วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

“ตราแผ่นดิน ตราราชสกุล และสกุล อักษรพระนาม และนามย่อ”

มรดกอันทรงคุณ...ที่ทรงมอบไว้แก่แผ่นดิน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 พฤษภาคม 2552 10:33 น.

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เจ้าจอมเลียม ในรัชกาลที่ 5

หนังสือ "ตราแผ่นดิน ตราราชสกุล และสกุล อักษรพระนาม และนามย่อ" (ซ้าย) พิมพ์ครั้งที่ 2 (ขวา) พิมพ์ครั้งที่ 1

คุณหญิงวงจันทร์ พินัยนิติศาสตร์

อ.สุนทร วิไล

ตราประจำพระองค์ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในรัชกาลที่ 8 และ รัชกาลที่ 9

ตราประจำพระองค์ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี

ตราพระนาม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ ต้นราชสกุล บริพัตร

ตราสัญลักษณ์ เจ้าพระยารามราฆพ(ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กในรัชกาลที่ 6

ตราพระนามย่อ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม กรมหลวงปราจิณกิติบดี ต้นราชสกุล ประวิตร

ตราพระนามย่อ พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ต้นราชสกุล รัชนี

ตราพระนาม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเกษมศรีศุภโยค กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ ต้นราชสกุล เกษมศรี

ตราประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้นราชสกุล ดิศกุล

ตราสัญลักษณ์สถานกงสุลไทย ณ สิงคโปร์

ตราสัญลักษณ์โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ปัจจุบัน คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตราสัญลักษณ์ พระราชอุทยานสราญรมย์ เคยใช้เป็นที่ประทับล้นเกล้า ร.6 เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร

ตราสัญลักษณ์ พระราชวังสวนดุสิต รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้สร้างขึ้น

หลังจากที่ประชาชนต่างถามหาถึงหนังสือ "ตราแผ่นดิน ตราราชสกุล และสกุล อักษรพระนาม และนามย่อ" พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งจัดพิมพ์ครั้งแรกเพียงจำนวน 2,000 เล่ม จนล่วงผ่านไปแล้ว 16 ปี กระทั่งเมื่อมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ได้รับพระราชานุญาตให้จัดพิมพ์หนังสือพระนิพนธ์เล่มนี้ขึ้นอีกครั้ง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 51 ที่ผ่านมา เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา จวบจนวันนี้ความต้องการเพื่อจะได้เป็นเจ้าของหนังสือเล่มดังกล่าวก็ยังไม่ลดน้อยถอยลง และกลับกลายเป็นของหายาก ที่นักสะสมจำนวนไม่น้อยกำลังตามหาอยู่เพื่อจะได้ครอบครอง ก็ยิ่งฉายชัดถึงความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้...ว่าเป็นอย่างไร
       
       ในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ 6 พ.ค. ที่เวียนมาอีกคราว ครั้งนี้เราจึงขอน้อมรำลึกถึงสมเด็จเจ้าฟ้าในดวงใจ ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถอันเอนกอนันต์อีกวาระหนึ่ง...
       
       

       * บ่อเกิดงานประณีตศิลป์ แห่งสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ
       
       สืบเนื่องจากการที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ทรงค้นพบหนังสือสะสมดวงตราในตู้หนังสือส่วนพระองค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเป็นหนังสือที่เจ้าจอมเลียม ในรัชกาลที่ 5 ประดิษฐ์ขึ้น เพื่อทูลเกล้าถวายสมเด็จพระพันวัสสาฯ ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ในการเสาะหาและเก็บรวบรวมดวงตรา และตราที่อยู่บนหัวจดหมายของเจ้านาย ข้าราชการ และหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนลายเซ็นพระนามและนามของบุคคลในยุคนั้น มายาวนานเป็นเวลาหลาย10 ปี
       
       นับว่าเป็นจุดเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งอย่างมาก ที่พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของงานศิลปะที่ซ่อนอยู่ในหนังสือต้นฉบับเล่มนี้ ด้วยทรงเห็นว่า หากทิ้งไว้ก็จะผุพังเสีย จึงทรงนำมาเก็บรักษาที่ตำหนักไว้อย่างดี จนเมื่อใกล้ถึงวาระแห่งการเฉลิมฉลองในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ เมื่อปี 2535 ขณะที่พระองค์ทรงพิจารณาถึงสิ่งที่จะทำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสพิเศษในครั้งนั้น ก็ทรงระลึกถึงความสวยงามของการบรรจุงานฝีมือที่ละเอียดอ่อนของเจ้าจอมมารดาเลียม ซึ่งตรงกับพระราชอัธยาศัยของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงโปรดงานประณีตศิลป์ จึงไม่รอช้า มีพระดำริให้จัดทำหนังสือขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยทรงตั้งคณะทำงานขึ้นมาทั้งหมด 3 ท่าน
       
       ประกอบด้วยผู้ค้นคว้าคือ พล.ต.ต. น.พ. เฉลิมพล โกมารกุล ณ นคร ผู้มีศักดิ์เป็นหลานเจ้าจอมเลียม ที่สามารถไปสืบหาข้อมูลจากคนในตระกูลบุนนาค เนื่องจากอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันกับบ้านของเจ้าจอมเลียม นัดดา อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นผู้ที่มีความสนิทสนมกับบรรดาลูกหลานตระกูลเก่าแก่หลายตระกูล ที่สามารถสืบค้นข้อมูลจากสายสัมพันธ์ของตัวเองได้ และ คุณหญิงวงจันทร์ พินัยนิติศาสตร์ ข้าราชบริพารที่ถวายงานด้านหนังสือมามายาวนานตั้งแต่ปี 2513 เป็นผู้เรียบเรียง โดยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ทรงเป็นบรรณาธิการด้วยพระองค์เอง และทรงมีพระประสงค์อันแน่วแน่ที่จะให้ หนังสือเล่มนี้มิได้เป็นการรวบรวมตราและอักษรย่อที่มีอยู่ให้ครบถ้วน เพราะทรงต้องการเพียงการเสนอผลงานอันสวยงามชิ้นหนึ่ง เพื่อฉลองพระชนมายุครบ 60 พรรษา ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
       
       โดยหนังสือเล่มนี้เป็นพระนิพนธ์เพียงเล่มเดียว ที่แตกต่างจากเล่มอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพระนิพนธ์ที่เกี่ยวกับพระราชวงศ์ และพระนิพนธ์เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนพระนิพนธ์เล่มนี้เป็นหนังสือที่เน้นการนำเสนอภาพมากกว่าเนื้อหา เพื่อถ่ายทอดผลงานประณีตศิลป์อันทรงคุณค่าของคนรุ่นก่อนให้ปรากฏต่ออนุชนรุ่นหลัง
       
       
       * เจ้าจอมเลียม ในรัชกาลที่ 5
       
       ย้อนกาลเวลากลับไปในยุคสมัยนั้นเจ้าจอมเลียม นับเป็นบุคคลที่มีความสามารถด้านงานประดิษฐ์ มักจะประดิษฐ์ของสวยๆ งามๆ ไปทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์หลายต่อหลายครั้ง จนเป็นที่เลื่องลือถึงความสามารถในงานฝีมือด้านต่างๆ ในยามว่างของหญิงไทยในอดีต มักจะใช้เวลาอยู่กับงานดอกไม้ งานครัว หรืองานปักผ้า ซึ่งเป็นกิจกรรมของสตรีสมัยโบราณมาทุกยุคทุกสมัย
       
       แต่สำหรับ เจ้าจอมเลียม ผู้สืบเชื้อสายมาจากราชินีกุล "บุนนาค" บุตรคนที่ 4 ของพลโทเจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ (โต บุนนาค) สมุหราชองครักษ์ในรัชกาลที่ 5 และเป็นหลานทวดของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) กลับมีกิจกรรมยามว่างที่ทันสมัยยิ่งกว่า แตกต่างจากฝ่ายในท่านอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ผลงานอันทรงคุณค่าทางศิลปะงานฝีมือของเจ้าจอมเลียม อาทิ ประดิษฐ์โต๊ะหมู่บูชาขนาดจิ๋วทำด้วยไพ่ตองที่ใช้แล้ว นำมาตัดต่อ ฉลุลาย ปิดทองออกมางดงามมาก
        
       นอกจากนี้ยังมีกรอบรูปและเครื่องพวงแก้วน้ำขนาดเล็กประดิษฐ์จากแผ่นเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานอดิเรกที่เป็นการเก็บสะสมดวงตราสัญลักษณ์ของเจ้านาย ขุนนาง และหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่บนหัวจดหมาย ซองจดหมาย แล้วนำมาเก็บรวบรวมไว้ในอัลบั้มโก้หรูที่ผลิตจากประเทศอังกฤษ นับว่าขึ้นแท่นเป็นงานชิ้นเอกที่จะหาสตรีผู้ใดในยุคนั้นเทียบเทียมได้ ซึ่งปัจจุบันผลงานต้นฉบับชิ้นนี้ ที่เจ้าจอมฯได้ทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระพันวัสสาฯ ภายหลังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในห้องสมุดส่วนพระองค์ของวังเลอดิส สุขุมวิท 43
       
       ผลงานชิ้นดังกล่าว สะท้อนถึงความประณีตบรรจงของผู้เป็นเจ้าของอัลบั้มได้ชัดเจน แต่ละหน้าที่เต็มไปด้วยกรอบลวดลายโบราณขนาดต่างๆ แตกต่างกันไป ถูกเติมเต็มช่องว่างด้วยดวงตราสัญลักษณ์ที่เจ้าจอมบรรจงตัดให้มีขนาดเท่ากับกรอบอย่างตั้งใจทุกหน้า จนกลายเป็นงานฝีมือที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในกาลต่อมา
       
       * เรื่องเล่า...เบื้องหลังดวงตราโบราณ
       
       ที่มาของการใช้ตราสื่อความหมายในประเทศไทยนั้น หากให้พูดในความรวม ธรรมชาติของมนุษย์มีภูมิปัญญาในการทำสัญลักษณ์เป็นการสื่อความหมายมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ขึ้นอยู่กับยุคสมัยว่าอะไรที่ทำแล้วเข้าใจโดยทั่วกัน สำหรับยุคปัจจุบัน ถือเป็นยุคร่วมสมัย วิวัฒนาการของการออกแบบตราเพื่อการสื่อความหมายก็ย่อมแตกต่างไปจากยุคก่อน ซึ่งสมัยโบราณนั้น ตราสัญลักษณ์มักจะถูกใช้ในกลุ่มชนชั้นสูง ออกแบบลวดลายได้อย่างวิจิตรบรรจงให้ความรู้สึกขลังมากกว่า ตราสัญลักษณ์หรือ โลโก้ในยุคนี้ที่ออกแบบ โดยเน้นความเรียบง่ายเพื่อให้เกิดการจดจำได้ของผู้พบเห็นเสียมากกว่า
       
       จากประวัติศาสตร์ของการใช้ดวงตราสัญลักษณ์ที่ปรากฏ ชาติต่างๆ ที่ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ในทวีปยุโรป ถือเป็นต้นกำเนิดของดวงตราต่างๆ ขนานแท้ และธรรมเนียมการใช้ตราสัญลักษณ์เหล่านี้ก็ถูกนำมาใช้ในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯประพาสยุโรป รวมถึงการส่งพระราชโอรสไปทรงศึกษาต่อในต่างประเทศ ก็ทำให้อิทธิพลของการใช้ตราสัญลักษณ์แพร่เข้ามาพร้อมๆ กัน
       
       ดังจะเห็นได้จาก เมื่อครั้งอดีตภายในรั้วรอบขอบวังของเจ้านายแต่ละพระองค์นั้น ล้วนแต่จะมีช่างศิลปกรรมประจำวัง เพื่อที่จะทรงเรียกใช้สอยในโอกาสที่ทรงโปรด ซึ่งหนึ่งในผลงานประณีตศิลป์ที่แต่ละวังถือเป็นหน้าเป็นตานั้น คือ ดวงตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ ที่ต้องไปปรากฏอยู่บนหัวจดหมาย ซองจดหมาย หนังสือ และของใช้ส่วนพระองค์ต่างๆ อันแสดงถึงพระอัธยาศัยส่วนพระองค์ โดยที่ช่างฝีมือผู้นั้น ซึ่งต้องรับหน้าที่ถ่ายทอดความหมายอันเนื่องในพระองค์ และพระอัธยาศัยของเจ้านายตัวเองให้ออกมาได้ความหมายและสวยงามประณีตเพื่อให้สมพระเกียรติที่สุด ขณะเดียวกันการทำงานเพื่อรับใช้เจ้านายในโอกาสลักษณะนี้ ก็ถือเป็นการอวดความสามารถของช่างศิลป์ประจำวังนั้นๆ ไปด้วยในตัว
       
       การที่เจ้าจอมเลียมได้สะสมดวงตราสัญลักษณ์เหล่านี้ ก็นับว่าอัลบั้มส่วนตัวเล่มนี้ เป็นแหล่งรวมศิลปะชั้นยอดที่ได้รับความนิยมในยุคสมัยนั้น ที่สะท้อนเรื่องราวของความเป็นอยู่ ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต ทำให้ศิลปะที่ถูกจารึกไว้ในสิ่งละอันพันละน้อย ยังถูกจารึกไว้ให้ได้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้งสืบไป
       
       * สะท้อนพระปณิธานผ่านงานพระนิพนธ์
       
       คุณหญิงวงจันทร์ หนึ่งในคณะทำงานของการจัดทำหนังสือ "ตราแผ่นดิน ตราราชสกุล และสกุล อักษรพระนาม และนามย่อ" ซึ่งจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2535 ย้อนเล่าถึงเบื้องหลังการจัดทำหนังสือเล่มนี้ว่า สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ทรงทุ่มเทพระวรกายและพระทัยในการทรงงานอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จาก แต่ละขั้นตอนของการทำงานที่ทรงใส่พระทัยในรายละเอียดอย่างมาก
       
       เนื่องจากแต่เดิมหนังสือสะสมดวงตราเล่มนี้ เป็นหนังสือที่มีกรอบรูปแบบต่างๆ กันไปอยู่ทางด้านขวาของเล่ม ซึ่งเจ้าจอมเลียมจะต้องเลือกรูปตราสัญลักษณ์ที่มีขนาดเหมาะสมกับแต่ละกรอบที่มีอยู่ และตัดให้ได้รูปร่างที่มีขนาดพอดีกับกรอบนั้นๆ ส่วนทางด้านซ้ายของเล่มจะเป็นพื้นที่ว่าง ซึ่งของเดิมเจ้าจอมเลียมได้บันทึกรายละเอียดของตราสัญลักษณ์นั้นๆ ไว้เพียงสั้นๆ
       
       ขณะที่ในการจัดทำหนังสือตามพระดำริ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ แม้จะโปรดให้คงรูปแบบเดิมของหนังสือไว้ค่อนข้างครบถ้วนเกือบ 100 % แต่ก็ทรงแนะนำให้มีการปรับแก้ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของตราสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ในเล่มให้ถูกต้องตามพระยศ และยศล่าสุด ที่เจ้าของตราได้รับก่อนวายชนม์
       
       ทรงกำชับกับคณะทำงานว่าข้อมูลที่ใส่ลงไปนั้นต้องกระชับ ไม่มาก-น้อยเกินไป ถึงพื้นที่จะมีจำกัด เพราะถูกบังคับด้วยหน้ากระดาษ แต่ก็ต้องให้มีสาระมากที่สุด เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงแหล่งที่มาของตราสัญลักษณ์ โดยยังคงรูปแบบของรูปเล่มเดิมไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
       
       เช่น ตราสัญลักษณ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ที่เดิมนั้นเจ้าจอมเลียมบันทึกไว้เพียงว่า "พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่" คณะทำงานจึงต้องเพิ่มเติม พระนามเต็มและพระประวัติโดยสังเขปลงไปเป็น "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 และเจ้าจอมมารดาสังวาล (อินทรกำแหง) เสนาบดีกระทรวงวังและกระทรวงกลาโหมในรัชกาลที่ 5 ต้นราชสกุล ทองใหญ่" ซึ่งก็เป็นไปตามพระประสงค์ที่ทรงต้องการให้ผู้อ่านทราบที่มาของบุคคล หรือ หน่วยงานผู้เป็นเจ้าของตรานั้นๆ
       
       
"ในการทำงานค้นคว้า ก็ใช่จะประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการทุกครั้งไป บางครั้งก็ไม่อาจทราบถึงที่มาของตราสัญลักษณ์ได้ทุกตรา หรือ บางครั้งอาจจะเป็นการได้ข้อมูลเพียงบางส่วน ซึ่งไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ จะทรงมีพระดำริให้เว้นว่างคำบรรยายของตรานั้นไว้ ไม่ให้สันนิฐาน โดยห้ามใช้คำว่า "อาจจะ" เด็ดขาด เพราะทรงให้ความสำคัญของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องอย่างที่สุด
        
       หรือหากมีการใส่ข้อมูลที่ได้จากการสอบถามโดยไม่แน่ใจ ก็โปรดให้มีการระบุไว้ที่หมายเหตุทุกครั้ง นอกจากนี้ยังโปรดให้นำความรู้เรื่อง พระราชลัญจกรและเครื่องหมายประจำรัชกาล จากหนังสือ "ความรู้เรื่องตราต่างๆ พระราชลัญจกร" ของ ส.พลายน้อย มาเสริมไว้ในช่วงท้ายของหนังสือ เพื่อเป็นความรู้แก่ผู้อ่านอีกด้วย แสดงถึงความเป็นครู ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์ได้ทรงพิสูจน์แล้วว่า ทรงเป็นนักวิชาการที่แท้จริง"

       
       แม้วันเวลาจะล่วงเลยมาแล้วหลายปี แต่ความประทับใจที่ได้มีโอกาสถวายงานยังไม่เคยจางหาย คุณหญิงเล่าว่า พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ทีมงานทุกคน โดยเฉพาะในการจัดทำหนังสือซึ่งต้องพิถีพิถันมากๆ อย่างหนังสือเล่มนี้ด้วยแล้ว ทรงใส่พระทัยในทุกรายละเอียด จะเห็นได้จากในการเสด็จมาประชุมงานทุกครั้ง ไม่เพียงแต่คณะทำงานเท่านั้นที่ต้องเตรียมเอกสารมาอ้างอิงเพื่อยืนยันข้อมูลของสิ่งที่ได้ค้นคว้ามาถวายรายงาน ขณะเดียวกันพระองค์ท่าน ก็ทรงปฏิบัติดั่งเช่นพวกเราทุกคน
       
       
"ทรงละเอียดถี่ถ้วนมาก ทรงตรวจทุกหน้า ทุกครั้งที่ตรวจเราต้องมีเอกสารมาถวายให้พระองค์ท่านทรงตรวจว่าถูกต้องจริง ด้านพระองค์ท่านเอง ก็ทรงปฏิบัติเหมือนเรา เมื่อทรงค้นพบข้อมูลมาอย่างไร ก็ทรงนำมาให้ดูว่าพระองค์ท่านได้ข้อมูลมาอย่างนี้ จริงแท้แน่นอน รับสั่งว่า ในการทำหนังสือทุกเล่มล้วนมีความหมายทางประวัติศาสตร์ ทรงเห็นว่าในอนาคตอะไรต่ออะไรก็จะเปลี่ยน ข้อมูลเก่ามีแต่จะเลือนหาย ถ้าหากได้จัดพิมพ์ไว้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ หนังสือก็จะอยู่ไปชั่วกัปชั่วกัลป์"
       

       
       
* พระนิพนธ์แฝงไว้ด้วยคุณค่า เกินกว่าพรรณนา
       

       หากนักอักษรศาสตร์ ย่อความด้วยตัวอักษร หรือ ถ้านักเขียนจะเลือกถ่ายทอดความรู้สึกด้วยถ้อยคำมหาศาล ทว่า... หากเอ่ยถึงนักออกแบบตราสัญลักษณ์ หน้าที่ของเขาเหล่านั้นกลับต้องสื่อสารความหมายของเรื่องราวทั้งหมดไว้อย่างครบถ้วนให้อยู่ในตราสัญลักษณ์ที่งดงามเพียงตราเดียวเท่านั้น
       
       อาจารย์สุนทร วิไล นายช่างศิลปกรรม กรมศิลปากร ผู้มากด้วยประสบการณ์ด้านการออกแบบตราสัญลักษณ์มายาวนานหลายสิบปี เป็นอีกผู้หนึ่งที่ซาบซึ้งในทุกรายละเอียดที่บรรจุไว้ในหนังสือ "ตราแผ่นดิน ตราราชสกุล และสกุล อักษรพระนาม และนามย่อ" เพราะด้วยอาชีพที่จำเป็นต้องใช้แรงบันดาลใจ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ต้องอาศัยประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนตลอดเวลา
       
       "ครั้งแรกที่ผมเห็นหนังสือเล่มนี้ รู้สึกดีใจ ยังไม่เคยเห็นหนังสือลักษณะนี้ถูกตีพิมพ์ออกมาก่อน ชอบใจมาก เพราะสำคัญต่อวิชาชีพของเรา สัมผัสได้ถึงความชอบเก็บสะสม ซึ่งใครที่จะทำได้อย่างนี้ต้องเป็นผู้ที่สนใจ รักในงานศิลปะและต้องเห็นคุณค่าจริงๆ ถึงได้บรรจงตัดเก็บตราสัญลักษณ์ไว้อย่างเรียบร้อย มากไปกว่านั้น การที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ทรงเอาพระทัยใส่จนได้มีการจัดทำหนังสือเล่มนี้ออกมา ก็ทำให้หนังสือสะสมดวงตราของเจ้าจอมเลียมกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง ซึ่งแต่ละตราสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสืบค้นหาแหล่งที่มาให้ถูกต้องครบถ้วนทั้งหมด บางตราสัญลักษณ์ แม้แต่ลูกหลานเองก็ยังไม่ทราบได้ว่าเป็นตราของบรรพบุรุษ"
       
       อาจารย์ บอกว่า หากย้อนอดีตกลับไป การออกแบบตราสัญลักษณ์ต่างๆ ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมายาวนานเพื่อใช้ในงานต่างๆ เช่น หัวจดหมาย การประทับตราสิ่งของ ซึ่งในวังต่างๆ ของเจ้านายในสมัยโบราณต่างก็มีช่างศิลป์อาศัยอยู่ ช่างศิลป์เหล่านั้นล้วนมีฝีมือและมีหน้าที่ออกแบบตราสัญลักษณ์ตามพระอัธยาศัยของเจ้านายพระองค์นั้น โดยการออกแบบตราสัญลักษณ์ต่างๆ ขึ้นมาต้องคำนึงถึงความเกี่ยวข้องกับเจ้าของตรา
       
       เช่น
ออกแบบให้เป็นตัวอักษรย่อของพระนาม อย่างตราสัญลักษณ์พระนามย่อของพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ต้นราชสกุล รัชนี หรือ ออกแบบตราสัญลักษณ์ให้ออกมาเป็นภาพที่มีความหมายเกี่ยวข้อง อาทิ ตราสัญลักษณ์ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ ที่เป็นรูปพระอาทิตย์ เพราะเชื่อมโยงกับราชทินนามว่า "สุริยะ" เป็นต้น
       

       ประวัติการใช้ตราสัญลักษณ์ในบ้านเราได้รับอิทธิพลมาจากประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ในแถบยุโรป โดยเฉพาะธรรมเนียมการใช้ตราสัญลักษณ์จากประเทศอังกฤษ ที่เจ้านายส่วนใหญ่มักได้รับอิทธิพลกลับมาด้วยภายหลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษา ณ ที่นั่น
       
       ที่น่าสังเกต คือ การนำธรรมเนียมเหล่านั้นกลับมาใช้ในเมืองไทย สิ่งที่เจ้านายและข้าราชการระดับสูงทุกคนต่างยึดถือ และปฏิบัติสืบกันมา นั่นคือ การให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ผู้ที่มีบรรดาศักดิ์น้อยกว่าจะไม่ทำของที่เทียบเทียมกับผู้ที่สูงศักดิ์กว่า เช่น การทำเข็มกลัดพระนามเป็นลายฉลุ ในชั้นเจ้าฟ้าจะมีการประดับเพชร ซึ่งในบรรดาศักดิ์ชั้นอื่นๆ ตามมารยาทแล้ว จะใช้เพียงทองหรือวัสดุอื่นๆ และไม่มีการประดับเพชรแต่อย่างใด เป็นต้น ซึ่งความรู้ต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นของหายากและห่างไกลคนรุ่นใหม่ ซึ่งใครก็ตามที่อยู่ในยุคนี้ หากได้มีโอกาสมาสัมผัสก็รับรู้ได้ทันทีว่า งานประณีตศิลป์อันทรงคุณค่าชนิดนี้ควรค่าต่อการสืบทอดให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทย
       
       "แม้ดูเหมือนเล็กน้อย แต่สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ล้วนยิ่งใหญ่มหาศาล สะท้อนถึงความเป็นครูของพระองค์ท่านที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ทรงเป็นผู้ให้ที่ประเสริฐ ผมเองอยู่กับงานเช่นนี้มาทั้งชีวิต พอได้เห็นหนังสือเล่มนี้ที่ทรงนิพนธ์ไว้ ก็รู้ทันทีว่าเบื้องหลังการทรงงานนั้นไม่ง่ายเลย หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนเพชร เป็นดั่งขุมปัญญาอีกแขนงหนึ่งที่ทรงฝากไว้ให้ลูกหลานชาวไทยตลอดไป"

       
       / / / / / / /
       
       
เรื่อง : ภาษิตา ภิบาลญาติ,ชนะพล โยธีพิทักษ์
       ภาพ : วรงค์กรณ์ ดินไทย
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9520000051566


Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.