประการและนำไปปฏิบัติ เพียงแค่นี้รับรองว่า มะเร็งร้ายไม่แวะมาเยี่ยมเยือนอย่างแน่นอน ..

บัญญัติที่ 1 ป้องกันและรักษาโรคพยาธิใบไม้ตับ เลิกกินปลาน้ำจืดมีเกล็ดแบบสุกๆ ดิบๆ โดยเด็ดขาด หากท่านยังเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ประเภทปลาร้า ปลาจ่อมรสแซ่บ แหนม ฯลฯ โปรดรู้ไว้ว่าคุณได้นำพยาธิใบไม้ตับและสารไนโตรซามีนซึ่งสารก่อมะเร็งตับ ชนิดร้ายแรงเข้าสู่ร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายๆ คนอาจจะคิดว่าไม่เห็นเป็นไรเลย ทานสุกๆ ดิบๆ แล้วก็ทานยาถ่ายพยาธิตามไปสิ เดี๋ยวร่างกายก็จะถ่ายพยาธิใบไม้ตับออกมาเอง ความเชื่อที่ว่าผิดอย่างมหันต์ เพราะพยาธิเมื่อเข้าไปในร่างกายเราแล้วมันจะกัดทำลายทำให้ท่อน้ำดีอักเสบ ตรงกันข้ามผลการวิจัยพบว่าคนที่ใช้ยาถ่ายพยาธิบ่อยครั้งในขณะที่ยังไม่หยุด กินปลาดิบกลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงจะทานยาถ่ายพยาธิเข้าไป ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณปลอดภัยจากโรคมะเร็งตับ

บัญญัติที่ 2 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง ได้แก่ อาหารที่มีราขึ้น อาหารใส่ดินประสิว และไนไตรซามีน เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก เบคอน รวมถึงอาหารประเภทหมักดอง เค็มจัด เผ็ดจัด

บัญญัติที่ 3 รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ เรื่องอาหารการกินปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีการดำรงชีวิตของ มนุษย์เป็นอย่างมาก แต่ในบางครั้งเราอาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาในใจว่า เราเลือกรับประทานได้อย่างถูกต้องแล้วหรือยัง? ดังนั้น การรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ จึงเป็นเรื่องสำคัญ เคล็ดลับง่ายๆ เริ่มปฏิบัติด้วยการรับประทานอาหารให้ครบหลัก 5 หมู่ ในปริมาณที่ครบถ้วนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมถึงการรับประทานผัก ผลไม้สด เป็นประจำ ในแต่ละวันร่างกายคนเราควรรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ซึ่งอุดมไปด้วย สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนานาชนิดเพื่อร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยทางการแพทย์แนะนำว่าควรบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณ 400 กรัมต่อวัน อันจะนำไปสู่การมีภาวะโภชนาการที่ดีต่อไป

บัญญัติที่ 4 ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อพฤติกรรมสุขภาพดี ดั่งคำเปรียบเปรย "สุขภาพดีนั่นคือลาภอันประเสริฐ" ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่กินอยู่นอนหลับอย่างพอดี เพื่อสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย พร้อมทั้งการดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ก็เป็นแนวหนึ่งที่จะทำให้สุขภาพดีแบบพอเพียงได้เช่นกัน

บัญญัติที่ 5 เลิกดื่มสุราและงดสูบบุหรี่ บุหรี่มีโทษอนันต์เพราะมีสารก่อมะเร็งมากถึง 43 ชนิด

บัญญัติ ที่ 6 ลดความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิถีชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันเต็มไปด้วยเรื่องราวชวนปวดสมอง อันเป็นสารก่อมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่จะคอยกัดกินสุขภาพไปทีละเล็กทีละน้อย อย่างไม่รู้ตัว ดังนั้น การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันเพียงวันละแค่ 15-30 นาที นอกจากสุขภาพกายจะแข็งแรงดีแล้ว สุขภาพใจก็จะดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน

บัญญัติ ที่ 7 บัญญัติสุดท้าย การขับถ่ายในส้วมที่ถูกสุขลักษณะจะสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็ง ตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีได้ เพราะหากขับถ่ายผิดที่ผิด อาทิ ขับถ่ายของเสียในแม่น้ำลำคลอง ไข่ของพยาธิใบไม้ตับที่ไหลผ่านท่อน้ำดีเข้าสู่ลำไส้จะออกมาปะปนกับอุจจาระ ของคน สุนัขและแมว สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อไปได้ง่าย

อย่าให้ความ สูญเสียต้องเกิดขึ้นเมื่อสายเกินไป หากเริ่มปฏิบัติตนตามบัญญัติทั้ง 7 ประการข้างต้นตั้งแต่วันนี้ คุณจะสามารถโบกมือบอกลาโรคมะเร็งตับได้อย่างถาวร ทั้งนี้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและวิธีการป้องกัน โรคมะเร็งตับ ทั้งจากชนิดเซลล์ตับและชนิดเซลล์ท่อน้ำดี ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากโครงการ "เรียนรู้เท่าทัน ป้องกันมะเร็งตับ"

โครงการ ดีๆ ที่จะเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งตับ รวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเลิก พฤติกรรมการรับประทานปลาน้ำจืดมีเกล็ดแบบสุกๆ ดิบๆ กระตุ้นคนไทยตระหนักถึงภัยมะเร็งตับพร้อมช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ไทยอย่างแท้จริง หรือมูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ โทรศัพท์ 0-2354-7025 หรือ 0-2354-7028-35 เยี่ยมชมเว็บไซต์ www.nci.go.th


หน้า 26
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe02240852&sectionid=0147&day=2009-08-24

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มหัศจรรย์สมุนไพรไทย "ต้านโรค"

 
มหัศจรรย์สมุนไพรไทย "ต้านโรค"
คน สมัยนี้เป็นอะไรนิดหน่อยก็ชอบกินยา แถมยังเชื่อผิดๆ ว่า อยากมีสุขภาพดีชีวิตยืนยาวต้องรับประทานอาหารเสริม และวิตามินเยอะๆ แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะมหัศจรรย์เท่ากับสมุนไพรไทย ที่ทั้งราคาถูก ปลูกเองก็ง่าย และเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ต้านโรคภัยได้สารพัดนึก


ถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับสาม รองจากโรคหัวใจ และอุบัติเหตุ เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ ความบกพร่องทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม อาหาร รวมถึงความเครียด และการใช้ชีวิตเร่งรีบของคนเมือง "มะเร็ง" กลัวสมุนไพรไทยอยู่หลายตัว เพราะมีสารอาหารต้านโรคร้ายได้น่าทึ่ง

ใครอยากห่างไกลมะเร็ง แนะนำให้ทานกระเทียม และผักจำพวกหอม ซึ่งอุดมด้วยซัลเฟอร์ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานมะเร็งโดยธรรมชาติ ขณะที่ผักจำพวกกะหล่ำปลี มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้ และช่วยต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนขมิ้นขาวและขมิ้นชัน นอกจากจะมีสรรพคุณขับลมในลำไส้แล้ว ยังมีสารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วย สำหรับสาวๆ ควรทานผลไม้จำพวกส้มเป็นประจำ เพราะช่วยล้างสารก่อมะเร็ง และยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม

แพทย์ทางเลือกยังได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของมะรุม สมุนไพรไทยแท้ๆ ว่ากันว่า หากทานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โดยคนเฒ่าคนแก่นิยมกินมะรุมช่วงต้นฤดูหนาว เพราะเป็นช่วงที่ฝักมะรุมหาได้ง่าย วิธีทานมีทั้งการนำช่อดอกมะรุมไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก หรือนำยอดมะรุม, ใบอ่อน, ช่อดอก และฝักอ่อนมาลวก หรือต้มให้สุก จิ้มทานกับน้ำพริก หรือจะใช้ยอดอ่อนและช่อดอกทำแกงส้ม ก็อร่อยดีมีประโยชน์ ยังมีการวิจัยด้วยว่า คนที่ทำคีโมรักษามะเร็งควรดื่มน้ำมะรุม ช่วยลดอาการแพ้รังสีได้ดี


คน อ้วน คือกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาการบ่งชี้ ได้แก่ มีปริมาณกลูโคสในเลือดสูง เนื่องจากความผิดปกติในการทำงานของอินซูลิน ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำรุนแรง น้ำหนักลด อ่อนเพลีย อยากอาหารมากกว่าปกติ ติดเชื้อง่าย มีอาการแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต และมีปัญหาทางสายตา การรักษาโรคเบาหวานอย่างได้ผล ต้องทำควบคู่กับการวางแผนทางโภชนาการ

โดยสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน อาทิเช่น มะแว้งเครือ และมะแว้งต้น ช่วยรักษาโรคเบาหวาน บำรุงเลือด และขับปัสสาวะ รวมทั้งรักษาโรคไต ฟักทอง ช่วยป้องกันมะเร็งในปอด ป้องกันเบาหวาน และคุมน้ำตาลในเลือด ตำลึง มีสรรพคุณเป็นยาดับพิษภายในร่างกาย ลดอาการไข้ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบของตำลึงนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยรักษาเบาหวานได้ ผักบุ้ง ไม่ได้ทำให้ตาหวานอย่างเดียว แต่ยังบำรุงกระดูก ลดไข้และแก้เบาหวาน ส่วนมะระขี้นก เชื่อว่าช่วยบำรุงน้ำดี แก้โรคตับอักเสบ และป้องกันโรคเบาหวาน แม้แต่มะรุม ก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน


คน อ้วนมีความเสี่ยงเป็นโรคสารพัด ทั้งเบาหวาน มะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจ และโรคข้ออักเสบ การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดสำหรับคนอ้วน คือ ต้องทำค่อยเป็นค่อยไป นอกจากจะจำกัดปริมาณอาหาร หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้ว การเลือกทานสมุนไพรเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์พิชิตโรคอ้วน ควรทานแมงลักเพื่อช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ขับถ่ายสะดวก และลดน้ำหนักได้หลายกิโล

ส่วนกระเจี๊ยบมอญ ลดความดันโลหิต รักษาโรคกระเพาะ และเป็นยาระบายชั้นดี แตงโม เป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำแตงโมปั่นยังช่วยล้างลำไส้และกระเพาะอาหาร มะละกอ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นยาระบาย และมะม่วงสุก ระบายของเสียภายในได้ดี ช่วยแก้อ่อนเพลีย


ความเครียดถือเป็นตัวการให้เกิดโรคร้ายนับไม่ถ้วน ยิ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ สมุนไพรไทยที่ช่วยลดความเครียดและทำให้นอนหลับสบาย คือ สายบัว ช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะ ลดความเครียดทางสมอง กะหล่ำปลี ช่วยลดความเครียด มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้

ขี้เหล็ก แก้นิ่วในไต ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับชั้นดี ใบบัวบก แก้ร้อนใน ทำให้ความจำดี ช่วยลดความเครียด ฟ้าทะลายโจร แก้อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ มะนาว - มะกรูด ช่วยให้นอนหลับ บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และพริกไทย ทำให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยลดเครียดได้ผลดี


เป็น โรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินไปต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งคนปกติอาจไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีทั้งแพ้ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ อาการมีได้หลายแบบ ตั้งแต่น้ำมูกไหล จาม โพรงจมูกอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ หลอดลมอักเสบ หอบหืด และเกิดผื่นคันที่ผิวหนัง การต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ จะต้องเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

โดยสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณด้านนี้ ต้องยกให้กะหล่ำดอก บำรุงภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และป้องกันโรคมะเร็งเต้านม ขณะที่คื่นฉ่าย มีสรรพคุณช่วยให้เจริญอาหาร เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย บำรุงไตให้แข็งแรง ถ้านำมาปั่นกับแครอท ผสมน้ำส้มดื่มทุกเช้า จะช่วยให้สุขภาพดี




ที่มาข้อมูล : http://www.thaihealth.or.th
 
https://www.myfirstbrain.com/Knowledge_View.aspx?Id=70104

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

"กาฬโรคปอด" โรคร้ายที่ควรรู้

 
"กาฬโรคปอด" โรคร้ายที่ควรรู้


กาฬโรคปอด (Pneumonic Plague) เป็นหนึ่งในสามประเภทของกาฬโรค อีก 2 ประเภทคือ กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (Bubonic Plague) และกาฬโรคเลือด (Septicemic Plague) กาฬโลกทั้ง 3 ประเภทนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวกัน คือ Yersinia pestis แต่มีอาการที่แตกต่างกัน กาฬโรค ปอดเป็นโรคที่น่ากลัวมาก มีการติดต่อจากคนสู่คนด้วยการได้รับเชื้อที่อยู่ในเลือดและสารคัดหลั่งของ ผู้ป่วย แบบเดียวกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 60 ของผู้ป่วยทั้งหมด ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งกำลังระบาดและตื่นตระหนกกันอยู่ในขณะนี้มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 1 เท่านั้น


ข้อมูลทั่วไปของโรคกาฬโรคปอด


สาเหตุ :

ได้รับเชื้อแบคทีเรีย Yersinia pestis

พาหะ :

เชื้อ Yersinia pestis จะอยู่ในสัตว์ฟันแทะ (Rodent) เช่น หนู กระรอก กระแต เม่น บีเวอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนู และเห็บหรือหมัดหนูซึ่งกินเลือดจากหนูที่มีเชื้อไป

การแพร่เชื้อ :

มีอยู่ด้วยกัน 2 ทาง คือ

  1. แพร่กระจายจากสัตว์พาหะ : หนูหรือหมัดหนูที่มีเชื้อ Yersinia pestis ไปกัดหนูตัวอื่นหรือไปกัดคน

  2. แพร่กระจายจากคนสู่คน : ผู้มีเชื้อ Yersinia pestis ได้แพร่เชื้อให้ลอยอยู่ในอากาศหรือติดตามสิ่งของเครื่องใช้จากการไอและจาม แล้วบุคคลอื่นได้รับเชื้อนั้นผ่านระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งการถ่ายเทเลือดและสารคัดหลั่งระหว่างผู้มีเชื้อกับบุคคลอื่น
การเกิดโรค :

เกิดขึ้นจากการได้รับเชื้อ Yersinia pestis โดยตรง และเป็นอาการแทรกซ้อนของกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง
(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
เชื้อ Yersinia pestis
เป็นเชื้อสาเหตุที่ทำให้เกิดกาฬโรคปอด


ระยะฟักตัว :

เชื้อ Yersinia pestis มีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 วัน จึงเริ่มปรากฏอาการของโรค

อาการ :

หลังพ้นระยะฟักตัวของเชื้อ Yersinia pestis แล้วจะแสดงอาการอย่างรวดเร็ว โดยผู้ ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดหัวรุนแรง เจ็บหน้าอก ไอ มีเสมหะตอนแรกเหนียวใสแล้วกลายเป็นสีสนิมหรือแดงสดเพราะเชื้อจะเข้าไปทำลาย ปอดโดยตรง แต่มักไม่พบปื้นแผลที่ปอด ปอดอักเสบเฉียบพลัน ความดันโลหิตต่ำ ช๊อคหมดสติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้ภายใน 48 ชั่วโมง

การวินิจฉัยโรค :

ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย ด้วยการนำเสมหะของผู้ป่วยมาย้อมสีกรัมและเพาะเชื้อในอาหารเพาะเลี้ยง เพื่อตรวจสอบว่าเป็นกาฬโรคปอด ไม่ใช่โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย Pneumococci หรือเชื้อตัวอื่น ซึ่งมีอาการเบื้องต้นใกล้เคียงกัน

การรักษา :

(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
ฟิล์มเอ็กซ์เรย์ของปอดที่หายไปข้างหนึ่งจากการเกิดโรคกาฬโรคปอด
รักษา ด้วยยาปฏิชีวนะชนิด Streptomycin, gentamicin, tetracyclines หรือ chloramphenicol และเพื่อให้ได้ผลที่ดีควรได้รับยาให้เร็วที่สุด หรือภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มแสดงอาการของโรค แต่ผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอยู่แล้ว เช่น โรคปอด ถุงลมโป่งพอง หอบหืด จะยิ่งมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยทั่วไป และผู้ป่วยโรคนี้ไม่สามารถหายได้เองหรือร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิต้านทาน ขึ้นได้ หากไม่ได้รับการรักษาจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

การควบคุมโรค :

ผู้ป่วยต้องสวมหน้ากากอนามัยและต้องถูกแยกกักไว้ อย่างเข้มงวดมาก ส่วนผู้สัมผัสโรค บุคคลใกล้ชิดกับผู้ป่วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย จะต้องได้รับเคมีป้องกันและเฝ้าดูอาการเป็นเวลา 7 วัน นอกจากนั้นยังต้องทำรายงานให้องค์การอนามัยโลกได้ทราบข้อมูลอีกด้วย ส่วนในด้านสังคมต้องรณรงค์ให้ผู้คนทำความสะอาดบ้านเรือนและชุมชน กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของหนู ใช้หน้ากากอนามัย ดูแลการกินการขับถ่ายให้ถูกสุขลักษณะ เป็นต้น


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกาฬโรค

กาฬโรค (Plague) เป็นโรคระบาดร้ายแรงที่เคยระบาดมาแล้วหลายครั้งในยุคกลาง (พ.ศ.1019-1996) จนคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย และต่อมาในช่วง ปี พ.ศ.1891-1893 ก็เกิดการระบาดอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้งในทวีปยุโรป จนมีผู้คนล้มตายไปหลายสิบล้านคน หรือกว่าร้อยละ 25 ของประชากรในทวีปยุโรป ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีใครรู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร มีวิธีรักษาหรือป้องกันอย่างไร แต่ผู้ป่วยจะมีตุ่มสีดำขึ้นตามต่อมน้ำเหลืองทั่วลำตัวซึ่งเกิดจากต่อมน้ำ เหลืองอักเสบ จึงเรียกโรคนี้กันว่า Black Death หรือ มัจจุราชสีดำ แล้วเชื่อกันว่าเป็นโรคที่พระเจ้าส่งลงมาฆ่าคนที่ทำบาป จึงแห่กันไปทำพิธีไถ่บาปด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่ก็ไม่ได้ผล จนถึงกับต้องอพยพย้ายเมืองหนี ไม่เว้นแม้แต่สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ก็ยังต้องทรงย้ายจากพระราชวังในลอนดอนมาประทับอยู่ที่พระราชวังวินเซอร์ที่ นอกเมือง ในสมัยนั้นโรคนี้เป็นที่หวาดสะพรึงกลัวกันมากเพราะไม่มีวิธีการรักษาที่ถูก วิธี จนกระทั่งผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยต้องถูกจับฆ่าเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ กระจาย ส่วนคนอื่นๆ ก็ปิดประตูเงียบอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น จนกระทั่งโรคค่อยๆ ระบาดน้อยลงและหยุดระบาดไปเอง แต่ก็ไม่ได้หายไปตลอดกาล เพราะเมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่สิบปีก็จะกลับมาระบาดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
ภาพวาดการระบาดของกาฬโรคในยุโรปเมื่อสมัยยุคกลาง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย
จน กระทั่งปี พ.ศ.2437 นักแบคทีเรียวิทยาชื่อ Yersin แห่งสถาบันปาสเตอร์ได้ค้นพบเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคนี้จากผู้ป่วยในฮ่องกง เรียกเชื้อนี้ว่า Pasteurella pestis แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Yersin ผู้คนพบว่า Yersinia pestis เหมือนชื่อในปัจจุบัน และจากการศึกษาจึงได้ค้นพบว่าโรคนี้มีลักษณะอาการ 3 รูปแบบ คือ มีอาการต่อต่อมน้ำเหลือง (bubonic) มีอาการต่อเลือด (septicemic) และมีอาการต่อปอด (peneumonic) นำมาซึ่งการรักษาอย่างถูกวิธีเหมือนเช่นในปัจจุบัน จนทำให้กาฬโรคห่างหายไปจากโลกนี้เป็นเวลานาน ในประเทศไทยก็ไม่ปรากฏผู้ป่วยโรคนี้มาเป็นเวลานับ 10 ปีแล้ว กระทั่งกลับมามีข่าวครึกโครมกันอีกครั้ง เมื่อต้น เดือนสิงหาคม พ.ศ.2552 ที่ได้พบผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคปอดจำนวน 2 ราย และผู้ป่วยอีก 10 ราย ในถิ่นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยชาวทิเบตที่เมืองจื่อเคอถาน มณฑลชิงไห่ ทางแถบทิวเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน จนทางการจีนต้องสั่งปิดเมืองและดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคอย่าง เร่งด่วน เพื่อไม่ให้กระจายออกสู่ภายนอกจนเกิดเป็นการระบาดครั้งใหญ่เช่นในอดีต





ที่มาข้อมูล : ที่มา : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
http://en.wikipedia.org/wiki/Pneumonic_plague
หนังสือตำนานการระบาดของกาฬโรคในยุโรปยุคกลาง
 

https://www.myfirstbrain.com/Knowledge_View.aspx?Id=71350&Browsesub2s=1740
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Ten foods for longevity



Please visit blog.Thanks for visiting!
http://www.parent-youth.net
http://www.thaihof.org
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.industry4u.com
http://logistics.dpim.go.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://www.educationatclick.com/th/

--- On Tue, 8/18/09, churdchoo ariyasriwatana <churdchoo@gmail.com> wrote:

From: churdchoo ariyasriwatana <churdchoo@gmail.com>
Subject:  Ten foods for longevity
To:

Date: Tuesday, August 18, 2009, 2:44 AM








วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"โจ๊ก - ซุปกึ่งสำเร็จรูป"ความอร่อยที่หาได้ง่ายๆ เสียเวลานิดเดียว แต่ใครจะรู้ว่าแฝงไว้ด้วย"อันตราย"

วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 23:59:59 น.  มติชนออนไลน์

"โจ๊ก - ซุปกึ่งสำเร็จรูป"ความอร่อยที่หาได้ง่ายๆ เสียเวลานิดเดียว แต่ใครจะรู้ว่าแฝงไว้ด้วย"อันตราย"

ด้วยชีวิตของคนสมัยใหม่ที่ต้องเร่งรีบ ทำให้บรรดา"อาหารกึ่งสำเร็จรูป"ทั้งหลาย หันมาทำการตลาดอย่างคึกคัก เพื่อสนองความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่ โจ๊ก ข้าวต้มและซุป ที่หาซื้อได้ง่ายและทานง่าย เราเคยสงสัยหรือไม่ว่าอาหารพวกนี้มีอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง???

 

ผลิตภัณฑ์ที่เกริ่นนำไว้ในเบื้องต้นทั้งหลาย มีส่วนประกอบหลัก คือ "แป้ง" หรือคาร์โบไฮเดรต และอาจมีสารอาหารประเภทอื่นๆ บ้าง เช่น โปรตีน วิตามินหรือแร่ธาตุบางชนิดผสมอยู่เล็กน้อย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนดให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้องมีปริมาณโปรตีนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8.5 ของน้ำหนัก ส่วนโจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป อย.กำหนดปริมาณโปรตีนไว้ที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 ของน้ำหนัก ทั้งนี้ โปรตีนส่วนใหญ่ในอาหารประเภทนี้จะมีอยู่ในเนื้อสัตว์อบแห้ง โปรตีนถั่วเหลืองและโปรตีนจากข้าว อย่างไรก็ตาม จัดว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณต่อการบริโภค


ขณะที่ส่วนประกอบที่พบมากคือ เกลือ หรือโซเดียม ที่มีอยู่ในรูปของผงชูรสและในผงปรุงรส ซึ่งมีส่วนทำให้มีรสชาติอร่อย ดังนั้น เราอย่ามัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับรสชาติเหล่านั้น เพราะอันตรายอาจจะถามหา โดยเฉพาะเจ้าโซเดียมตัวดีนี่แหละ

 


"โซเดียม" เยอะพอๆ กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


จากการทดสอบปริมาณโซเดียมในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เราพบปริมาณสูงมากกว่าร้อยละ 50 - 100 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน เมื่อเราลองทดสอบหาโซเดียมในอาหารกึ่งสำเร็จรูปชนิดอื่นๆ ซึ่งแม้ว่าจะมีความนิยมไม่มากเท่าบะหมี่ แต่ก็มีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะโจ๊พและข้าวต้ม ขณะที่ซุปกึ่งสำเร็จรูปแม้ยังจะไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ในอนาคตข้างหน้าก็มีแนวโน้มที่ตลาดจะขยายตัวมากขึ้น

 


กระบวนการผลิต


- โจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากข้าวสารบด ที่ผ่านกรรมวิธีทำความสะอาดและอบเพื่อลดความชื้น พร้อมกับทำลายเชื้อจุลินทรีย์บางชนิด ส่วนใหญ่นิยมเติมส่วนผสมจากธรรมชาติชนิดอื่นๆ ลงไปด้วย เช่น แป้งถั่วเหลือง ฟักทอง แครอท สาหร่าย เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารและเป็นจุดขาย นอกจากนี้ ยังเติมเครื่องปรุงรสและเนื้อสัตว์อบแห้ง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการปรุงและเพิ่มรสชาติ


- ข้าวตุ๋น คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากข้าวสารบดแบบเดียวกับโจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป เพียงแต่ไม่มีการปรุงแต่งรสหรือใส่เครื่องปรุงรสเพิ่มเติม


- ซุปกึ่งสำเร็จรูป คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเนื้อสัตว์หรือพืช เช่น ผัก ถั่ว เต้าหู้ ธัญพืช ผสมเข้ากับเครื่องปรุงรส หรืออาจเติมด้วยส่วนประกอบอื่นๆ เช่น แป้ง เส้นบะหมี่ แล้วนำมาผ่านกรรมวิธีทำให้แห้ง หรือใช้ส่วนประกอบที่ทำให้แห้งอยู่แล้วมาผสมกัน โดยยังคงรักษาคุณภาพและกลิ่นรสเอาไว้

 

 

ผลทดสอบปริมาณโซเดียม


- โจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป


1.คนอร์ โจ๊กต้มรสหมู : พบโซเดียม 1949 มก./น้ำหนัก 7 ก.
2.มาม่า ข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป รสหมู : พบโซเดียม 1569 มก./50 ก.
3.มาม่า โจ๊กต้มกึ่งสำเร็จรูป รสหมู : พบโซเดียม 1364 มก./50 ก.
4.เกษตร โจ๊กรสหมู : พบโซเดียม 1132.6 มก./42 ก.


จากการทดสอบพบว่า ปริมาณโซเดียมต่อจำนวนการเสิร์ฟ 1 ครั้ง มากที่สุดตามลำดับ ดังนี้ 1.เกษตร โจ๊กรสหมู 2.มาม่า ข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป รสหมู 3.คนอร์ โจ๊กต้มรสหมู และ 4.มาม่า โจ๊กต้มกึ่งสำเร็จรูป รสหมู


ขณะที่ผลิตภัณฑ์ "ลูกเต๋า ข้าว 7 นาที" และ "ลูกเต๋า ข้าวตุ๋นผสมฟังทอง" ตรวจสอบพบโซเดียมในปริมาณน้อย ถือเป็นทางเลือกที่ดีสหรับผู้ที่อยากบริโภคและปรุงรสด้วยตนเอง เพื่อควบคุมไม่ให้มีปริมาณโซเดียมสูงมากเกินไป ส่วน "ลูกเต๋า โจ๊ะข้าวกล้องหอมมะลิ" ก็ทดสอบพบปริมาณโซเดียมในระดับที่ค่อนข้างน้อยเช่นกัน เพราะแม้ว่าจะใช้ชื่อว่าโจ๊ก แต่เชื่อว่าใช้กรรมวิธีแบบเดียวกับข้าวตุ๋น คือ ไม่มีการผสมเครื่องปรุงรสใดๆ และผงชูรส


- ซุปกึ่งสำเร็จรูป


ในกลุ่มของซุปกึ่งสำเร็จรูปทั้ง 3 ยี่ห้อ คือ
1.โวโน ซุปครีมเห็ดพร้อมขนมปังกรอบกึ่งสำเร็จรูป
2.เลดี้แอนนา ซุปครีมเห็ดกึ่งสำเร็จรูป และ
3.แคมเบล์ ซุปข้าวโพดกึ่งสำเร็จรูป สามารถทดสอบพบปริมาณโซเดียมในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน คือ 465.3 มก. 574.6 มก. และ 619.7 มก.ตามลำดับ


แคมเบล์ ซุปข้าวโพดกึ่งสำเร็จรูป เป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ข้อมูลทั้งหมดบนกล่องเป็นภาษาอังกฤษ ยกเว้นเพียงส่วนประกอบสำคัญ ที่ระบุว่าไว้ว่าประกอบด้วย ข้าวโพด 20% ครีม 25% และน้ำตาล 10% นอกจากนี้ ยังมีการระบุผู้ผลิตและผู้นำเข้า น้ำหนักสุทธิ และเครื่องหมายรับรองของ อย.


ข้อสังเกต


1.แม้โจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปทุกยี่ห้อ ที่นำมาทดสอบจะระบุว่า ควรเติมเนื้อสัตว์ ไข่หรือผัก เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกจัดวางอยู่ในบริเวณที่มองเห็นได้ยากและมีขนาดเล็ก เช่น มาม่า โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปรสหมู และมาม่า ข้ามต้มกึ่งสำเร็จรูปรสหมู ที่ตัวอักษรข้อความมีขนาดเล็กและกลืนไปกับสีพื้นหลังของซอง ซึ่งยากต่อการสังเกต


2.ลูกเต๋า โจ๊กข้ามกล้องหอมมะลิ มีปริมาณโปรตีนที่ไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่ อย.กำหนด โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านโภชนาการที่ให้ไว้บนซองผลิตภัณฑ์ คือ "ลูกเต๋า โจ๊กข้าวกล้องหอมมะลิ" โปรตีน 3 ก./น้ำหนัก 40 ก. ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 7.5


*****************
ที่มา นิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับที่ 101 เขียนโดย กองบรรณาธิการ 


(ติดต่อ "ฉลาดซื้อ" ได้ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 4/2 ซ.วัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 โทรศัพท์ 0-2248-3734-7 โทรสาร 0-2248-3733 อีเมล webmaster@consumerthai.org)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1250243325&grpid=01&catid=04

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://itceoclub.ning.com
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.logex.kmutt.ac.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://pwdhutch3.blogspot.com
http://energygreenhealth.com

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

[ThaiEMP] Slides งาน Core lecture 1/2552 8-9 สิงหาคม 2552



Please visit blog.Thanks for visiting!
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://www.parent-youth.net
http://www.thaihof.org
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.industry4u.com
http://logistics.dpim.go.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com

--- On Thu, 8/13/09, Surajit Suntorntham <surajitsun@gmail.com> wrote:

From: Surajit Suntorntham <surajitsun@gmail.com>
Subject: [ThaiEMP]  Slides งาน Core lecture 1/2552 8-9 สิงหาคม 2552
To: "thaiemp" <thaiemp@googlegroups.com>
Date: Thursday, August 13, 2009, 6:37 PM



 
จาก: Jirapong Supasaovapak <guybrush115@gmail.com>
วันที่: สิงหาคม 14, 2009 12:24 ก่อนเที่ยง
หัวเรื่อง: Slides งาน Core lecture 1/2552 8-9 สิงหาคม 2552
ถึง: sothep@googlegroups.com
สำเนา: aept@googlegroups.com, emrajavithi <EMRajavithi@googlegroups.com>


ผมได้นำ slide และบันทึกเสียงในงาน core lecture ของสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 1/2552 ขึ้นบนเวบไซต์ของ สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแล้ว โดยสามารถเปิดดูได้ที่

http://www.taem.or.th/node/140

หรือเปิดโดยตรงตาม link ที่แนบด้านล่างนี้ครับ
ขอบคุณครับ

--
A designer knows he has achieved perfection not when there is nothing left to add, but when there is nothing left to take away. — Antoine de Saint Exupéry

--~--~---------~--~----~------------~-------~--~----~

--~--~---------~--~----~------------~-------~--~----~
* ท่านได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่มสานเสวนา "ผู้สร้างสรรค์ระบบสุขภาพไทยและผู้ปฏิบัติการฉุกเฉิน" หากประสงค์ปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกการรับข้อความกรุณาเข้าไปที่ website: http://groups.google.co.th/group/thaiemp/subscribe
กรณีต้องการอ่านการสานเสวนาย้อนหลัง โปรดไปที่กลุ่มสานเสวนานี้โดยคลิกที่
http://groups.google.co.th/group/thaiemp?hl=th หรือ http://groups.google.co.th/group/thaiemp/topics
กรณีต้องการเสนอหัวเรื่องใหม่ กรุณาส่งอีเมลไปที่ thaiemp@googlegroups.com
กรณีที่ท่านเห็นสมควรเรียนเชิญบุคคลเข้าร่วมกลุ่มสานเสวนานี้ กรุณาเรียนเชิญให้เข้าไปที่ http://groups.google.co.th/group/thaiemp แล้วเลือก "เข้าร่วมกลุ่มนี้" ในเมนูด้านขวามือครับ
-~----------~----~----~----~------~----~------~--~---


e-Digest+ August 2009 - Thalassemia, Bone Marrow Transplantation, Hematopoietic Stem Cell Transplantation






 



From: edigest@bangkokhospital.com
To: 
Subject: e-Digest+ August 2009 - Thalassemia, Bone Marrow Transplantation, Hematopoietic Stem Cell Transplantation
Date: Mon, 10 Aug 2009 22:50:29 -0400

  If you cannot see this e-mail, please click here
Click  
โรงพยาบาลกรุงเทพ
โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
โรงพยาบาลวัฒโนสถ
รับคำปรึกษาแพทย์
โปรแกรมและแพคเกจ
ติดต่อเรา
 
 
Bangkok Health Knowledges
>> "ธาลัสซีเมีย" ติดโผโรคเสี่ยงตายด้วยหวัด 09 ชี้กินน้ำน้อยมีสิทธิ์ช็อก
>> 8 คำถามที่อยากรู้เมื่อลูกเป็นธาลัสซีเมีย
>> พบวิธีรักษาแล้ว ธาลัสซีเมีย
>> เปลี่ยนเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต
>> ภาวะโลหิตจาง
>> สาเหตุของโรคกระดูกพรุน
>> การวินิจฉัยโรคเบาหวานในเด็ก และวัยรุ่น
>> สารเคอร์คิวนอยด์ (Curcuminoid)
Monthly Healthy Programs
การเตรียมความพร้อมก่อน
การสมรส
การตรวจเบื้องต้นเพื่อหา
สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก
สัมภาษณ์ รศ.นพ.
ปรีดา วาณิชยเศรษฐกุล
เรื่อง "การปลูกถ่าย
ไขกระดูก
"
Bangkok Promotions
Related Centers and Clinics
คลินิกธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลกรุงเทพ มี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโลหิตวิทยาผู้มี ประสบการณ์ออกตรวจประจำ ให้คำแนะนำ ดูแล รักษาเด็ก และผู้ใหญ่ที่มีภาวะโลหิตจาง สาเหตุจากโรคธาลัสซีเมีย การให้บริการทาง สุขภาพจะเป็นไปอย่างครบถ้วน ครอบคลุม และประยุกต์ให้เหมาะสมกับผู้ป่วย หรือผู้มารับ คำปรึกษาแต่ละราย
>> คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียด
ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากกรุงเทพ โรงพยาบาล กรุงเทพ ตั้งขึ้นเพื่อมุ่งหวังจะช่วยสานความฝัน ของคู่สมรส เพื่อให้กำเนิดลูกน้อยตามที่ต้อง การ เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการ รักษาผู้มีบุตรยากที่จะให้คำปรึกษาและ การดู แลอย่างครอบคลุม เรามีห้องปฏิบัติการเทคโน โลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ทันสมัยและได้ มาตรฐาน ระดับสากลในการรักษาคู่สมรสที่มี บุตรยากจากสาเหตุต่างๆ อาทิ
o การคัดเชื้อเพื่อฉีดเข้าโพรงมดลูก
o กิ๊ฟท์
o ซิฟท์
o เด็กหลอดแก้ว หรือ ไอ.วี.เอฟ.
o การฉีดอสุจิเพียงหนึ่งตัวเข้าไปในเซลล์ ไข่หรืออิ๊กซี่
>> คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียด
Medical Consultation
Make an Appointment
Unsubscription
หากท่านไม่ต้องการรับข่าวสารทาง e-mail จากศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ท่าน สามารถยกเลิกการรับข่าวสารได้ที่
SureStopTM Unsubscribe ด้านล่างค่ะ
 
โรคธาลัสซีเมีย (thalassemia)
เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย คนไทย ร้อยละ 1 หรือประมาณ 600,000 คน เป็นโรคธาลัสซีเมีย และร้อยละ 40 ของ ประชากรไทยเป็นพาหะของโรค แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยทุกคนจะต้องมี อาการรุนแรงเสมอไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่กว่า 5 แสนคน จะเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิด เอช ซึ่งเกิดจากแอลฟ่า 1 ผนวกกับแอลฟ่า 2 หรือแอลฟ่า 1 ผนวกกับซีเอส
โดยจะมีอาการซีดตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงปานกลาง
ธาลัสซีเมีย หมายถึงความผิดปกติในการสร้างโปรตีนอันเป็นส่วน ประกอบของโมเลกุลของฮีโมโกลบิน โดยร่างกายสร้างได้น้อยไป ธาลัสซีเมียมี ชนิดใหญ่ๆอยู่ 2 ชนิด สุดแล้วแต่เส้นโปรตีนใดที่น้อยไป คือแอลฟ่า ธาลัสซีเมีย (α-thalassemia) และเบต้า ธาลัสซีเมีย (β-thalassemia) ทั้งแอลฟ่าและเบต้า ธาลัสซีเมีย ยังมีชนิดแยกย่อยลงไปอีกมาก เมื่อกล่าวถึงธาลัสซีเมียจะหมายรวม ถึงทั้งธาลัสซีเมียและ ฮีโมโกลบินที่ผิดปกติเพราะมีความสัมพันธ์กัน
ผู้มียีนแฝงอยู่หรือเป็นพาหะ
ผู้มียีนแฝงอยู่หรือเป็นพาหะ คือผู้ที่มียีนหรือสารพันธุกรรมผิดปกติ ที่ทำให้เป็น โรคธาลัสซีเมียแฝงอยู่ บุคคลเหล่านี้จะมีสุขภาพปกติเหมือนคนทั่วไป ไม่ถือว่า เป็นโรค จะมีชีวิตยืนยาวเหมือนบุคคลอื่นๆ แต่สามารถถ่ายทอดยีนธาลัสซีเมีย ต่อไปให้ลูกได้ ในประเทศไทยมีประชากรที่เป็นพาหะหรือมียีนธาลัสซีเมียชนิด ต่างๆแฝงอยู่ประมาณร้อยละ 40 หรือประมาณ 24 ล้านคน
โอกาสเสี่ยงของการมีลูกเป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย
1. ถ้าทั้งพ่อและแม่มียีนแฝง (พาหะทั้งคู่) ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่ ลูกจะเป็นโรคเท่ากับร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 โอกาสที่ลูกจะเป็นพาหะเท่ากับร้อย ละ 50 หรือ 2 ใน 4 ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่จะมีลูกไม่มียีนแฝงเท่ากับ ร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4
2. ถ้าพ่อหรือแม่เป็นยีนแฝง (พาหะ) เพียงคนเดียว โอกาสที่ลูกจะเป็นยีน แฝงเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 2 ใน 4 โอกาสที่จะมีลูกปกติเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 2 ใน 4
3. ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคเลือดจางธาลัสซีเมียเพียงคนเดียว และอีกฝ่ายมี ยีนปกติ ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งลูกทุกคนจะมียีนแฝง หรือเท่ากับร้อยละ 100
4. ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคธาลัสซีเมียเพียงคนเดียว และอีกฝ่ายมียีนแฝงใน การมีครรภ์แต่ละครั้งโอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 2 ใน 4 โอกาสที่ลูกจะมียีนแฝงเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 2 ใน 4
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคธาลัสซีเมีย อาศัยลักษณะประวัติอาการเจ็บป่วย ประวัติญาติ พี่น้องในครอบครัว ตรวจร่างกายพบว่าซีด ตับม้ามโต รวมทั้งการตรวจเลือดพบ เม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติ หรือตรวจพบชนิดของฮีโมโกลบินที่ผิดปกติ
แนวทางการรักษา
1. การรักษาพื้นฐาน คือ การให้เลือด และการให้ยาขับเหล็ก
2. การให้เลือด เนื่องจากประเทศไทยมีผู้ป่วยธาลัสซีเมียจำนวนมาก จึงมีปัญหา ที่ไม่สามารถให้เลือดผู้ป่วยที่ควรได้รับเลือดทุกคนอย่างเต็มที่ ส่วนการให้ยาขับ เหล็ก ผู้ป่วยควรได้รับยาขับเหล็กเพื่อขจัดภาวะเหล็กเกิน เพราะภาวะเหล็กเกิน ก่อให้เกิดพยาธิสภาพหลายแห่ง ปัญหาคือ ยาขับเหล็กมีราคาแพง และการให้ก็ ยากลำบาก desferrioxamine เป็นยาขับเหล็กตัวเดียวที่ใช้กันมา 3 ทศวรรษ การบริหารยานี้ต้องใช้เครื่องฉีดติดตัวที่สามารถฉีดเข้าใต้ผิวหนังต่อเนื่อง อัตโนมัติ ในระยะหลังมีการใช้ยา L1 ที่เพิ่งออกวางตลาด
3. การรักษาด้วยการกระตุ้นการสร้าง Hb F ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ที่มีการสร้าง Hb F มาก เม็ดเลือดแดงจะมีอายุมากขึ้น ทำให้ระดับฮีโมโกลบินสูง ปัจจุบันมียา 3 ตัว ที่กระตุ้นการสร้าง Hb F ได้แก่ hydroxyurea, butyrate และ erythropoietin การใช้ยาเหล่านี้ตัวใดตัวหนึ่ง ทำให้ผู้ป่วยธาลัสซีเมียฮีโมโกลบิน สูงขึ้น ทำให้สบายขึ้น ลดหรือขจัดการต้องถ่ายเลือดให้
4. การรักษาให้หายจากโรคธาลัสซีเมีย ได้แก่ การปลูกถ่ายไขกระดูก (bone marrow transplantation) การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ (stem cell) และ การรักษาด้วยยีน (gene therapy)
ปัญหาของการปลูกถ่ายไขกระดูก
คือ ทำได้ยาก ราคาแพงประมาณ 1 ล้านบาทต่อราย และทำได้น้อยคน ส่วนการ รักษาโดยใช้สเต็มเซลล์ ซึ่งใช้วิธีการแยกเซลล์ตัวอ่อนจากไขกระดูกเลี้ยงเพิ่ม จำนวนแล้วฉีดเข้าไปในร่างกายใหม่ ได้เซลล์จำเพาะ เพื่อให้เซลล์สร้างเม็ดเลือด แดงได้ ขณะนี้มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก ค่ารักษาจะถูกกว่าการเปลี่ยนไข กระดูกประมาณ 2 แสนบาทต่อราย
สำหรับการรักษาด้วยยีนนั้น ขณะนี้ทำได้แล้วในสัตว์ทดลอง จึงเป็นไปได้ว่า ในอนาคตจะสามารถรักษาผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยีน
นายแพทย์วรวุฒิ เจริญศิริ ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
โรงพยาบาลกรุงเทพ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือ รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ >> คลิกที่นี่
นัดหมายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ >> คลิกที่นี่
ข้อมูลนี้สงวนสิทธิ์การเผยแพร่เฉพาะสมาชิก e-digest+ ของศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพเท่านั้น
Copyright © 2009 Bangkok Hospital Medical Center (BMC) 2 Soi Soonvijai 7, New Petchburi Rd., Bangkok 10310, Thailand.

This e-mail was sent to: churchan@hotmail.com.
You have received this email because you subscribed with Bangkok Hospital and agreed to receive e-mail.
If you received this message in error or wish to be removed from this mailing list please click on or copy the unsubscribe link below.

 SureStopTM Unsubscribe



ปาร์ตี้ไปกับ Buddy! เติมประกายให้ Messenger ของคุณด้วย emoticons ฟรีๆ คลิกที่นี่เลย