วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

D.I.Y.มาทำ "หน้ากากอนามัย" ใช้เองกันเถอะ!

D.I.Y.มาทำ “หน้ากากอนามัย” ใช้เองกันเถอะ!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 กรกฎาคม 2552 09:35 น.
       หลังการแพร่ระบาดรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จนส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงกว่า 20 ราย และมีผู้ติดเชื้อเฉียด 5,000 ราย แล้ว เริ่มส่งผลให้คนไทยตื่นตระหนกและหันมาป้องกันตัวเองตามการรณรงค์ของกระทรวงสาธารณสุข ด้วยการหมั่นล้างมือให้สะอาด และสวมหน้ากากอนามัย
       
       และภายหลังการแห่ซื้อหน้ากากอนามัยของประชาชน ทำให้บางพื้นที่เกิดขาดแคลน ขาดตลาด หาซื้อไม่ได้ หรือที่ร้ายกว่านั้น คือ มีพ่อค้าหัวใสฉวยโอกาสขึ้นราคาหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะชนิดที่ทำด้วยกระดาษ ให้พุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถซื้อหาหน้ากากอนามัยมาสวมเพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อได้
       
       สำนักโรคอุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกแผ่นพับแนะนำวิธีการทำหน้ากากอนามัยใช้เองแบบง่ายๆ เพื่อเป็นทางเลือกแก่ประชาชนในการแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย วิธีการทำก็ไม่ยุ่งยาก อุปกรณ์ที่ใช้ก็หาได้ในกล่องเย็บผ้าคุณแม่บ้านเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมีต้องซื้อหาเพิ่มเล็กน้อย แต่ถ้าคิดแล้วสุดคุ้ม เพราะซื้อครั้งเดียวทำได้หลายชิ้น แถมซักนำกลับมาใช้ได้เรื่อยๆ ได้ทั้งประโยชน์ทางตรงคือประหยัดเงิน ได้หน้ากากหลายชิ้น สลับใช้ได้ ลดปัญหาการต้องซื้อของแพงและขาดตลาด แถมในทางอ้อมยังได้ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดขยะในประเด็นของการใช้หน้ากากอนามัยกระดาษที่ต้องใช้แล้วทิ้ง เป็นการช่วยโลกร้อนไปพร้อมๆ กันได้อีกด้วย
       
       อุปกรณ์ที่ต้องใช้ ได้แก่ กรรไกรตัดผ้า, ด้ายและเข็ม, ผ้าฝ้าย หรือผ้ายืด หรือผ้าสาลูเนื้อแน่น กว้าง 6 นิ้วครึ่ง ยาว 7 นิ้วครึ่ง 2 ชิ้น และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือยางยืดหรือไส้ไก่ยาว 7 นิ้วสำหรับทำหู 2 เส้น
       
       ...ทีนี้ก็ถึงเวลาลงมือทำกันแล้ว...
       
       เริ่มด้วยการนำผ้าที่เตรียมไว้มาพับครึ่งตามความยาวผ้าแล้วพับจับ จีบทวิส 1 นิ้ว ตรงกลางผ้ากลัดด้วยหมุด หรือ เนาตรึงไว้ และ ทำอีกชิ้นเช่นเดียวกัน จากนั้นนำผ้าที่พับไว้มาวาง โดยหันด้านนอกขึ้น และนำยางยืดมาวางที่มุมผ้าด้านกว้างข้างบน และข้างล่าง ด้านละ 1 เส้น กลัดเข็มหมุด หรือ เนาตรึงไว้
       
       ขั้นตอนต่อมานำผ้าที่พับไว้อีกชั้นมาวางซ้อนกับผ้าชิ้นแรกที่ตรึงยางยืดไว้ โดยหันผ้าด้านนอกชนกัน แล้วเย็บจักร หรือ ด้นถอยหลังรอบผ้าสี่เหลี่ยม ให้ห่างจากริมผ้า ด้านละครึ่งเซนติเมตร โดยเว้นช่องว่างไว้กลับตะเข็บ ประมาณ 1 นิ้ว และขลิบผ้าตรงมุมทั้ง 4 มุม ให้ใกล้กับรอยเย็บ เพื่อเวลากลับตะเข็บจะได้เรียบร้อยสวยงาม จากนั้นปิดท้ายด้วยสอยปิดช่องว่างที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำหน้ากากอนามัย
       
       เห็นไหม...ไม่ยากเลย คุณหนูๆ ก็สามารถช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำได้ แถมภูมิใจเมื่อสวมหน้ากากที่เป็นคนทำเองด้วย
       
       ทีนี้ก็มาถึงวิธีการสวมหน้ากากให้ถูกวิธี เพื่อให้การใช้หน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรคได้อย่างสูงสุดเต็มประสิทธิภาพ ก่อนอื่นต้องล้างมือให้สะอาดเสียก่อนใส่ จากนั้นใช้มือจับหูยางยืดสวมกับหูตัวเอง และดึงให้ส่วนที่เป็นหน้ากากคลุมจมูกและปากให้มิดชิด ปรับสายให้หน้ากากกระชับกับใบหน้า
       
       และเมื่อใช้เสร็จแล้ว การดูแลรักษาทำความสะอาดหลังใช้ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หากเป็นกรณีของหน้ากากอนามัยกระดาษ ควรใช้ครั้งเดียวทิ้ง และทิ้งในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด หากเป็นผ้าหลังจากใช้เสร็จความซักให้สะอาด และผึ่งแดดให้แห้ง สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000080456

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

"ยาแดงถอนพิษ" สมุนไพรสู้หวัด สร้างชื่อภูมิปัญญาหมอชาวบ้าน

“ยาแดงถอนพิษ” สมุนไพรสู้หวัด สร้างชื่อภูมิปัญญาหมอชาวบ้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2552 09:50 น.
ยาแดงถอนพิษ ยาสมุนไพรธรรมชาติ
       ยาสมุนไพรไทยถือเป็นแพทย์อีกทางเลือกที่เกิดจากภูมิปัญญาสะสมมานานหลายชั่วอายุคน พัฒนาจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่คนเฒ่า คนแก่ในท้องถิ่นจนถึงยุคในปัจจุบัน ซึ่งต่อยอดใช้กันอย่างแพร่หลาย
       
       อย่างเช่นยาสมุนไพรภูมิปัญญาชาวบ้าน ชื่อว่า ยาแดงถอนพิษ ตราคนตีระฆัง ของ “ชาญชัย สุขทรัพย์” หมอชาวบ้านแผนโบราณ ซึ่งชาวจังหวัดตราดรู้จักกันดี เพราะเป็นร้านเก่าแก่เปิดให้บริการอยู่ภายในโรงพยาบาลตราด
       


นายชาญชัย สุขทรัพย์ เจ้าของสูตร
       คุณสมบัติของยาแดงถอนพิษช่วยบรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ ไข้หวัด ถอนพิษต่างๆ ลดอาการไข้หวัด หรืออาการไข้ที่เกิดจากโรคโบราณ อย่างงูสวัด เริม อีสุกอีใส ไข้ทับระดู หรืออาการแพ้อากาศ แพ้ฝุ่นละออง ฯลฯ ซึ่งยาแดงถอนพิษเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนไข้ที่ต้องการลดการกินยาปฏิชีวนะจากแพทย์แผนปัจจุบัน
       
       ทั้งนี้ ข้อดีของยาแดงถอนพิษ คือ ทำจากสมุนไพรธรรมชาติ โดยวิธีการทำ คนโบราณนำสมุนไพรมาตากแห้งและต้มดื่มแทนน้ำ ปัจจุบัน เพิ่มความสะดวกสบาย และลดขั้นตอนต่างๆ โดยนำมาปั้นเป็นเม็ด ช่วยให้รับประทานได้ง่ายขึ้น ขายในราคาแผงละ 20 บาท ( 1 แผงมี 10 เม็ด)

ยาสมุนไพร อื่นๆ ที่ปรุงยาด้วยสูตรของลุงชาญชัย
       ชาญชัย เล่าว่า เริ่มเรียนรู้เรื่องสมุนไพรตั้งแต่เมื่ออายุ 17 ปี จากที่เคยเป็นลูกจ้างร้านขายยา ทำงานในร้านแทบทุกอย่าง จึงได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องสมุนไพร และหลังจากทำงานเป็นลูกจ้างร้าน อยู่ได้ 9 ปี ลาออกมาทดลองปรุงยาขายเอง โดยมีอาจารย์จากกรุงเทพฯ มาสอนความรู้เสริมในลักษณะของหมอชาวบ้าน
       
       ทั้งนี้ คิดค้นสูตรยาแดงถอนพิษ มานานกว่า 12 ปี โดยนำความรู้ทุกๆ ด้านมาผนวกกัน จนได้ออกมาเป็นสูตรเฉพาะตัว ปรุงจากสมุนไพรมากกว่า 20 ชนิด โดยสมุนไพร 10 ชนิดแรก เป็นความรู้ที่ได้จากร้านยาที่เคยเป็นลูกจ้าง และอีก 10 ชนิดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากมาจากรุ่นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย
       
       สำหรับกลุ่มลูกค้าหลัก คือ คนไข้ที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลตลาด เมื่อได้รู้จัก และรู้ถึงคุณสมบัติยาแดงถอนพิษ จะทดลองซื้อไปรับประทาน เมื่อได้ผลดีช่วยให้อาการดีขึ้น จึงบอกกันแบบปากต่อปาก จนชื่อเสียงกระจายไปทั่ว ถึงปัจจุบันยาสมุนไพรตัวนี้ มีวางขายในร้านขายยาทั่วไปทั้งประเทศ
       
       ในส่วนตัวของหมอชาวบ้านรายนี้ มีใบรับรองจากกรมแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข โดยสอบและได้ใบอนุญาตแพทย์แผนไทย สาขาเภสัชกรรมไทย (บ.ภ.) และแพทย์แผนไทย สาขา เวชกรรมไทย (บ.ว.) ทำให้ปรุงยาสมุนไพรออกขายได้ และสามารถขึ้นทะเบียนตำรับยาได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งการขึ้นทะเบียนตำรับยานั้น จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบว่า ไม่มีสารปนเปื้อน หรือสารอันตรายที่ใช้ในการปรุงยา

ยาแดงถอนพิษในกล่อง
       นอกจากยาแดงถอนพิษ ในร้านของชาญชัย ซึ่งตั้งอยู่ในโรงพยาบาลตราด ยังมียาสมุนไพรอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น ยาขับลม ยาริดสีดวง ยาหอม น้ำมันเหลือง เป็นต้น โดยก่อนจะจ่ายยาจะตรวจดูอาการคนไข้ตามหลักแพทย์แผนไทยด้วย
       
       สำหรับคนไข้ที่มีหา มีทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กถึงคนชรา คนไข้บางรายเป็นโรคเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเลือกจะกินยาสมุนไพรแทนยาปฏิชีวนะ เพราะราคาถูกกว่า อีกทั้ง ทำจากสมุนไพรตามธรรมชาติไม่เป็นอันตราย และนอกจากจะผลิตยาขายแล้ว
       
       ด้านแหล่งวัตถุดิบสมุนไพรที่นำมาสกัดเป็นตัวยา สั่งซื้อจากแหล่งขายสมุนไพรในกรุงเทพฯ ซึ่งมีสมุนไพรให้เลือกนับ 1,000 ชนิด จากทั่วทุกแห่งของประเทศ และบางตัวต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งทุกตัวผ่านการอบแห้งมาแล้ว สามารถนำไปใช้ได้เลย

ลูกค้าให้ความสนใจยาสมุนไพรแก้หวัด
       ชาญชัย ทิ้งท้ายว่า สรรพคุณของยาสมุนไพรไทยโบราณ ไม่อาจกล่าวได้ว่า รักษาโรคภัยต่างๆ ได้หายสนิทแน่นอน ทว่า สรรพคุณของสมุนไพรช่วยบรรเทาอาการได้อย่างดี ดังนั้น ภูมิปัญญาไทยเหล่านี้ สมควรได้รับการสืบสานและต่อยอดเรื่อยไปในอนาคต
       
       ***************************
       
       โทร. 039-532-880,08-6113-3950
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9520000077587

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน หรือ Over Active Bladder, OAB

ทำไงดี! ปวดฉี่บ่อยจัง

Pic_22778

ผู้ที่มีอาการปวดปัสสาวะบ่อยๆ ทุกชั่วโมง เวลาปวดจะรุนแรงมากจนต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที มักจะตื่นขึ้นมากลางดึกเกินกว่า 1 ครั้งเพราะปวดปัสสาวะจนทนไม่ไหว เวลาทำงานต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อยมากจนรู้สึกรำคาญ เวลาเดินทางไปไหนไกลๆ หรือรถติดบนท้องถนนก็มักจะรู้สึกปวดปัสสาวะกลางทาง สร้างความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก นพ.บุญเลิศ สุขวัฒนาสินิทธิ์ ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า อาการต่างๆ เหล่านี้เป็นอาการผิดปกติของระบบขับถ่ายปัสสาวะ ซึ่งมักพบได้จากหลายสาเหตุ แต่โรคหนึ่งที่พบบ่อยแต่ประชาชนทั่วไปยังอาจรู้จักน้อย คือ โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน  หรือ Over Active Bladder, OAB



โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน เป็นกลุ่มอาการของความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง เป็นภาวะที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินไป  ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ บางคนเป็นมากต้องปัสสาวะ 2-3 ครั้งต่อชั่วโมง ยิ่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ จะปัสสาวะบ่อยมากขึ้น และรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง เวลาปวดจะกลั้นไม่ค่อยได้ต้องรีบเข้าห้องน้ำอย่างเร่งด่วน รวมทั้งต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ จนรบกวนการนอนหลับ บางครั้งอาจมีปัสสาวะเล็ด หรืออาจมีอาการเจ็บท้องน้อยร่วมด้วย อาการจะคล้ายๆ กับเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบธรรมดา แต่จะเป็นค่อนข้างเรื้อรังเป็นเวลานาน

ก่อนหน้านี้เคยเข้าใจกันว่าภาวะปัสสาวะไวเกินมักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ปัจจุบันพบว่าในผู้ชายก็เป็นโรคนี้มากขึ้น โดยมักพบร่วมกับภาวะต่อมลูกหมากโต และพบได้ในคนทุกวัย แต่ไม่ค่อยพบโรคนี้ในเด็ก ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้ ผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดกับคุณภาพชีวิตโดยรวม  เพราะอาการที่เป็นจะเป็นมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน  มีปัญหาเวลาที่ต้องอยู่ในรถที่ติดขัด ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญ มีผลต่อความสะอาดของบริเวณช่องคลอด และขาหนีบ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่กล้าเข้าสังคม ผู้ป่วยจะไม่อยากไปไหน เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะมีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่จะไป

อะไรคือสาเหตุ

สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกินยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากระบบประสาทที่บริเวณกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวบ่อยและไวกว่ากำหนด โดยที่ยังมีปริมาณปัสสาวะไม่มากพอที่จะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะ สาเหตุอีกส่วนหนึ่ง คือ พบร่วมกับภาวะการอักเสบ ติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ ภาวะหมดประจำเดือนและโรคทางระบบประสาทบางชนิด



มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
การวินิจฉัย ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (Overactive Bladder, OAB) จำเป็นต้องซักประวัติ และตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะระบบประสาท และการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตัดโรคอื่นๆ ที่อาจมีอาการและอาการแสดงคล้ายกันเสียก่อน ได้แก่ 
1.การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 
2.เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน ที่กดดันกระเพาะปัสสาวะ จนทำให้ปัสสาวะบ่อย 
3.การหย่อนยานของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน 
4.ภาวะการขาดฮอร์โมนเพศหญิง 
5.โรคเบาหวาน โรคเบาจืด การได้รับยาที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ 
6.ความผิดปกติของระบบประสาท 
7.กระเพาะปัสสาวะยืดตัวผิดปกติ (Overflow Incontinence) 
8.อาการที่เกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน




รักษาได้อย่างไร
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ดังนั้น การรักษาจึงใช้แนวทางรักษาหลายชนิดมาผสมผสานกัน กล่าวคือ
รักษาภาวะหรือโรคที่มีผลก่อให้เกิดปัญหากระเพาะปัสสาวะไวเกิน ดังกล่าวข้างต้น

  1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การงดดื่มน้ำก่อนนอน หลีกเลี่ยงยา หรืออาหารที่มีฤทธิ์กระตุนการขับปัสสาวะ เช่น ยาขับปัสสาวะ น้ำชา กาแฟ การจัดที่นอนใหม่ให้เข้าห้องน้ำได้สะดวกขึ้น
  2. การใช้ยาที่มีฤทธิ์คลายการหดตัวของกระเพาะปัสสาวะ โดยหลักๆ จะใช้ยาในกลุ่ม Anticholinergic ซึ่งจะออกฤทธิ์คลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ลดการบีบตัวที่ไวเกินปกติของกระเพาะปัสสาวะ การใช้ยาจะต้องมีการปรับขนาดยาให้เหมาะต่อผู้ป่วยแต่ละราย ยาในกลุ่มนี้มีหลายชนิด ต่างกันที่ราคา และผลข้างเคียงของยา
  3. การฝึกกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในพฤติกรรมบำบัด เป็นการฝึกควบคุมระบบประสาท ที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้สมองส่วนกลางส่งสัญญาณมายับยั้งวงจรการปัสสาวะ โดยการฝึกปัสสาวะให้เป็นเวลา และเพิ่มช่วงเวลาการถ่ายปัสสาวะให้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น จากเดิมต้องเข้าทุกๆ 1 ชั่วโมงให้เพิ่มเป็น 1 ชั่วโมงครึ่งและ เพิ่มเป็น 2 ชั่วโมงตามลำดับ เป็นการฝึกให้กระเพาะปัสสาวะ เก็บปัสสาวะให้มากพอ โดยไม่มีอาการบีบตัวไวกว่าปกติ รวมทั้งหลักการเบี่ยงเบนความสนใจ และผู้ป่วยควรขมิบช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งจะลดอาการอยากถ่ายปัสสาวะลง

  4. การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นที่เส้นประสาทบริเวณก้นกบ (Sacral nerve stimulation)  การใช้ไฟฟ้ากระตุ้น ที่เส้นประสาทบริเวณก้นกบ จะช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ลงการรักษาโดยวิธีนี้ ต้องมีการผ่าตัดฝังตัว กระตุ้นสัญญาณไฟฟ้าที่หน้าท้อง และกระดูกก้นกบด้วย (Sacral bone) และต้องมีการทดสอบในช่วงแรกว่าได้ผล จึงผ่าตัดฝังเครื่องชนิดถาวร (อยู่ได้ 5 ปี) การรักษาวิธีนี้ มีราคาแพง และยังอยู่ในระหว่างการวิจัย
  5. การฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อทำให้กล้ามเนื้อที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อหูรูดส่วนนอกของท่อปัสสาวะหนาตัวและแข็งแรงขึ้น โดยปกติการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน จะใช้ในการรักษาภาวะไอ-จามจนปัสสาวะเล็ด แต่พบว่าสามารถนำมาใช้รักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินได้ด้วย
  6. การผ่าตัด มีการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ บางส่วน หรืออาจนำลำไส้เล็กบางส่วน มาเย็บต่อกับกระเพาะปัสสาวะ เพื่อทำให้การบีบตัวไม่มีผลทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย การผ่าตัดมีผลแทรกซ้อนมาก และนิยมทำในรายที่รักษา โดยการใช้ยาแล้วไม่ได้ผลวิธีการอื่นๆ เช่น การใช้ยาหรือสารบางชนิด เช่น Capsaicin ใส่ไปในกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงการทำกายภาพบำบัด

    การจะการรักษาด้วยวิธีใดนั้น แพทย์จะพิจารณาตามความจำเป็นในแต่ละราย ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไป

ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน ถึงแม้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้คุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในหลายๆ ด้าน จึงจำเป็นที่แพทย์ในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สูตินรีแพทย์ ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ อายุรแพทย์ และแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ให้ความสำคัญและให้การดูและรักษาอย่างจริงจัง เพื่อให้หายหรือบรรเทาจากภาวะดังกล่าวได้ และให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ข้อมูลจากโรงพยาบาลเวชธานี

www.vejthani.com

http://www.thairath.co.th/content/life/22778

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

ให้ออกกำลังหนักถึงหัวใจเต้นกระหน่ำ โล่กั้นป้องกันมะเร็ง

Pic_23165

ผู้ที่ออกกำลังเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติถึงครึ่งต่อครึ่งและจะมองเห็นได้ชัดที่สุด...  

ผู้ชายที่หมั่นออกกำลังหนักหน่วง จนหัวใจเต้นกระหน่ำทุกวัน  จะไม่ค่อยเป็นมะเร็งเหมือนคนอื่น เฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ และกระเพาะอาหารด้วยแล้ว ยิ่งเป็นยากอย่างเห็นได้ชัดที่สุด  วารสารวิชาการ

"เวชศาสตร์การกีฬาแห่งอังกฤษ" ได้ เปิดเผยให้ทราบว่า ปัจจัยสำคัญของการหนีโรคมะเร็งที่สำคัญให้ห่าง ขึ้นอยู่กับอัตราการเผาผลาญออกซิเจนของร่างกายในระดับสูง 

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยโคโอปิโอ  และอูลูของฟินแลนด์ได้ศึกษาการออกกำลังยามว่างของผู้ชายวัยระหว่าง 42-61 ปี ซึ่งไม่มีประวัติของโรคมะเร็ง เป็นรอบระยะเวลา 12 เดือน จำนวน 2,560 คน และได้ติดตามต่อมาอย่างใกล้ชิดอีก 16 ปี ซึ่งในช่วงระหว่างเวลานั้น พวกเขาเกิดเป็นมะเร็ง โดยมากเป็นมะเร็งของกระเพาะหรือลำไส้ ปอด ต่อมลูกหมาก และสมอง เสียชีวิตไป 181 ราย 

จากการตรวจสอบยังได้พบว่า ผู้ที่ออกกำลังเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติถึงครึ่งต่อครึ่งและจะมองเห็นได้ชัดที่สุด โดยเฉพาะในโรคมะเร็งกระเพาะและลำไส้ กับมะเร็งปอด นักวิจัยได้บอกเสริมว่า "การออกกำลังอย่างต่ำควรจะมีความหนักหน่วงขนาดปานกลางจึงจะได้คุณประโยชน์คุ้มกันไม่ให้ต้องเสียชีวิตลง ด้วยมะเร็งทุกชนิดได้".

http://www.thairath.co.th/content/tech/23165

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

กาแฟเย็นทำให้อ้วน ให้แคลอรีมากเท่ากับข้าวมื้อใดมื้อหนึ่ง

กาแฟเย็นทำให้อ้วน ให้แคลอรีมากเท่ากับข้าวมื้อใดมื้อหนึ่ง

Pic_22684

กองทุนวิจัยต่อต้านโรคมะเร็งโลก เตือนกาแฟเย็นของร้านกาแฟชื่อดังระดับโลก หลายเจ้าให้พลังงานแคลอรีมากเสียยิ่งกว่ากินข้าวหนึ่งมื้อเสียอีก…

กองทุนวิจัยต่อต้านโรคมะเร็งโลก กล่าวเตือนว่า กาแฟเย็นของร้านกาแฟชื่อดังระดับโลก หลายเจ้าให้พลังงานแคลอรีมากเสียยิ่งกว่ากินข้าวหนึ่งมื้อเสียอีก ดังนั้น ผู้ที่คิดกินกาแฟต่างข้าวมื้อใดมื้อหนึ่ง ควรจะสังวรไว้

กองทุนได้ทำการสำรวจกาแฟเย็นที่ขายตามร้านกาแฟเครือข่ายยี่ห้อที่มีชื่อเสียง อย่าง สตาร์บัคส์ แคฟเฟ เนโร และคอสตา คอฟฟี่ ตรวจวัดปริมาณแคลอรี ในการศึกษาหาความเกี่ยวพันของความอ้วนกับการเป็นมะเร็ง พบว่ากาแฟเย็นบางชนิดให้แคลอรีมากถึง 561 แคลอรี บางชนิดก็ไม่ต่ำกว่า 450 ส่วนใหญ่ล้วนแต่ไม่ต่ำกว่า 200 แคลอรีทั้งนั้น

ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพได้เคยแนะนำว่า ผู้ต้องการรักษาน้ำหนักตัวไว้ให้คงที่ ผู้ชายโดยเฉลี่ยควรจะบริโภคอาหาร ควรให้ได้รับพลังงานไม่เกิน 2,500 แคลอรี ส่วนผู้หญิงก็ควรจะอยู่ประมาณวันละ 2,000 แคลอรี ในขณะที่ผู้ที่จำเป็นต้องควบคุมอาหาร ควรจะอยู่ในระหว่างแค่ 1,000 ถึง 1,500 แคลอรีเท่านั้น.

http://www.thairath.co.th/content/tech/22684

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

กินชาทำให้กระดูกอ่อน พบสารฟลูออรีนอันเป็นพิษปนอยู่ด้วย

กินชาทำให้กระดูกอ่อน พบสารฟลูออรีนอันเป็นพิษปนอยู่ด้วย

Pic_23168

นักวิทยาศาสตร์เมืองบูชิโดกล่าวเตือนผู้ที่เป็นคอชา โดยเฉพาะชาอู่หลงและชาดำว่า การกินชาไปนานๆอาจจะทำให้กระดูกอ่อน เนื่องด้วยพิษของฟลูออรีนที่มีผสมอยู่...

นักวิทยาศาสตร์เมืองบูชิโดกล่าวเตือนผู้ที่เป็นคอชา โดยเฉพาะชาอู่หลงและชาดำว่า การกินชาไปนานๆอาจจะทำให้กระดูกอ่อน เนื่องด้วยพิษของฟลูออรีนที่มีผสมอยู่ในน้ำชา

นักวิจัยอาวุโสสถาบันสุขภาพโทยามาได้ เปิดเผยในที่ประชุมสมาคมการวิจัยชีวเวชญี่ปุ่น ที่กรุงโตเกียวเมื่อเร็วๆนี้ ว่า พบสารเคมีในร้อยละ 70 ของตัวอย่างน้ำชาที่วิเคราะห์จากทั้งหมด 130 ตัวอย่างด้วยกัน ซึ่งมีระดับเกินกว่ามาตรฐานของน้ำประปา ที่กำหนดอยู่ว่า ต้องไม่เกิน 0.8 มิลลิกรัม ในน้ำ 1 ลิตร แต่ยังไม่เคยมีมาตรฐานของฟลูออรีนในน้ำชามาก่อน 

รายงานของนักวิจัยกล่าวว่า "จากการศึกษาสุขภาพของประชาชนในเขตปกครองอิสระมองโกเลียในของจีน ได้พบว่ากระดูกของผู้ที่ดื่มน้ำและน้ำชาที่มีฟลูออรีนปนอยู่มาเป็นเวลานาน มีความโน้มเอียงที่อาจจะเกิดแตกหักได้ จริงอยู่แม้ว่ามันจะยังไม่เกิดในวันในพรุ่ง แต่ก็ควรจะต้องตั้งมาตรฐาน และแบบ อย่างของการดื่มน้ำชาป้องกันขึ้นไว้ก่อน".

http://www.thairath.co.th/content/tech/23168

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

'กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน' /"มะนาว" มีประโยชน์มากกว่าความเปรี้ยว

'กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน'

วันอาทิตย์ ที่ 02 สิงหาคม 2552 เวลา 0:00 น

โรคร้ายคร่าชีวิตคนไทยทุกชั่วโมง!!

ในทุก ๆ 1 ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คนด้วย “โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน” และจะมีสถิติเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหัวใจเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักที่สุดตลอดทั้งชีวิต การปั๊มเลือดที่มีสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญ   ทั่วร่างกายต้องอาศัยกล้ามเนื้อ   และหลอดเลือดหัวใจที่แข็งแรง เมื่อหลอดเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและทำงานลดลง อาจนำไปสู่ขั้นเสียชีวิตได้  
   
สาเหตุของการเกิดโรคร้ายแรงนี้ นายแพทย์ระพินทร์ กุก  เรยา หัวหน้าอายุรแพทย์หัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ให้ความรู้ว่า อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันมีสาเหตุมาจากการตีบตัน แคบลงของหลอดเลือดแดง เนื่องจากมีไขมันและคอเลสเตอรอลไปเกาะที่ผนัง  ของหลอดเลือด โดยผู้ป่วยจะมีอาการแสดงออกเมื่อมีการตีบตันมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ในลักษณะเจ็บแน่นหน้าอกเวลาออกแรงมาก ๆ เครียด หรือหลังจากทานอาหารมื้อหนัก ส่วนมาก 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยจะเจ็บบริเวณกลางหน้าอก คล้ายมีอะไรบีบรัดหรือกดทับและอาจร้าวไปที่คอ กราม ไหล่ซ้าย หรืออาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก หน้ามืด อาเจียน ซึ่งอาการเจ็บดังกล่าวหากนั่งพักจะหายไปเอง
   
แต่อาการที่น่ากลัวคือ กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่เคยมีอาการทำให้เสียชีวิตกะทันหัน เช่น เล่นกีฬาแล้วเสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยทำงานที่ร่างกายแข็งแรงดีไม่เคยมีโรค จึงต้องเฝ้าระวังเพราะคนที่มีอาการจะทราบและดูแลตัวเองดี แต่คนที่ไม่มีอาการจะไม่ค่อยสังเกตตัวเองจึงเสียชีวิตอย่างกะทันหัน โดย ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคนี้ได้แก่ ผู้ที่มีโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ เครียด ขาดการออกกำลังกาย   อย่างสม่ำเสมอ ผู้ชายอายุ 40 ปี ขึ้นไปแต่ปัจจุบัน     35 ปีขึ้นไปก็เริ่มเสี่ยงแล้ว เพราะมีปัจจัยแวดล้อมเสริม เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ อดนอน กินอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันมาก ส่วนผู้หญิงจะมีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้น ไปเนื่องจากดูแลตัวเองดีเลือก กินอาหารเพราะกลัวอ้วนและมีฮอร์โมนเพศหญิงช่วยคุมไขมัน
   
การสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดเกิดขึ้นตั้งแต่ วัยเด็กเป็นปื้นสีเหลืองและจะมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเรายังคงมีพฤติกรรมรับประทานอาหารที่ มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง จึงสะสมเพิ่มจนกลายเป็นแอ่งไขมันในผนังมีเปลือกหุ้มไว้บาง ๆ เมื่อเปลือกหุ้มไขมันนี้ปริแตกออกทำให้ไขมันข้างใต้ออกมาสัมผัสเม็ดเลือดแดงและจับกันเป็นกลุ่มเกิดการ อุดตันหลอดเลือดทันที ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ดังนั้นหากมีอาการแน่นหน้าอกเวลาออกแรง พักแล้วหาย ออกแรงใหม่ก็เป็นใหม่ เหนื่อยเร็วกว่าปกติควรรีบมาพบแพทย์ทันทีเพื่อรักษา
   
การรักษาที่ดีที่สุดคือ การใช้ลูกโป่งขยายหลอดเลือด  ซึ่งที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพมีห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและมีทีมงานพร้อมแพทย์ผู้ชำนาญจะใช้  ลวดเล็ก ๆ สอดผ่านหลอดเลือดที่ตันและทำการขยายหลอดเลือดด้วยลูกโป่ง วิธีนี้พบว่าสามารถเปิดหลอดเลือดได้สำเร็จ 90 เปอร์เซ็นต์และมีประโยชน์มากกับผู้ป่วยที่หัวใจขาดเลือดจนช็อก ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการไม่ตีบตันมากจะใช้วิธีการรักษาโดยการทานยาซึ่งไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แต่มีอาการตีบตันช้าลง ช่วยให้ไขมันที่เกาะทรงตัวได้ดีไม่ปริแตกรวมทั้งลดขนาดไขมันบางชนิด
   
นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีบุคลากรและเครื่องมือในการรักษา และ เชื่อมั่นว่า ทางโรงพยาบาลฯ มีความพร้อมที่จะรักษาผู้ป่วยได้เพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือคน  ไทยให้ได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง โดยร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ผู้มีสิทธิตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ผู้ป่วยบัตรทอง) สามารถเข้ารับการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึง 30 เมษายน 2553 ที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
   
วิธีการรักษาจะให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือทำการสวนหัวใจขยายหลอดเลือดที่อุดตันด้วยลูกโป่ง และมักจะใส่ขดลวดให้กับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจโดยเฉียบพลัน ซึ่งผู้ป่วยสามารถขอรับการรักษาได้เองและต้องมีบัตรทองที่ระบุโรงพยาบาลต้นสังกัดหรืออาจมาจากการส่งต่อ แต่ต้องมีใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1719
   
โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเป็นโรคร้ายแรงมีอัตราการเสีย ชีวิตสูง นายแพทย์ระพินทร์ จึงแนะนำว่าวิธีการรักษาต่าง ๆ เป็นแค่การรักษาเบื้องต้นเท่านั้นแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันก่อนที่โรคจะเกิดขึ้นหรือการเป็นซ้ำเพราะเส้นเลือดไม่มีการหยุดนิ่งอยู่กับที่ บางทีรักษาตรงนี้หายแต่อาจจะไปอุดตันที่บริเวณจุดอื่น จึงควรลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะการควบคุมไขมันจากอาหาร เบาหวาน ความดันโลหิต ให้อยู่ในระดับปกติ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และเจาะเลือดตรวจไขมันเป็นประจำ รวมทั้งกินผักผลไม้ให้มากขึ้นด้วยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น.

สรรหามาบอก
   
- โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ขอเชิญผู้สนใจที่มีอายุย่าง 40 ปี และผู้ที่กำลังเข้าสู่วัยทอง เข้ารับฟังการสัมมนาเรื่อง “รับมือกับเมตาบอลิกซินโดรมในวัยทอง” เพื่อเรียนรู้วิธีรับมือเมื่อเข้าสู่วัยทอง การปฏิบัติตัวของคนวัยทองและสาระดี ๆ ของแพทย์แผนไทยกับวัยทอง โดยศาสตราจารย์กิตติคุณแพทย์หญิง คุณหญิงกอบจิตต์ ลิมปพะยอม และศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์  วีระสิงห์ เมืองมั่น ใน วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2552 เวลา 12.30-16.00 น. ณ ห้องประชุมวิชัยยุทธ ชั้น 22 อาคารศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธ (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) สำรองที่นั่งได้ที่โทร. 0-2265-7777, 0-2618-6200 ต่อ 31941-43
   
- โรงพยาบาลกรุงเทพ ขอเชิญประชาชนผู้สนใจร่วมงาน “A Healthy Date for Healthy Living” มหกรรมสุขภาพสำหรับทุกคนในครอบครัว ภายในงานชมนิทรรศการข้อมูลสุขภาพในหัวข้อ “สะท้อนกระจกเงาเรื่องเล่าสุขภาพ” พร้อมร่วมกิจกรรมเกมสันทนาการวัดระดับสมาธิ ทดสอบพลังคลื่นสมองกับเกมมายด์ บอล ประลองความเร็ว ฝึกทักษะการรับรู้กับเกมผีเสื้อแสนสวย ฯลฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้-  9 สิงหาคม 2552 ระหว่างเวลา 09.00-15.00 น. บริเวณชั้น 1 โรงพยาบาลกรุงเทพ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือรับ  คำปรึกษาด้านสุขภาพได้ที่ Contact Center โทร. 1719   
   
- โรงพยาบาลศิครินทร์ ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์และผู้สนใจทุกท่าน ร่วมฟังบรรยายเชิงวิชาการ เรื่อง “ครรภ์คุณภาพ” โดย รศ.ลาวัณย์ ผลสมภพ อาจารย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์- นรีเวชวิทยา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2552 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารศิครินทร์ 1 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมรับของที่ระลึก สอบถามเพิ่มเติมที่แผนกลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1728 หรือ 0-2366-9900 ต่อ 1145-6.

"มะนาว" มีประโยชน์มากกว่าความเปรี้ยว

มะนาว เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่เมื่อพูดถึงแล้ว ใคร ๆ หลายคนคงนึกถึงรสชาติที่เปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟัน แต่ขณะเดียวกัน หาก นึกถึงคุณประโยชน์ด้านต่าง ๆ ของมะนาวอาจพบว่ามีมากมาย โดยนอกจากคุณแม่บ้านจะมีไว้ติดครัวเพื่อปรุงรสต้มยำหรือสารพัด ยำให้แซบถูกปากแล้ว ในสรรพคุณทางยา “มะนาว” ยังสามารถใช้รักษาโรคต่าง ๆ รวมทั้งเป็นเครื่องประทินความงามได้อย่างดีอีกด้วย
   
ลักษณะทั่วไปของมะนาวเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ทรงพุ่ม ตัวใบรูปร่างกลมรี ขอบใบหยักเล็กน้อย ปลายและ โคนใบมน ดอกเล็กสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลกลมเปลือกบางเรียบ มีน้ำชุ่มมาก รสเปรี้ยว เปลือกผลมีน้ำมัน กลิ่นหอม รสขม สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดโดยเฉพาะดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ควรปลูกในฤดูฝน ช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ ต้องรดน้ำทุกวันและไม่ควรโดนแดดมาก โดยมีความเชื่อตามตำราพรหมชาติฉบับหลวงกล่าวไว้ว่า มะนาวเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน กำหนดปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ) เพื่อผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านจะได้มีความสุขสวัสดี
       
มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลาย ชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค วิตามินซี ซึ่งได้จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอและซี รวมทั้งมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาว มีสรรพคุณทางยาคือ เปลือกผล มีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด วิธีทำยา นำเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออก ชงน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการ ส่วน น้ำมะนาว รักษาอาการไอและขับเสมหะ โดยใช้ผลสดคั้นน้ำจะได้น้ำมะนาวเข้มข้น ใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อย ๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงให้รสเข้มข้นพอควร ดื่มบ่อย ๆ หรือนำน้ำมะนาวผสมดินสอพองใช้ทาบริเวณ   หัวโน จะทำให้เย็นและยุบลงเร็ว

ประโยชน์ของน้ำมะนาวซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นที่รู้จักกันดีคือ มีวิตามินซีสูงมาก รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดี นอกจากนี้ยังมี ประโยชน์ด้านความงามโดยเอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทา   บริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า จะช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี สำหรับใบหน้าสามารถแก้สิวฝ้าได้ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง ซึ่งมะนาวจะช่วยรักษาสิวให้ลดน้อยลงได้เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วหลุดออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน ช่วยกำจัดเชื้อโรคและไขมันได้ด้วย การใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อย ๆ ยุบหายไปในที่สุด ส่งผลให้ใบหน้าสวยใส   
   
มะนาวจึงถือเป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยามากมาย ดังนั้นอย่าลืมหาซื้อมะนาวหรือปลูกเองติดบ้านไว้ใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพและความงามนอกเหนือจากไว้ปรุงรสอาหารนะคะ.



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.familynetwork.or.th
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.webmaster.or.th
http://www.thailandshowtime.com/2009

หมอเตือนข้อเข่าเสื่อมพบอายุน้อยลง นักฟุตบอล -คนอ้วนเสี่ยงสูง (แนะวิธีป้องกัน-บำบัดด้วยตัวเอง)




วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 23:54:47 น.  มติชนออนไลน์

หมอเตือนข้อเข่าเสื่อมพบอายุน้อยลง นักฟุตบอล -คนอ้วนเสี่ยงสูง (แนะวิธีป้องกัน-บำบัดด้วยตัวเอง)

หมอเตือนโรคข้อกระดูกเสื่อม พบในคนอายุน้อยลงจากเดิม 60ปีขึ้นไป เหลือเพียง 45-50 ปี จากภาวะอ้วนทำให้ข้อเข่าแบกรับน้ำหนักเกิน เล่นกีฬาหักโหมเกินไป โดยเฉพาะฟุตบอล ให้หลีกเลี่ยงการคุกเข่า-ขัดสมาธิ-นั่งยองๆ

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่บริเวณโซนอีเดนชั้น 1  ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มูลนิธิทศวรรษโรคกระดูกและข้อ(ประเทศไทย) ร่วมกับบริษัท มิลลิเมด จำกัด จัดกิจกรรม "Joint Free จารบีข้อเข่า" ขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีความเข้าใจถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค รวมทั้งแนวทางการป้องกันและรักษาโรคข้อกระดูกเสื่อม โดยมี รศ.พญ.วิไล คุปต์นิรัตศัยกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรคข้อเสื่อม เป็นโรคที่กระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเกิดความผิดปกติ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อทั้งทางด้านรูปร่าง โครงสร้าง และทางเคมี โดยปกติกระดูกอ่อนจะมีความยืดหยุ่น ทำหน้าที่ลดแรงที่กระทำต่อข้อกระดูกและทำให้ข้อเคลื่อนไหวด้วยความราบรื่น เมื่อกระดูกอ่อนเสื่อมกระดูกแท้จะเสียดสีกันทำให้เกิดความเจ็บปวด และเกิดเสียงดัง จนทำให้สูญเสียหน้าที่ในการเคลื่อนไหว รับน้ำหนัก และกระจายแรง ซึ่งภาวะข้อกระดูกเสื่อมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น


รศ.พญ.วิไล  กล่าวว่า  สำหรับสถิติของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมพบประมาณ 1 ใน 3 หรือคิดเป็นร้อยละ 34.5-45.6 ของประชากรทั้งประเทศ โดยส่วนใหญ่จะพบในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป แต่ปัจุจบันพบเร็วขึ้นอายุประมาณ 45-50 ปี เนื่องจากมีปัจจัยส่งเสริม เช่น ภาวะอ้วน ทำให้ข้อเข่าแบกรับน้ำหนักเกิน หรือการนั่งยองๆ นั่งพับเพียบ รวมทั้งกรณีประสบอุบัติเหตุ หรือการเล่นกีฬาหักโหมเกินไป  อย่างการเล่นฟุตบอล เป็นต้น นอกจากปัจจัยด้านอายุ พันธุกรรม และปัจจัยส่งเสริมดังกล่าวแล้ว ยังพบว่า การเปลี่ยนแปลงในกระดูกอ่อนจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การติดเชื้อในข้อ หรือโรคเก๋า ก็มีส่วนทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อให้เสื่อมเร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบั้นยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ แต่สามารถลดอาการปวดได้ เช่น การทำกายภาพบำบัด การบริหารกล้ามเนื้อเข่า การใช้ยา  และการผ่าตัด 

   
รศ.พญ.วิไล กล่าวอีกว่า การใช้ยาในปัจจุบันก็สะดวกมากขึ้น โดยมีผงชงละลายน้ำกลูโคซามีน ซัลเฟต สำหรับดื่มวันละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยชะลอการสึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ และช่วยบรรเทาอาการปวดของโรคข้อเสื่อม แต่ต้องร่วมกับการบริหารกล้ามเนื้อเข่า หรือกายภาพบำบัด อย่างไรก็ตาม แนวทางสำคัญควรป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคให้ช้าที่สุด โดยควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป หลีกเลี่ยงการคุกเข่า ขัดสมาธิ หรือนั่งยองๆ รวมทั้งการขึ้นลงบันไดบ่อยๆ  โดยไม่จำเป็น และควรบริหารกล้ามเนื้อเข่าให้แข็งแรง เพราะจะช่วยให้การใช้งานข้อเข่าดียิ่งขึ้น โดยเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน หรือการออกกำลังกายในน้ำ เป็นต้น


"ทางที่ดีที่สุดต้องรู้จักดูแลตัวเอง อย่าใช้งานพวกข้อเข่ามากจนเกินไป เพราะจะทำให้เสื่อมเร็วขึ้น ที่สำคัญหากป่วยด้วยโรคข้อเข่าเสื่อม จะมีอาการตั้งแต่ข้อฝืด ไปจนกระทั่งปวดบริเวณข้อ จนไม่สามารถเดิน หรือเคลื่อนไหวไปไหนได้" หัวหน้าภาควิชาเซชศาสตร์ฟื้นฟู กล่าว

 

===========================

 

อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่พบในผู้ป่วยสูงอายุ แต่ผู้ป่วยที่มีโรคข้อเรื้อรังเช่นโรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ หรือผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุที่ข้อเข่า ก็อาจจะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมในขณะที่อายุยังไม่มาก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นข้อเสื่อมได้มากกว่าผู้ชายเนื่องจากความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย


อาการที่สำคัญได้แก่
- อาการปวดเข่า เป็นอาการที่สำคัญเริ่มแรกจะปวดเมื่อยตึงทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเข่าหรือบริเวณน่อง เมื่อเป็นมากขึ้นจะปวดบริเวณเข่าเมื่อมีการเคลื่อนไหว ลุกนั่งหรือเดินขึ้นบันไดไม่คล่องเหมือนเดิม
- มีเสียงในข้อ เมื่อเคลื่อนไหวผู้ป่วยจะรู้สึกมีเสียงในข้อและปวดเข่า
- อาการบวม ถ้าข้อมีการอักเสบก็จะเกิดข้อบวม
- ข้อเข่าโก่งงอ อาจจะโก่งด้านนอกหรือโก่งด้านใน ทำให้ขาสั้นลงเดินลำบากและมีอาการปวดเวลาเดิน
- ข้อเข่ายึดติด ผู้ป่วยจะไม่สามารถเหยียดหรืองอขาได้สุดเหมือนเดิมเนื่องจากมีการยึดติดภายในข้อ


ปัจจัยที่ทำให้เกิดข้อเสื่อม
- อายุ อายุมากมีโอกาสเป็นมากเนื่องจากอายุการใช้งานมาก
- เพศหญิงจะเป็นโรคเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า
- น้ำหนัก ยิ่งน้ำหนักตัวมากข้อเข่าจะเสื่อมเร็ว
- การใช้ข้อเข่า ผู้ที่นั่งยองๆ นั่งขัดขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบนานๆจะพบข้อเข่าเสื่อมเร็ว
- การได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า ผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุที่ข้อเข่าไม่ว่าจะกระดูกข้อเข่าแตกหรือเอ็นฉีก จะเกิดข้อเข่าเสื่อได้
- ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและได้รับแคลเซียมในปริมาณที่พอเพียงจะชะลอการเสื่อมของเข่า


แพทย์จะวินิจฉัยข้อเข่าเสื่อมได้อย่างไร
หากท่านมีอาการปวดเข่าเรื้องรังเมื่อไปพบแพทย์หากสงสัยว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมแพทย์ก็จะมีขั้น ตอนการวินิจฉัยดังนี้
1) ซักประวัติและตรวจร่างกายโดยเน้นทีการตรวจข้อเข่าซึ่งอาจจะพบลักษณะที่สำคัญคือ ข้อบวม หรือขนาดข้อใหญ่และมีการงอของข้อเข่า
2) การถ่ายภาพรังสี ก็จะพบว่าช่องว่างระหว่างกระดูกเข่าแคบลงซึ่งหมายถึงกระดูกอ่อนมีการสึกหรอ หากสึกมากก็ไม่พบช่องว่างดังกล่าว
3) การเจาะเลือด การเจาะเลือดเพื่อวินิจฉัยแยกโรคที่อาจจะเป็นสาเหตุของโรคปวดเข่าเรื้อรังเช่น โรคเกาต์ หรือโรครูมาตอยด์
4) การตรวจน้ำหล่อเลี้ยงเข่า ในกรณีที่เข่าบวมแพทย์จะเยาะเอาน้ำหล่อเลี้ยงเข่าออกมาตรวจด้วยกล้องจุลทัศน์
5) การตรวจความหนาแน่นของกระดูก เป็นการตรวจหาโรคกระดูกพรุน


การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคของผู้สูงอายุ หากเป็นแล้วจะไม่สามารถรักษาให้เหมือนเดิม ดังนั้นการรักษาข้อเข่าเสื่อมจึงมีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด ป้องกันข้อติด ป้องกันข้อโกงงอ เป็นต้น การรักษาแบ่งออกได้เป็น 3 วิธี
การรักษาทั่วไป
การรักษาโดยการใช้ยา
การรักษาโดยการผ่าตัด


การรักษาทั่วไป
- ปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อมเช่น การยกของหนัก การนั่งพับเพียบ นั่งยองๆ การนั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ การใช้ส้วมชนิดนั่งยองๆ การนอนกับพื้นเป็นประจำเพราะขณะลุกขึ้นหรือลงนอนจะเกิดอันตรายกับเข่า หลีกเลี่ยงการขึ้นบันไดบ่อยๆ ควรจะนั่งบนเก้าอี้ไม่ควรนั่งบนพื้น
- การลดน้ำหนักซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่จะลดอาการปวดและช่วยชะลอข้อเข่าเสื่อมได้
- การออกกำลังกายและการบริหารกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการบริหารกล้ามเนื้อต้นขาจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงจะช่วยลดแรงที่กระทำต่อเข่า วิธีการบริหารสามารถทำได้โดยการยืน มือเกาะกับเก้าอี้ ย่อตัวให้เข่างอเล็กน้อย นับ 3-6 แล้วยืนตรงทำช้ำ 3-6 ครั้ง หรืออาจจะทำได้โดยนั่งบนเก้าอี้เหยียดขาเกร็งไว้ 10 วินาที่แล้วจึงงอเข่า ทำซ้ำหลายครั้ง นอกจากนั้นการเดินเร็วหรือการไหว้น้ำจะช่วยกระตุ้นให้กระดูกแข็งแรง
- เวลาเดินหรือวิ่งให้ใส่รองเท้าสำหรับเดินหรือวิ่งซึ่งจะมีพื้นกันกระแทก
- ให้ใช้เข่าเหมือนปกติ หากมีอาการปวดให้พักเข่า
- ใช้ไม้เท้าค้ำเวลาจะลูกขึ้น อย่าหยุดใช้งาน
- เวลาขึ้นบันไดให้ก้าวข้างดีขึ้นก่อน เวลาลงให้ก้าวข้างปวดลงก่อน มือจับราวบันได
- ประคบอุ่นเวลาปวดเข่า
- การทำกายภาพบำบัด แพทย์จะแนะนำวิธีการบริหารกล้ามเนื้อและข้อเข่าเพื่อลดอาการปวด ป้องกันข้อติด ป้องกันข้อผิดรูปรวมทั้งทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ที่สำคัญต้องปฏิบัติเป็นประจำจึงจะได้ผลดี

 

การบริหารกล้ามเนื้อ

การพักกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่ดีสำหรับการรักษาข้อเข่าเสื่อม แต่ต้องมีการออกกำลังหรือบริหารข้อเข่าอย่างเหมาะสม การออกกำลังจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันข้อติด การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น การบริหารมีให้เลือกหลายท่า การบริหารที่สามารถทำได้บ่อยๆวิธีง่ายๆสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

  1. นั่งบนเก้าอี้ให้นั่งห้อยเท้าไว้ ผูกน้ำหนักที่ข้อเท้าประมาณ 2-5 กิโลกรัมไว้ที่ขาทั้งสองข้าง ให้ทำวันละ 1-3 ครั้งครั้งละ 5-15 นาที
  1. นั่งบนเก้าอี้ พักเท้าข้างหนึ่งไว้บนพื้น เท้าอีกข้างหนึ่งวางบนเก้าอี้ ให้กดเท้าทีวางอยู่บนเก้าอี้ลงหาพื้นนาน 5-10 วินาที่แล้วพัก 1 นาที ทำซ้ำข้างละ10 ครั้ง ให้ทำวันละ 3 เวลา
  2. ให้นั่งบนเก้าอี้ หลังพิงพนัก ยกเท้าขึ้นมาและเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาโดยการกระดกข้อเท้าให้นับถึง5- 10วินาที ทำข้างละ 10 ครั้ง ทำวันละ 3 เวลา ถ้าหากแข็งแรงขึ้นอาจจะถ่วงน้ำหนักที่ปลายเท้า

  3. ให้นอนหงาย ยกเท้าข้างหนึ่งงอตั้งไว้ อีกข้างหนึ่งยกสูงขึ้นจากพื้นเกร็ง 1 ฟุต นับ 1-10  สลับข้างทำ ให้ทำซ้ำหลายๆครั้ง หรืออาจะเคลื่อนเท้าเป็นรูปตัวที ให้ทำวันละ 3 เวลา

  1. นอนหงาย หรือนั่งหาหมอนรองบริเวณข้อเท้าข้างหนึ่ง กดเข่าของเท้าที่มีหมอนหนุนให้ติดพื้นให้นับ นาน 5-10 วินาทีพัก1 นาทีทำข้างละ 10 ครั้ง วันละ 3 เวลา ทำสลับข้างทำบ่อยๆ

  1. นั่งบนเก้าอี้ นำผ้าวางไว้ใต้เท้าข้างหนึ่ง แล้วดึงขึ้นมาให้สูงจากพื้น 4-5 นิ้วดึงไว้ 5-10 วินาที พักหนึ่งนาที่ ทำซ้ำข้างละ 10 ครั้ง ทำวันละ 3 ครั้ง
  2. ให้ยืนหลังพิงกำแพง ให้เคลื่อนตัวลงจนเข่างอ 30 องศา แล้วให้ยืนขึ้นทำ 5-10ครั้ง วันละ 3 เวลา
 

การรักษาโดยการใช้ยา

หากการรักษาทั่วไปไม่สามารถลดอาการปวดจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา ซึ่งมียาหลายชนิดให้เลือกดังนี้

  1. ยาแก้ปวด เป็นยาลดอาการปวดแต่ไม่ได้แก้อาการอักเสบ พอหมดฤทธิ์ยาก็ปวดอีก เช่นยา paracetamol
  2. ยาแก้อักเสบ steroid เมื่อสมัยก่อนนิยมใช้กันมากทั้งชนิดรับประทานและชนิดฉีดเข้าข้อ แต่ปัจจุบันความนิยมลดลงเนื่องจากผลข้างเคียง โดยเฉพาะยาที่ฉีดเข้าข้อจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
  3. ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่ steroid ยากลุ่มนี้นิยมใช้กันมากขึ้น แต่ต้องระวังการเกิดโรคแทรกซ้อน
  4. ยาบำรุงกระดุกอ่อน ได้ผลช้าและใช้ค่าใช้จ่ายสูงจึงไม่เป็นที่นิยม
  5. การใช้น้ำหล่อเลี้ยงข้อชนิดเทียม เนื่องจากโรคข้อเสื่อมจะมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อน้อยทำให้มีการเสียดสีของข้อ จึงได้มีการฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมเข้าไปในเข่า 3-5 ครั้งแต่ละครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ซึ่งจะทำให้ลดการเสียดสีของข้อ ลดอาการปวด แต่การฉีดนี้ใช้ได้เฉพาะข้อที่เสื่อมไม่มาก
การผ่าตัด

ปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากได้ผลดีและโรคแทรกซ้อนไม่มาก วิธีการผ่าตัดมีได้หลายวิธี

ดังนี้

  1. การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง (arthroscope) เหมาะสำหรับข้อที่เสื่อมไม่มาก แพทย์จะเข้าไปเอาสิ่งสกปรกที่เกิดจากการสึกออกมา
  2. การผ่าตัดแก้ความโกงงอของเข่า วิธีนี้ต้องตัดกระดูกบางส่วนออกทำให้ใช้เวลานานกว่าจะใช้งานได้ ปัจจุบันนิยมลดลง
  3. การผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียม คือการใส่ข้อเข่าเทียมเข้าแทนข้อที่เสื่อม ซึ่งผลการผ่าตัดทำให้หายปวด ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ดีขึ้น

 

 

 

 

 

ข้อมูลจาก : สำนักการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลขอนแก่น
                                                                      http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1248771316&grpid=05&catid=04

--
ขอเชิญอ่าน  blog.Thank you so much.
http://www.blognone.com
http://www.thaihof.org
http://www.parent-youth.net
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://dbd-52.hi5.com
http://www.gpssociety.com/_Th

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

[ThaiEMP] Policies on Chronic Disease: lessons learned from AIDS activism



Please visit blog.Thanks for visiting!
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://www.parent-youth.net
http://www.thaihof.org
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://elibrary.nfe.go..th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.industry4u.com
http://logistics.dpim.go.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com

--- On Thu, 7/30/09, grsfc@mahidol.ac.th <grsfc@mahidol.ac.th> wrote:

From: grsfc@mahidol.ac.th <grsfc@mahidol.ac.th>
Subject: [ThaiEMP] Re: Policies on Chronic Disease: lessons learned from AIDS activism
To: thaiemp@googlegroups.com, "Udom Likhitwonnawut" <apochana@ksc.th.com>
Cc: grsfc@mahidol.ac.th
Date: Thursday, July 30, 2009, 12:29 PM


July 31, 2009
Dear Aj Udom,
Many thanks for the explanation, especially the "driving force" behind the AIDS program.  Even people may speculate some issues you raise, however, your opinion make the point much clearer to me.
Shall I make a simple conclusion as follows: If thalassemia patients want to get the same support like AIDS patients, they should make noise and public campaign the same as what had happened to the AIDS patients before?  That is quite easy.  I believe with a little campaign and input there will be thousands of thalassemia patients rally for more support.  But I don't think that is the right way!!!  What will happen IF patients with many kinds of acute or chronic diseases campaign and force the government to provide more support for them.  It will be a chaos.
What I did post in the web were questions to all administrators/decision makers about their justification in the allocation of budget.  I trust and believe they should have better decision base on information NOT to base on emotion or political forces only.  Some health economist told me that part of the justification is base on DALYs information.  I wonder when I look at the DALYs data from Thailand many chronic diseases including thalassemia were not on the list while drowning and many kinds of cancers were on the high rank.  To me it reflects that the diagnosis, especially underlying diseases, is not accurate enough.  Then how can we rely on unreliable data for the justification and allocation of budget?

Suthat Fucharoen


Quoting Udom Likhitwonnawut <apochana@ksc.th.com>:

> Referring to e-mail from Ajarn Suthat about the
> special program and 
> budget for AIDS patients, I'd like to answer his
> question as follows. 
> But his question should be quoted in full to prevent
> misunderstanding 
> and/or being quoted out of context.
>
> Ajarn Suthat wrote, "Thailand has a special program
> and budget for 
> AIDS patients, but not much to some chronic disease
> like thalassemia.   
> WHY? Yes, I understand that HIV is contagious
> disease but once they 
> get infect only few of them can maintain normal
> productive life.  For 
> thalassemia, if they have received proper care they
> can have normal 
> productive life and almost normal life expectancy.
> But when you look 
> at the support for thalassemia program it can not be
> compare with 
> AIDS.  Please kindly understand here that I don't
> mean to stop program 
> for AIDS patients BUT I am asking for better
> justification and 
> reallocate budget for other diseases as well as what
> we are doing for 
> AIDS patients."
>
> In my opinion the success of AIDS programs in
> Thailand and other 
> countries can be traced back to the early days of
> gays and lesbians 
> right activism. In the beginning, most of the
> reported case in USA 
> were gay men and, thus, AIDS was wrongly called
> gay-related immune 
> deficiency (GRID). And in most people mind AIDS or
> GRID became 
> associated with immoral behaviors. So another social
> fuel was added to 
> the fire. Even before AIDS, gay and lesbian movement
> had became an 
> important political force due to their activism in
> the earlier sexual 
> revolution in the west. They had learned their
> lessons well and 
> applied them to the new challenge - AIDS. Because of
> the US government 
> policy of denial at that time, gay activists took
> their concerns to 
> the streets and city halls across the country. Their
> actions forced 
> Reagan to utter the four letter words, AIDS, in
> public for the first 
> time in 1987 after five years of denial and silence,
> and rapidly 
> increased number of reported cases and deaths. The
> activism of gay and 
> lesbian and AIDS patients also forced the National
> Institutes of 
> Health (NIH) to speed up the process of approving
> drugs for AIDS 
> treatment and to include representatives of people
> living with HIV/
> AIDS in NIH's funded research.
>
> Another key player in AIDS activism is human right
> activists. Because 
> AIDS is being associated with certain populations
> and behaviors deemed 
> immoral for the mainstream society, HIV positive
> people became 
> stigmatized and marginalized and their basic human
> rights were denied 
> or violated. And this required the involvement of
> human right activists.
>
> The two combined forces have managed to create a
> broad-based 
> constituencies that politicians and policy makers
> cannot ignored. The 
> lessons and movement also spread to other countries.
> And of course, 
> having the rights to vote or the ability to mobilize
> the community 
> isn't enough. The activists and affected people also
> learn to equip 
> themselves with knowledge and skills that can
> empower them for the 
> tasks and expectations.
>
> One more important factor is the driving forces of
> HIV can be linked 
> to various socio-economic forces such as poverty,
> gender inequity and 
> gender-based violence, and political or economic
> instability 
> (resulting in migration). These drivers are
> intertwined and caused HIV/
> AIDS to transcend the boundary of medical and public
> health. HIV/AIDS 
> is now belonged to social and development as well as
> political (and 
> security) domains. And one important condition of
> international aid 
> program is contributions of the host country.
> Therefore the host 
> government has to come up with its own program and
> budget to match or 
> partially match the donated money. No money no
> international assistance.
>
> So if lessons from AIDS activism can be applied to
> other chronic 
> diseases, it will force policy makers to reconsider
> the current 
> policies. This shouldn't take as long as AIDS to
> produce comparable 
> results considering the existing resources and
> aspiration that can be 
> drawn from AIDS.
>
> Best regards,
> Udom
> >
>


-------------------------------------------------
This mail sent through MU-Webmail: webmail.mahidol.ac.th

--~--~---------~--~----~------------~-------~--~----~
* ท่านได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่มสานเสวนา "ผู้สร้างสรรค์ระบบสุขภาพไทยและผู้ปฏิบัติการฉุกเฉิน" หากประสงค์ปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกการรับข้อความกรุณาเข้าไปที่ website: http://groups.google.co.th/group/thaiemp/subscribe

กรณีต้องการอ่านการสานเสวนาย้อนหลัง โปรดไปที่กลุ่มสานเสวนานี้โดยคลิกที่
http://groups.google.co.th/group/thaiemp?hl=th หรือ http://groups.google.co.th/group/thaiemp/topics

กรณีต้องการเสนอหัวเรื่องใหม่ กรุณาส่งอีเมลไปที่ thaiemp@googlegroups.com

กรณีที่ท่านเห็นสมควรเรียนเชิญบุคคลเข้าร่วมกลุ่มสานเสวนานี้ กรุณาเรียนเชิญให้เข้าไปที่ http://groups.google.co.th/group/thaiemp แล้วเลือก "เข้าร่วมกลุ่มนี้" ในเมนูด้านขวามือครับ
-~----------~----~----~----~------~----~------~--~---


เฮ!ผลิตยารักษาอวัยวะอักเสบสำเร็จ บริษัทเจ้าของสูตรรับทรัพย์อื้อ

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6818 ข่าวสดรายวัน


เฮ!ผลิตยารักษาอวัยวะอักเสบสำเร็จ บริษัทเจ้าของสูตรรับทรัพย์อื้อ





บริษัทฮิวแมนจีโนมไซเอินซ์ประกาศว่าการทดลองยารักษาโรคลูปัส "เบนลิสตา (Benlysta)" ในอาสาสมัครจำนวนมากนั้นได้ผลทำให้โรคทุเลาลง จนสร้างความตกตะลึงในวงการอุตสาหกรรมยาและทำให้ราคาหุ้นของบริษัทพุ่งพรวดถึง 228%

จากการทดลองกินเวลานาน 52 อาทิตย์ พบว่า อาสาสมัครในเอเชีย ละตินอเมริกา และยุโรปตะวันออกที่กินยาเบนลิสตามีอาการดีขึ้น 57.6% ซึ่งเป็นสถิติที่มากพอสำหรับการทดลองในโรงพยาบาล หรือ Clinical Trial ส่วนผู้ที่กินยาเบนลิสตาแบบอ่อนๆ ก็มีอาการดีขึ้น 51.7% อย่างไรก็ตาม ยาเบนลิสตาช่วยบรรเทาอาการของผู้เป็นโรคลูปัสในขั้นไม่ร้ายแรงเท่านั้น

ส่วนจุดมุ่งหมายของการทดลองคือต้องการแสดงว่า เบนลิสตาใช้ได้ผลเกินกว่า 4 จาก 10 จุดของการวัดระดับที่เรียกว่า "เซเลนา สลีได" ซึ่งระดับที่มากกว่า 4 หมายถึงเป็นยาที่มีการตอบสนองและใช้ได้ผล ซึ่งการทดลองพบว่าอาสาสมัครมีระดับของการใช้ได้ผลมากกว่า 6 จุด

ยาเบนลิสตาได้รับการออกแบบให้ยับยั้ง BLyS หรือโปรตีนที่เกิดตามธรรมชาติในร่างกายและขัดขวางการทำงานของบี-เซลล์ โดยบี-เซลล์เป็นตัวผลิตภูมิคุ้มกันที่ป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งผู้ป่วยโรคลูปัสเกิดจากบี-เซลล์ถูกกระตุ้นมากเกินไป จนสร้างออโต้แอนติบอดี หรือภูมิคุ้มกันทำร้ายตนเอง

ลูปัสคือโรคที่มีการอักเสบของอวัยวะต่างๆ เนื่องมา จากภูมิคุ้มกันของตัวเองมากเกินปกติ ทำให้เกิดอาการและอาการแสดงเกือบทุกระบบของร่างกาย เช่น ข้อต่อ หัวใจ ปอด สมอง เลือดและผิวหนัง โรคจะกำเริบและทุเลา สลับกัน ไม่มีทางรักษา มีผู้เป็นโรคนี้ทั่วโลกอย่างน้อย 6.5 ล้านคน และคาดว่ายาเบนลิสตาจะวางตลาดได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า

หน้า 29
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNVE13TURjMU1nPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB6TUE9PQ==

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.

 
 
 
 
 
 




แบ่งปันรูปถ่ายกันอย่างง่ายดายด้วย Windows Live™ Photos ลากแล้วปล่อย

มาทำหน้ากากผ้ากันเถอะ

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6818 ข่าวสดรายวัน


มาทำหน้ากากผ้ากันเถอะ


สดจากจิตวิทยา

นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต



การทำหน้ากากอนามัยใช้เองเป็นอีกหนทางหนึ่งที่เราสามารถทำได้ เพื่อป้องกันตนเองรวมถึงคนที่เรารัก การทำ หน้ากากอนามัยสามารถทำได้โดย

- นำผ้าฝ้าย ผ้ายืด หรือผ้าสาลู มาตัดให้มีขนาด 6 นิ้วครึ่ง x 7 นิ้วครึ่ง 2 ชิ้น นำมาพับครึ่งตามความยาวของผ้าแล้วจับจีบ 1 นิ้วตรงกลางผ้า แล้วใช้ด้ายเนาไว้ ทำเช่นเดียวกันทั้ง 2 ชิ้น

- นำผ้าที่ได้มาวางหันด้านที่ทบกันขึ้นแล้วนำยางยืดมาวางตรงมุมผ้าทั้งบนและล่างด้านกว้างด้านละ 1 เส้น ใช้ด้ายเนาไว้

- นำผ้าอีกชิ้นที่พับไว้มาซ้อนผืนแรกที่ตรึงยางไว้ แล้วเย็บจักรหรือด้นถอยหลังรอบผ้าให้ห่างจากริมผ้าด้านละครึ่งเซนติ เมตร เว้นช่องว่างไว้กลับตะเข็บ 1 นิ้ว

- ขลิบมุมผ้าทั้ง 4 มุม ใกล้รอยเย็บเพื่อเวลากลับตะเข็บจะได้สวยงาม จากนั้นกลับตะเข็บแล้วสอยช่องว่างที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย

เพียงเท่านี้เราก็สามารถทำหน้ากากอนามัยไว้ใช้ป้องกันตนเองและคนที่เรารักโดยไม่ต้องกลัวสินค้าขาดตลาด และหน้ากากแบบผ้ายังสามารถซักและนำกลับมาใช้ใหม่จึงไม่เป็นการเพิ่มขยะ เรียกว่าทั้งปลอดภัยจากหวัดและรักษาสิ่งแวดล้อม

หน้า 2


http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNVE13TURjMU1nPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB6TUE9PQ==

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
 
 
 
 
 
 




ด้วย Windows Live คุณสามารถจัดการ แก้ไข และ แบ่งปันภาพถ่ายของคุณ

สมุนไพรฟ้าทลายโจร มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการหวัด และเสริมภูมิต้านทาน

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6818 ข่าวสดรายวัน


ฟ้าทลายโจร


อาทิตย์ละต้น

แมนวดี




ช่วงนี้ใครๆ ก็หันมาสนใจสมุนไพรอย่างฟ้าทลายโจร เพราะป้องกันไข้หวัดได้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Andrographis paniculata (Burm. F) Wall. ex Nees อยู่ในวงศ์ ACANTHACEAE ชื่ออื่นๆ ที่รู้จักมีหลายชื่อดังนี้ ฟ้าทลาย น้ำลายพังพอน หญ้ากันงู สามสิบดี คีปังฮี ซีปังกี ชวนซินเหลียน ชวง ซิมไน้ ยากันงู ฟ้าลาง เมฆทลาย ฟ้าสะท้าน สามสิบดี ฉีกะฉาว

เป็นไม้ล้มลุก ขนาดลำต้นสูงประมาณ 1-2 ศอก ลำต้นสี่เหลี่ยมต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ใบเรียวกว้างประมาณ 1 ซ.ม. ดอกออกเป็นช่อเล็กๆ สีขาว มีรอยประสีม่วง แดง กลีบดอกด้านบนมี 3 หยัก ด้านล่างมี 2 หยัก ผลเป็นฝักคล้ายฝักต้อยติ่ง เมล็ดสีน้ำ ตาลอ่อน ต้นและใบมีรสขมมาก ส่วนที่ใช้เป็นยาคือ ราก ใบ ทั้งต้น

สมุนไพรฟ้าทลายโจร มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการหวัด และเสริมภูมิต้านทานดีกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะในคนที่เป็นหวัดบ่อยๆ ร้อนในบ่อยๆ เนื่องจากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ภูมิต้านทานอ่อนลง การรับประทานสมุนไพรฟ้าทลายโจรจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่เป็นหวัดง่าย ร้อนในจะหายไป

สมุนไพรฟ้าทลายโจรดีกว่ายาปฏิชีวนะตรงที่ไม่เกิดอาการง่วงนอน ไม่ดื้อยา และยังป้องกันตับจากสารพิษหลายชนิด เช่น จากยาแก้ไข้พาราเซตามอล หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม

หน้า 24
 
 
 
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdORE13TURjMU1nPT0=&sectionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBd09TMHdOeTB6TUE9PQ==

ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.

 
 
 
 
 
 




ด้วย Windows Live คุณสามารถจัดการ แก้ไข และ แบ่งปันภาพถ่ายของคุณ

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แพทย์แผนจีนแนะวิธีป้องกันไวรัส 2009 ด้วยยาดม ยาหม่องน้ำ etc.


 

 

 



 
 


 

To: "sunee piyavorapongs" <snp_sunee@hotmail.com>
From: "Phisit Integroup Co.,Ltd." <ps_group@truemail.co.th>
Date: 07/24/2009 03:21PM
Subject:  แพทย์แผนจีนแนะวิธีป้องกันไวรัส 2009 ด้วยยาดม ยาหม่องน้ำ etc.

  

รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

เบื้องต้น บังเอิญมีหมอที่มีความรู้ในด้านการแพทย์แผนจีน และ เภสัชกรท่านหนึ่ง ได้แนะนำมาเรื่องการป้องกันไวรัส 2009 ง่ายๆ ให้กับผมมานะครับ


พอดีกำลังนั่งดูรายการสรยุทธช่อง
3 ช่วงเย็น ที่สัมภาษณ์ เภสัชกรจากโรงพยาบาลอภัยภูเบศ เรื่อง อาหารต้านไวรัส ซึ่งได้แก่พวก ขิงแก่ กระเทียม พวกนี้ จึงนึกถึงเรื่องนี้ออก

ให้ใช้นำมันเหลือง หรือพวกยาดมน้ำ วาเป้กซ์ ยาหม่อง ยาหม่องน้ำ หรือ พวก เซ็งชิมอิ้ว อะไรพวกนี้


ซึ่งมีคุณสมบัติ เผ้ดร้อนเย็น


ไวรัสที่เป็นไข้หวัดตอนนี้
เป็นไวรัสที่เข้าทางจมูกลงปอดเป้นส่วนใหญ่ เป็นสาเหตุของโรคหวัด และ เชื้อขณะนี้ เป็นเชื้อที่อยู่แพร่หลายตามอากาศ

ซึ่ง อากาศในขณะนี้เป็นช่วงเย็น ร้อนชื้น เหมาะกับการแพร่กระจายของไวรัส


ซึ่งไวรัสจะตายเมื่อเจออากาศร้อนๆ ภายในเวลา ไม่กี่นาที


ดังนั้น
ถ้าเราใช้หน้ากากป้องกันโรคแล้วเราทาพวกยาดมน้ำที่หน้ากากบริเวณจมูก จะช่วยทำให้ไวรัสที่มาเกาะ อ่อแอลง และถ้าเข้าทางร่างกายก็อ่อนแอมาก และ เพียงพอที่ร่างกายจะสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาได้

หรือ
ถ้าเราไม่ใส่หน้ากาก เราก็ใช้ยาดมพวกนี้ ทาที่รูจมูก บ่อยๆ เพื่อให้ไวรัสที่หลุดเข้ามาอ่อนแอลง

ถ้าเราทำแบบนี้ สัก
2-3 อาทิตย์ ไวรัส ก็เริ่มหมดไปแล้วครับ เพราะไม่มีพาหะนำโรคอีกต่อไป และ เมื่อวัคซีนทำเสร็จเดือน ตุลาคม ก็เพียงพอที่เราจะช่วยควบคุมโรคร้ายนี้ไม่ให้ กระจายไปมากกว่านี้




ช่วยกัน ฟอร์เวิดเมลต่อไปนะครับ ช่วยๆกันอีกวิธีหนึ่งทางเลือก
ดีกว่าใส่หน้ากากอย่างเดียว