วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

สังคมพุทธกับความรุนแรง

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11369 มติชนรายวัน


สังคมพุทธกับความรุนแรง


โดย สุรพศ ทวีศักดิ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หัวหิน



เมื่อเรียกร้องให้บัญญัติ "พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ในรัฐธรรมนูญ เราหาความชอบธรรมจากเหตุผลที่ว่า "สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ" แต่เมื่อเกิดความรุนแรงนองเลือดจากความขัดแย้งทางสังคมการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน แทบไม่ได้ยินกระแสเสียงเรียกร้องให้ "ยุติความรุนแรง" โดยอ้าง "ความเป็นสังคมพุทธ" จากองค์กรพุทธหรือภาคส่วนใดๆ ของสังคมพุทธแห่งนี้เลย

หรือว่า "ความเป็นสังคมพุทธ" เกี่ยวข้องอย่างจำเป็นกับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญและการอุปถัมภ์จากรัฐ หากไม่เกี่ยวข้องใดๆ (หรืออย่างจริงจัง) กับ "หน้าที่" ในการมีส่วนร่วมยับยั้งความรุนแรงหรือการหาทางออกอย่างสันติให้กับความขัดแย้งทางสังคมการเมือง ทั้งโดยการระดมแนวคิดและกระบวนการเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมอื่นๆ

เป็นไปได้ไหมว่า การที่ชาวพุทธไทยไม่ได้นำข้ออ้าง "ความเป็นสังคมพุทธ" มาใช้เป็นเครื่องมือยับยั้ง หรือแสวงหาทางออกจากความรุนแรงอย่างจริงจังเพียงพอนั้น อาจเป็นผลมาจากปัญหาหลักๆ ของชาวพุทธอย่างน้อย 3 ประการ คือ

ประการแรก ชาวพุทธติดอยู่ใน "กระบวนทัศน์" (paradigm) ที่ปลูกฝังกันมานานว่า "โลก" กับ "ธรรม" ต้องแยกขาดจากกัน

เรื่องทางโลกเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความวุ่นวายต่างๆ ที่ผู้ใฝ่ทางธรรมไม่ควรข้องแวะ

ส่วนเรื่องทางธรรมเป็นเรื่องของการหลีกหนีกิเลสและความวุ่นวายต่างๆ ในทางโลกไปสู่ "ความสงบ" ทางกาย วาจา ใจ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ถ้ายังยุ่งเกี่ยวทางโลก

ดังนั้น ความขัดแย้งทางการเมืองจึงเป็นเรื่องความวุ่นวายทางโลก ที่ชาวพุทธผู้ใฝ่ทางธรรมไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง

แต่ก็น่าสังเกตว่า ถ้าอะไรที่ชาวพุทธเห็นว่าเป็นการปกป้องและส่งเสริมพุทธศาสนา พวกเขาก็พร้อมที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง แม้ว่าการเกี่ยวข้องนั้นอาจเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งในสังคมก็ตาม

เช่น การเดินขบวนเรียกร้องให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ การที่ "พระป่า" ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเป็นเรื่องของ "พระราชอำนาจ" เท่านั้น เป็นต้น

ประการที่สอง ประเพณีการสอนพุทธศาสนาในบ้านเรานั้นเน้นเฉพาะการสอน "ศีลธรรมของปัจเจกบุคคล" ละเลยการสอน "ศีลธรรมทางสังคม" ความดีที่เน้นคือ "การทำบุญ" ที่อธิบายกันว่าใครทำก็ได้เฉพาะตัวของบุคคลนั้นเหมือนกินข้าว ใครกินคนนั้นก็อิ่ม ไม่ได้ไปอิ่มท้องของคนอื่นที่ไม่ได้กิน แล้ว "ความดี" หรือ "บุญนั้น" ก็จะเป็นเสบียงเลี้ยงตัวเราให้เรามีความสุขความเจริญ (ด้วยโภคทรัพย์) ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ตราบกระทั่งเข้าสู่สวรรค์นิพพานนั้นแล

ดังนั้น คนที่ทำ "ความดี" หรือ "คนดี" ในความหมายของชาวพุทธไทยจึงเป็นคนดีที่มุ่งทำความดีในมิติปัจเจก หรือมี "ศีลธรรมของปัจเจกบุคคล" อันเป็นศีลธรรมที่จะก่อให้เกิด "อานิสงส์" เป็นความสุขความเจริญเฉพาะตัว ไม่เกี่ยวกับความเป็นพลเมือง ไม่เกี่ยวกับสังคม ไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่เกี่ยวกับสาธารณะ

ประการที่สาม พุทธศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐตลอดมา นับแต่รัฐสมัยสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ ตอนต้นจนมาถึงปัจจุบัน ในอดีตที่การศึกษาถูกจำกัดอยู่ในวังกับวัด ผู้กุมอำนาจรัฐหรือคนชั้นสูงมีบทบาทอย่างสำคัญในการกำหนดว่าพระสงฆ์ควรสอนหลักธรรมอะไรแก่ชาวบ้าน ในแง่หนึ่งหลักธรรมที่พระสงฆ์หรือเจ้านายสั่งสอนอบรมชาวบ้านนั้น อาจช่วยให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นคนดี มีศีลธรรม ดำรงชีวิตที่มีความสุขตามอัตภาพในสังคมเกษตรกรรม เช่น สอนให้รู้จักละเว้นอบายมุขต่างๆ มีศีล 5 รู้จักขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน ฯลฯ

ส่วนอีกในแง่หนึ่ง หลักธรรมที่เลือกมาสอนนั้นมีการประยุกต์อธิบายในลักษณะเป็นเครื่องมือในการปกครองของรัฐ เพื่อใช้ "ปลูกฝัง" ให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจงรักภักดีต่อรัฐ เช่น มีการสร้างความเชื่อว่า ความแตกต่างทางฐานะชนชั้นเป็นผลของการ "ทำบุญ" มาต่างกัน คนจนคนชั้นล่างเป็นคนประเภท "บุญมาวาสนาน้อย" คนชั้นบนคนมีอำนาจที่มีชีวิตอยู่อย่างอลังการสุขสบายตามระดับฐานันดร ราวกับอยู่บนสวรรค์ชั้นต่างๆ นั้น เป็นคนประเภท "บุญหนักศักดิ์ใหญ่"

คำสอนทางพุทธศาสนาทำนองนี้ เราอาจพบได้ตั้งแต่การอบรมในครอบครัว ในนิทานวรรณคดี บทเทศนาของพระสงฆ์ในใบลาน ในหนังสือ บทประพันธ์ บทนิพนธ์ต่างๆ

จากกระบวนทัศน์ที่แยกธรรมออกจากโลก การเน้นสอนเฉพาะศีลธรรมของปัจเจกบุคคล ละเลยการสอนศีลธรรมทางสังคม และรัฐได้ใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือปลูกฝังให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเคารพเชื่อฟังอำนาจรัฐ จึงทำให้ชาวพุทธทั่วไปเมินเฉยต่อปัญหาทางโลก เห็นว่าการมาเกี่ยวข้องกับปัญหาสาธารณะเป็นเรื่องของกิเลส (เช่น มองว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก) ไม่ใช่เรื่องของคนดีมีศีลธรรมที่มุ่งสวรรค์นิพพาน

และการถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าความไม่เสมอภาคของมนุษย์ เป็นผลของ "บุญกรรม" ของแต่ละบุคคล ทำให้ชาวพุทธนอกจากจะไม่ตั้งคำถามต่อโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่อยุติธรรมแล้ว ยังมีทัศนคติสยบยอมและสนับสนุนโครงสร้างอันอยุติธรรมนั้นโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวพุทธจำนวนหนึ่งที่มองเห็นปัญหาข้างต้นแล้วหันกลับไปหาพระไตรปิฎกอันเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แล้วนำมาอธิบายประยุกต์ให้เห็นว่าศีลธรรมของปัจเจกบุคคล กับศีลธรรมทางสังคม และการต่อสู้เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมให้เกิดความเสมอภาคเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาไปด้วยกัน

เช่น การเสนอทฤษฎี "ธรรมมิกสังคมนิยม" ของท่านพุทธทาสภิกขุ การศึกษาพุทธศาสนาด้วยทรรศนะวิพากษ์และข้ามนิกายทางศาสนาพร้อมกับเสนอแนวคิด "พุทธศาสนาเพื่อรับใช้สังคม" ของนักสันติวิธีอย่าง พระไพศาล วิสาโล และเครือข่าย เป็นต้น

แต่ทว่าความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในทางที่ก้าวหน้าเช่นนี้นอกจากจะอยู่ "นอกสายตา" ของสถาบันพระพุทธศาสนาที่เป็นทางการ (ทั้งภาคพระสงฆ์และภาคราชการ) แล้ว บางครั้งยังเป็นที่หวาดระแวงและยากที่จะทำความเข้าใจหรือหาแนวร่วมสนับสนุนจากชาวพุทธตามจารีตที่ถูกปลูกฝังให้มีกระบวนทัศน์ และความคิดความเชื่อผิดๆ (จากหลักการที่เป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา) มาอย่างยาวนาน

ปัญหาความแตกแยกทางสังคมการเมืองที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานี้ เป็นปัญหาที่ท้าทายอย่างยิ่งทำอย่างไรชาวพุทธจึงจะเป็น "ผู้ตื่น" ให้ทัน "ขบวนรถพัฒนาการทางสังคมการเมือง" เพราะหากไม่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความเป็นธรรมและสันติ การดำรงอยู่ของพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่ก็แทบจะไร้ความหมาย

และวาทกรรมที่ว่า "สังคมไทยเป็นสังพุทธ" ก็จะใช้หลอกตัวเองและชาวโลกไม่ได้อีกต่อไป!

(กรอบบ่าย)

หน้า 10

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act04260452&sectionid=0130&day=2009-04-26

Windows Live™ SkyDrive™: Get 25 GB of free online storage. Check it out.