วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

“แบทแมนมาแล้ว...แบทแมนมาแล้ว!!” เสียงเชียร์และเสียงฮาของชาวแฟลตดังกระหึ่ม เขาเป็นใคร มาจากไหน ไม่มีใครรู้

บุกถ้ำค้างคาว...แบทแมนสยบรถก๊าซ

รายงานโดย :อาทิตย์ เคนมี ผู้สื่อข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์:
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552
"แบทแมนมาแล้ว...แบทแมนมาแล้ว!!" เสียงเชียร์และเสียงฮาของชาวแฟลตดังกระหึ่ม เขาเป็นใคร มาจากไหน ไม่มีใครรู้

แต่ ณ เวลานี้ผู้คนต่างพากันโจษขานถึงวีรกรรมของเขา จากเหตุการณ์กู้รถก๊าซระทึกหน้าชุมชนชาวแฟลตดินแดง

ช่วงไม่ถึงอึดใจ ในนาทีที่รถก๊าซกำลังเคลื่อนย้ายออกจากจุดเกิดเหตุ... "ไอ้มนุษย์ค้างคาว" ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แต่วีรกรรมที่เป็นตำนานเล่าขานในชุมชนชาวแฟลต กับปริศนาทิ้งท้ายว่าชายนิรนามผู้นั้นคือใคร

หลังวิกฤตผ่านพ้นไป ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างยกย่องให้เขาเป็น ฮีโร่พันธุ์ใหม่ ขวัญใจชาวแฟลต บ้างก็เรียกขานเป็นวีรบุรุษกู้รถก๊าซ ขณะที่อีกหลายคนมองด้วยความขบขัน ไม่ต่างกับ "ซูเปอร์ฮีรั่ว"

มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักโฉมหน้าและตัวตนที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากไอ้มนุษย์ค้างคาว

คำถามเดียวที่ทุกคนอยากรู้ก็คือ หมอนี่เป็นใคร!?
ถอดหน้ากากมนุษย์ค้างคาว

13 เม.ย. ชาวแฟลตดินแดงต้องตกอยู่ในอาการขวัญผวา เมื่อผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนรถก๊าซจอดขวางเส้นทางจราจรหน้าแฟลตดินแดง พร้อมเปิดวาล์วก๊าซข่มขู่เจ้าหน้าที่ โดยมีชีวิตชาวบ้านเป็นเดิมพัน
กลิ่นก๊าซตลบอบอวลทั่วบริเวณ บรรยากาศเริ่มเขม็งเกลียวมากขึ้น เกิดการยื้อยุดฉุดกระชากและเกิดศึกปะทะระหว่างชาวบ้านกับผู้ชุมนุมหลายระลอก เวลาล่วงเลยจากเช้าจรดเย็น ยังไม่มีใครสามารถยุติเหตุการณ์ได้
กระทั่งเมื่อรถบรรทุกน้ำเคลื่อนเข้าไป ปรากฏเงาร่างสีดำเงาหนึ่งกระโจนขึ้นเกาะรถบรรทุกน้ำ มือข้างหนึ่งถือกล้องถ่ายวิดีโอ อีกมือหนึ่งชูกำปั้นทำท่าเหมือนจะบิน
ท่ามกลางความมึนงงของทุกสายตา ในเสี้ยวนาทีที่ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในอาการตะลึงงัน ทันใดนั้นรถก๊าซเจ้าปัญหาก็ถูกสตาร์ตเครื่องและค่อยๆ ถอยออกจากจุดเกิดเหตุ กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มแตกฮือ เปิดช่องให้ทหารเข้าสลายการชุมนุมโดยสะดวก จนกระทั่งคลี่คลายสถานการณ์ได้ในที่สุด
แกะรอยซูเปอร์ฮีรั่ว
หลังเหตุการณ์สงบ ผู้สันทัดกรณีตั้งวงวิเคราะห์กันอย่างคร่ำเคร่งว่า ผลการสลายผู้ชุมนุมที่สำเร็จลงได้อย่างงดงามนั้น คาดว่าเป็นแผนการอันแยบคายของกองทัพในการเบี่ยงเบนความสนใจ โดยบุคคลที่อยู่ใต้หน้ากากแบทแมนต้องสังกัดหน่วยปจว. (ปฏิบัติการจิตวิทยา) ของทหาร ไม่หน่วยใดก็หน่วยหนึ่ง หรือไม่ก็อาจเป็นเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปลอมตัวมา เช่น กรณีก่อนหน้านี้ที่เคยสวมชุดสไปเดอร์แมนเข้าช่วยเหลือหนูน้อยออทิสติกจากระเบียงอาคารชั้น 4 จนเป็นข่าวฮือฮามาแล้วทั่วโลก
ทว่า ผลการวิเคราะห์กลับผิดคาด เพราะประเมินศักยภาพของกองทัพสูงเกินไป!!
จากการลงพื้นที่แกะรอยซูเปอร์ฮีโร่กู้รถก๊าซ ชาวแฟลตส่วนใหญ่ต่างให้การเป็นเสียงเดียวกันว่าเคยเห็นไอ้มนุษย์ค้างคาว ยืนยันว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่ใช่สายลับมือฉมังอย่างที่ใครคิด พร้อมชี้เบาะแสไปที่แฟลต 1 ซึ่งเป็นที่พำนักของเขา
ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งซึ่งตั้งวงเล่นโดมิโนอยู่ใต้ถุนแฟลต ให้ข้อมูลเพิ่มว่า แบทแมนเมืองไทยรายนี้มีชื่อเล่นที่แสนน่ารักว่า "แตงโม" ส่วนข้อมูลเบื้องลึกยังไม่ทราบแน่ชัด
วาสนา พุทธวันประทีป อาชีพแม่บ้าน ระบุว่า แตงโมเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ที่สำคัญมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่ได้บ้า แต่อาจจะเพี้ยนบ้างในบางอารมณ์
"ตอนแรกคิดว่าเขาเป็นคนไม่เต็มเต็ง แต่ที่จริงเขาไม่ได้บ้านะ ยังมีสติดีอยู่ พูดจารู้เรื่อง แต่ไม่แน่ใจว่าทำมาหากินอะไร คิดว่าคงเป็นเมสเซนเจอร์หรืออาจจะเป็นเซลส์แมน" เธอบอก
แม่บ้านคนเดิมเล่าให้ฟังเป็นฉากๆ ว่า ในวันเกิดเหตุเห็นแตงโมสวมเสื้อกล้าม นุ่งโสร่ง ลงมาดูเหตุการณ์อยู่ตลอด โดยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน คอยวิ่งเจรจาไกล่เกลี่ยกับฝ่ายทหาร ชาวบ้าน และผู้ชุมนุมไม่ให้ปะทะกัน รวมถึงวิ่งสำรวจรอยรั่วของวาล์วก๊าซ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดแบทแมนโผล่เข้ามาในฉากสำคัญ
"วันนั้นแบทแมนมาช่วยผ่อนคลายบรรยากาศความตึงเครียดลงได้มาก ทั้งชาวบ้านและพวกเสื้อแดงหัวเราะกันกลิ้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนกล้าหาญที่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้" เธอบอก
ขณะที่ เกริกฤทธิ์ (สงวนนามสกุล) เด็กหนุ่มวัยรุ่นประจำแฟลตอีกราย โพล่งขึ้นมาว่า แบทแมนไม่ใช่วีรบุรุษตัวจริง ส่วนทหารก็ไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ มีแต่กลุ่มวัยรุ่นเท่านั้นที่ทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์ชุมชนชาวแฟลต
"ไอ้แบทแมนมันมาแย่งซีน ที่จริงแล้วกลุ่มวัยรุ่นต่างหากที่มาช่วยไล่กระทืบพวกเสื้อแดงออกไป เพราะพวกนั้นมันปาระเบิดปิงปอง ปาระเบิดขวดใส่ชาวบ้าน ถ้าไม่ได้พวกเราป่านนี้แย่แล้ว" หนุ่มวัยรุ่นเลือดร้อนกล่าวอย่างมีอารมณ์

เมื่อถามว่าแบทแมนเป็นใคร เกริกฤทธิ์ ระบุรูปพรรณสัณฐานว่า "เขาเป็นคนอีสาน ตัวล่ำๆ ดูท่าทางคงเป็นนักวิ่ง"เขาบอก
ขณะที่ อภิชาติ อาศรมวิเศษ ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์แฟลต 1 เล่าถึงกิจวัตรประจำวันของแบทแมนว่า ทุกๆ เช้าจะเห็นเขาออกวิ่งจ๊อกกิ้งตามสวนสาธารณะ กระทั่ง 8 โมงเช้าจึงจะแต่งตัวไปทำงาน กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ เป็นอยู่เช่นนี้เกือบทุกวัน
"เขาเป็นนักวิ่งมาราธอน เคยวิ่งแข่งมาแล้วหลายรายการ แล้วก็ชอบแต่งตัวแปลกๆ ไปเชียร์กีฬา มีทั้งชุดแบทแมน สไปเดอร์แมน ซูเปอร์แมน ชุดบางระจัน จนบางครั้งคนที่นี่คิดว่าบ้า" ช่างซ่อมรถกล่าว
ด้าน เสาวนีย์ วงศ์หาจักร แม่ค้าส้มตำใต้ถุนแฟลต 1 ให้ข้อมูลว่า ช่วงมื้อค่ำแตงโมมักจะมานั่งรับประทานอาหารที่ร้านลาบ แกล้มกับเครื่องดื่มขมๆ เย็นๆ เคล้าเสียงเพลงหมอลำซิ่งจากตู้คาราโอเกะหยอดเหรียญ อันเป็นความบันเทิงยามค่ำคืนของแบทแมน
"ถ้าอยากเห็นแบทแมนตัวจริงละก็ ต้องมาดักรอหลัง 4 ทุ่มถึงจะเจอ" แม่ค้าส้มตำแนะนำ
เผยนาทีระทึกกู้รถก๊าซ
22 นาฬิกามาตามนัด ในที่สุดแบทแมนก็ยอมปรากฏกาย เขาควบรถจักรยานยนต์คู่ชีพมุ่งตรงมายังร้านลาบ สลัดคราบมนุษย์ค้างคาว แต่มาในชุดมนุษย์เงินเดือน ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มและเริ่มวงสนทนา
แตงโม แนะนำตัวอย่างสุภาพด้วยสำเนียงที่บ่งบอกได้ถึงความเป็นลูกข้าวเหนียวขนานแท้
พิจิต เชื้อแก้ว คือ ชื่อจริงของแบทแมนเมืองไทยวัย 35 ปี เป็นชาว จ.อุบลราชธานี โดยกำเนิด มีภรรยาเป็นชาว จ.บุรีรัมย์ และลูกชาย 2 คน
เหตุจลาจลที่เกิดขึ้นในวันนั้นทำให้เขาเป็นที่รู้จักของชาวแฟลตเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อสื่อมวลชนทั้งไทยและเทศพากันรายงานข่าวว่า เขาคือฮีโร่กู้รถก๊าซ โดยที่เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะถลำไปไกลขนาดนั้น
"ผมไม่ได้บ้า แล้วก็ไม่ได้อยากดัง ผมเพียงแต่คิดว่าต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง"แตงโมบอก
ก่อนที่จะล้วงลึกไปถึงแนวคิดทางการเมือง เขาออกตัวก่อนว่า การพูดคุยกันครั้งนี้จะไม่มีเรื่องสีเหลืองสีแดงเข้ามาปะปน เพราะปัญหาการเมืองทุกวันนี้กลายเป็น "สิ่งต้องห้าม" ในการสนทนากับคนแปลกหน้า และจะยิ่งเป็นภัยต่อตัวเขาเอง โดยในชุมชนชาวแฟลตก็มีทั้งสีเหลืองและสีแดงคละเคล้ากัน ฉะนั้นหากไม่จำเป็นก็ไม่ควรแสดงตนออกนอกหน้า
แตงโม ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้เขาเคยศรัทธาต่ออุดมการณ์ทางการเมืองของฝ่ายหนึ่งและเคยเข้าร่วมชุมนุมอยู่หลายหน แต่ ณ วันนี้เขาเริ่มสงสัยในแนวทางของกลุ่มคนดังกล่าว เพราะนับวันก็ยิ่งเลยเถิดจนหยุดไม่อยู่ เขาจึงถอนตัวออกมาและเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
จนกระทั่งเหตุการณ์ลุกลามกลายเป็นจลาจล เวลาตี 3 ของวันที่ 13 เม.ย. เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว เขาสะดุ้งตัวขึ้นจากเตียงนอน มองลอดหน้าต่างเห็นประกายไฟพวยพุ่งขึ้นเหนือท้องฟ้า เดาได้ทันทีว่ามาจากปลายกระบอกปืน เมื่อเสียงปืนสงบลง แตงโมจึงถือโอกาสลงไปด้อมๆ มองๆ ตามประสาไทยมุง โดยถือกล้องวิดีโอคอยบันทึกภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
ต่อมาสถานการณ์เริ่มบานปลาย เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงเปิดวาล์วก๊าซข่มขวัญ ทำให้ชาวบ้านโกรธแค้น ยกพวกเข้าตะลุมบอน ขณะที่ทหารไม่สามารถทำอะไรได้ แตงโมจึงตัดสินใจลอกคราบเปลี่ยนชุดเป็นซูเปอร์ฮีโร่
"ตอนแรกผมจะใส่ชุดซูเปอร์แมนหรือสไปเดอร์แมน แต่มีสีแดงเต็มตัวไปหมด ผมเลยพยายามเลือกชุดที่มีสีกลางๆ สุดท้ายก็ออกมาเป็นแบทแมน" เขาบอก
แตงโม ยอมรับว่า จุดประสงค์ในการแปลงกายเป็นซูเปอร์ฮีโร่นั้น เขาไม่ได้ต้องการเป็นวีรบุรุษพิทักษ์โลก เพียงแต่อยากสร้างบรรยากาศผ่อนคลายในสถานการณ์ที่ตึงเครียด และไม่ต้องการให้เกิดการหลั่งเลือด
"นาทีนั้นผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แค่ต้องการวิ่งไปถ่ายวิดีโอเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ ซึ่งผมสังเกตได้ว่าคนแถวนั้นเริ่มปรากฏรอยยิ้มและเสียงหัวเราะขึ้น อย่างน้อยก็ถือว่าภารกิจของผมประสบความสำเร็จแล้ว"
ทว่า ฉากจบที่น่าประทับใจคนดู คือ ฉากสุดท้าย เมื่อมนุษย์ค้างคาวกระโจนขึ้นรถบรรทุกน้ำที่กำลังเคลื่อนเข้าไปดับอุณหภูมิความร้อน ซึ่งเป็นเสี้ยวนาทีเดียวกันกับการเคลื่อนย้ายรถก๊าซออกมาได้สำเร็จ พร้อมกับเสียงไชโยโห่ร้องของชาวบ้าน
"ที่จริงแล้วผมไม่ได้มีส่วนร่วมในการกู้รถก๊าซอย่างที่ใครเข้าใจ และไม่คิดจะแย่งซีนใคร แต่สถานการณ์ก็ได้สร้างวีรบุรุษขึ้นแล้ว สิ่งที่ผมลำบากใจก็คือ การเสนอข่าวของสื่อมวลชน เพราะถ้าไม่ถูกอกถูกใจใครเข้า ผมก็อาจตกเป็นเป้าได้" แตงโม เผยความรู้สึก
ไม่ว่าสถานการณ์จะสร้างวีรบุรุษหรือไม่ก็ตาม หรือแม้แต่สิ่งที่แตงโมทำอาจเกิดจากความคึกคะนองและนึกสนุกส่วนตัว แต่เขาอาจไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นกลับกลายเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะได้ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากผู้ชุมนุม จนทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปกู้รถก๊าซออกมาได้อย่างปลอดภัย นำมาซึ่งความสงบสุขกลับคืนสู่ชุมชนชาวแฟลตอีกครั้ง
ชีวิตจริงของซูเปอร์ฮีโร่
ที่มาของชุด "แบทแมนแฟนซี" มีจุดเริ่มต้นจากกีฬาวิ่งมาราธอน ซึ่งเป็นกีฬาที่เขารักเป็นชีวิตจิตใจ ไม่เฉพาะแวดวงกรีฑาเท่านั้น ตามขอบสนามฟุตบอลก็จะเห็นแตงโมสวมชุดซูเปอร์ฮีโร่ร่วมเชียร์สุดใจ สร้างสีสันแก่วงการกีฬา เดินตามรอยกองเชียร์ชั้นแนวหน้าอย่างถั่วแระ โดโด้ และแขนควง
"มีคนถามผมว่าแต่งตัวประหลาดออกจากบ้านแบบนี้ แท็กซี่ที่ไหนจะกล้ารับ ผมเลยตอบไปว่า ผมไม่ได้ขึ้นแท็กซี่หรอก แต่ขึ้นรถเมล์" แตงโม เล่าพร้อมกับหัวเราะร่วนโดยไม่แยแสต่อคำนินทา
แตงโมเป็นนักวิ่งเพื่อสุขภาพ เริ่มเข้าสู่วงการกรีฑาประมาณปี 2543 โดยฝีเท้าของแตงโมจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของบรรดานักวิ่งลมกรดทั้งหลาย และไม่ว่าจะมีการจัดมหกรรมวิ่งมาราธอนรายการไหน เขาก็ไม่เคยพลาดที่จะเข้าร่วม
ต่อมาแตงโมเริ่มค้นพบตัวเองว่า ความสุขในการวิ่งไม่ได้อยู่ที่การแข่งขันทำความเร็ว แต่ความสุขอยู่ระหว่างเส้นทางก่อนถึงเส้นชัย ในที่สุดเขาจึงหันมาเอาดีในการเป็นนักกีฬาแฟนซี แทนที่จะแข่งขันเพื่อเอาชนะ
"ผมเป็นโรคเสพติดการวิ่ง ทำยังไงก็เลิกไม่ได้ ขนาดไม่มีเงินค่าสมัคร ผมก็จะขอวิ่งด้วย โดยขอใส่ชุดแบทแมนไปร่วมแจมในสนาม ทางเจ้าภาพเขาก็เห็นใจ ตั้งแต่นั้นมาคนในวงการกรีฑาก็เริ่มรู้จักมากขึ้นในฐานะนักวิ่งแฟนซี" เขากล่าว
แนวทางการแต่งกายของเขาได้แรงบันดาลใจมาจากพนักงานส่งก๊าซที่สวมชุดสไปเดอร์แมนจนกลายเป็นข่าวเกรียวกราวก่อนหน้านี้ โดยโดย แตงโมยอมทุ่มทุนตัดชุดแบทแมนที่ย่านประตูน้ำในราคาชุดละ 3,000 บาท
"ข้อดีของวงการกรีฑาก็คือ คุณจะได้รู้จักกับคนทุกระดับ ตั้งแต่วินมอเตอร์ไซค์ไปจนถึงเศรษฐี ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด ไม่แบ่งแยกฐานะ ไม่แบ่งแยกสี เราคบกันด้วยน้ำใจนักกีฬา ผมจึงอยากให้สังคมไทยหันมาดูตัวอย่างความสามัคคีในสังคมนักวิ่งบ้าง จะได้เลิกทะเลาะกันสักที" แตงโม กล่าว
เมื่อวกกลับมาที่เรื่องการเมืองอีกครั้ง เขาบอกว่า ปัญหาการเมืองที่แก้ไม่จบ เพราะไม่มีใครยอมใคร และคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ แต่สิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งก็คือ การใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา และยิ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อเห็นคนไทยห้ำหั่นกันเอง
"ตอนนี้ผมเลิกคิดเรื่องการเมืองแล้ว เพราะสู้ไปก็ไม่มีใครชนะ มีแต่ประเทศชาติเสียหาย เศรษฐกิจพัง คนหาเช้ากินค่ำอย่างเราก็อยู่ไม่ได้ ผมจึงคิดว่าเราต้องสู้กับความเป็นจริง แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงานดีกว่า" แตงโม กล่าว
ณ วันที่ชาวแฟลตต่างเรียกขานเขาว่า แบทแมน แต่ในชีวิตจริงแตงโมก็ยังต้องดิ้นรนทำมาหากินเช่นเดียวกับคนรากหญ้าทั่วไป
ชีวิตของแบทแมนเมืองไทย ไม่ได้เลิศหรูเหมือนแบทแมนผู้เป็นลูกมหาเศรษฐีในหนัง ฮอลลีวูด แตงโมเป็นเพียงมนุษย์เงินเดือน ประกอบอาชีพเซลส์แมนขายอุปกรณ์ทอล์กกิงดิกชันนารี ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ทุกวันนี้แตงโมมีเงินเดือนประจำบวกค่าโอทีแลกคอมมิชชันประมาณกว่า 1 หมื่นบาท แบ่งเป็นค่าเช่าห้องเกือบ 4,000 บาท แต่ภาระที่หนักหนากว่านั้น คือ เขาต้องเก็บเงินให้ได้อย่างน้อยครึ่งแสน เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลให้กับลูกชายคนเล็กวัย 4 ขวบ ซึ่งกำลังป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
แตงโม เปิดใจว่า เวลานี้เขาเตรียมประกาศขายคบเพลิงโอลิมปิกปี 2006 จากประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นของสะสมล้ำค่าจากการวิ่งคบเพลิงของเขา เพื่อนำเงินเป็นค่าผ่าตัดให้กับลูกชาย เขาไม่สนใจหรอกว่า ใครจะกาหัวเป็นสีเหลืองหรือสีแดง สิ่งเดียวที่เขาคิดก็คือ จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรให้สมศักดิ์ศรีและมีความสุข
แม้วันนี้จะไม่มีเหรียญกล้าหาญสำหรับ วีรบุรุษ แต่กับครอบครัวและลูกเมีย เขาคือ วีรบุรุษตัวจริง!
 
http://www.posttoday.com/politics.php?id=44244



Rediscover Hotmail®: Get quick friend updates right in your inbox. Check it out.