วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ถอดรหัสคำพิพากษาจำคุก “ภาวนาพุทโธ!”

ถอดรหัสคำพิพากษาจำคุก "ภาวนาพุทโธ!"
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 11 พฤษภาคม 2552 10:02 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษายืน จำคุกนายจำลอง คนซื่อ ตามที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษา 50 ปี

สถานปฏิบัติรรมพญามังกรที่วัดสามพราน ที่ภาวนาพุทโธก่อสร้างไว้ และต้องหยุดชะงักไปช่วงขณะระหว่างถูกดำเนินคดี แต่ก็สามารถก่อสร้างจนเสร็จในภายหลัง

ในระหว่างที่พุทโธภาวนา ถูกคุมขังในเรือนจำ ระหว่างรอฟังคำพิพากษาของทั้ง 3 ศาล ยังคงมีลูกศิษย์ที่ยังคงนับถือศรัทธาในตัวภาวนาพุทโธ ไปเยี่ยมเยียนและร่วมรับฟังคำสั่งสอน

"พฤติกาม"ของอดีตพระภาวนาพุทโธนั้น ถูกระบุในคำพิพากษาว่า เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2531-2538 ต่อเนื่องกัน แต่เรื่องมาปรากฏเป็น"ข่าวคาว" ในปี 2538

นายจำลอง คนซื่อ หรืออดีตพระภาวนาพุทโธ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปีและไม่เกิน15ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน

ปี 2538 ไม่มีข่าวไหนที่สั่นคลอนความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเท่ากับ "ข่าวคาว" ความอื้อฉาวของพระภาวนาพุทโธ ที่ขณะนั้นถือว่ากำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแซงหน้าความมีชื่อเสียงของบรรดา "พระวิปัสสนาจารย์" อย่างชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น และด้วยความเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ของพระมหาจำลอง กิตฺติปญฺโญ หรือนามสกุล คนซื่อ เจ้าอาวาสวัดสามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐมนั่นเอง ทำให้ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศ ต่างหลั่งไหล และมุ่งตรงไปสู่วัดสามพราน ทั้งลาภและสักการะจำนวนมหาศาล จึงเป็นผลพลอยได้เข้าสู่วัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
       
       นอกเหนือจากการอบรมสั่งสอนวิปัสสนากรรมมัฏฐานแล้ว พระภาวนาพุทโธยังได้รับอุปการะเด็กชาวเขาจาก จ.แม่ฮ่องสอน และจาก จ.เชียงใหม่ ให้ได้รับการศึกษาเลี้ยงดู โดยนำมาพักอาศัยภายในวัดสามพราน ซึ่งหากเป็นเด็กผู้หญิงก็ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ "แม่ชี" ภายในวัด
       
        "พฤติกาม" ของอดีตพระภาวนาพุทโธนั้น ถูกระบุในคำพิพากษาว่า เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2531-2538 ต่อเนื่องกัน แต่เรื่องมาปรากฏเป็น "ข่าวคาว" ในปี 2538 เมื่อ มีพระลูกวัดโพธิ์เรียง ซึ่งเป็นญาติของเด็กหญิงชาวเขา เหยื่อของพระภาวนาพุทโธคนหนึ่งทราบพฤติกรรมดังกล่าวจึงได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อกรมการศาสนา และตำรวจกองปราบปราม ซึ่งเมื่อสื่อได้ข้อมูล-ข้อเท็จจริง ข่าวจึงถูกกระพือราวกับเปลวเพลิงที่โหมลุกไหม้หญ้าและฟางฉะนั้น
       
       ถัดจากปี 2538 มา 9 ปีเต็ม ทั้งการดำเนินการในชั้นของพนักงานสอบสวน ชั้นอัยการ และชั้นศาล จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2547 ศาลชั้นต้น จึงพิพากษา นายจำลอง คนซื่อ หรืออดีตพระภาวนาพุทโธ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน และฐานได้กระทำต่อศิษย์ที่อยู่ในความดูแล และพวกแม่ชีถูกฟ้องฐานเป็นผู้สนับสนุน เป็นธุระจัดหา และชักพาหญิงไปเพื่อสำเร็จความใคร่เพื่อการอนาจารเด็กหญิงชาวเขาถึง 6 คน โดยพิพากษาจำคุกเป็นเวลาถึง "160 ปี" แต่ตามกฎหมายสามารถจำคุกจำเลยได้เพียง 50 ปีเท่านั้น โทษจึงคงเหลือจำคุก 50 ปี
       
       ต่อมาเมื่อจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งของฝ่ายโจทก์และจำเลย กระทั่งเมื่อวันที่ 16 พ.ย.2548 จึงมีคำพิพากษาว่า "ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เพราะฝ่ายโจทก์มีผู้เสียหาย เป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 (ภาวนาพุทโธ)กระทำชำเราหลายครั้งหลายหน โดยมีจำเลยที่ 2-7 (แม่ชี) คอยให้ความช่วยเหลือ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พิพากษายืน"
       

       ถัดมาอีก 4 ปี ในปี 2552 เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่เพิ่งผ่านมา ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าว พิพากษายืน จำคุกนายจำลอง คนซื่อ ตามที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษา!
       
       
ข้อพิเคราะห์ของศาลฎีกาต่อคดีนี้ น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยศาลได้พิจารณาตามพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า "คดีมีประเด็นพิจารณาในชั้นฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ และได้กระทำต่อผู้เป็นศิษย์อยู่ในความดูแลที่ต้องรับโทษหนักขึ้นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ที่เป็นผู้เสียหายเบิกความสอดคล้องกันทั้ง 9 ปากถึงพฤติการณ์จำเลยว่า ได้มีจำเลยที่เป็นแม่ชี พาผู้เสียหายรายละ 1 คน เข้ามาที่กุฏิทางห้องน้ำ อ้างว่าต้องไปทำความสะอาดห้องบันทึกเทป จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายไหว้พระพุทธรูป จำเลยที่1จึงเดินมาจากชั้น 2 ทางบันได้เหล็ก แล้วให้ผู้เสียหายมากราบที่ตัก แล้วใช้มือลูบผม แล้วให้ผู้เสียหายไปปูที่นอน หรือให้ช่วยบีบนวดที่ขา จากนั้นจำเลยที่ 1 จะเดินมาทางด้านหลังแล้วโอบกอด โดยให้แม่ชีช่วยจับแขนขา จำเลยที่ 1 จึงจูบที่นมแล้วใช้อวัยวะเพศสอดใส่กระทำชำเรา เมื่อสำเร็จความใคร่แล้วก็ให้ผู้เสียหายกินยาคุมกำเนิด แล้วพาไปล้างอวัยวะเพศที่ก๊อกน้ำในห้องน้ำ ก่อนให้แม่ชีพากลับห้องพัก สำหรับรายที่ครั้งแรกไม่ยินยอมก็จะถูกลงโทษด้วยการเดินจงกรมกลางแดดบนพื้นดินที่มีกรวดหินแหลมคม"
       
       
ข้อพิเคราะห์ของศาลฎีกาตามพยานหลักฐาน ได้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของจำเลยและพวกเป็นเช่นใด นอกเหนือจากพฤติกรรมที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระแล้ว จำเลยยังสู้อุตส่าห์ป้องกันด้วยการให้กินยาคุมกำเนิด ส่วนรายไหนไม่ยินยอมกลับลงโทษให้ไปเดินจงกรมกลางแดดบนพื้นดินที่มีกรวดหินแหลมคม ซึ่งพฤติกรรมการลงโทษเหยื่อที่ไม่ยินยอมด้วยการนำการเดินจงกรม อันเป็นหนึ่งในวิธีปฏิบัติของวิปัสสนามาเพื่อสนองตัณหาของตนเองนั้น ภายใต้จิตสำนึกของผู้กระทำคงไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงคำว่า "สามานย์" ไปได้
       
       นอกเหนือจากพฤติกรรม "สามานย์" ดังกล่าวแล้ว ในการต่อสู้คดีในชั้นศาล อดีตภาวนาพุทโธยังอ้างถึงความเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทั้งด้านวิปัสสนากรรมมัฏฐาน และความเอื้ออาทรที่มีต่อเด็กผู้ยากไร้ชาวเขา โดยการโยนบาปให้กับศาสนาอื่น ซึ่งหารู้ไม่ว่านั่นหมายถึงเป็นการทำลายพุทธศาสนาที่ตัวเองสังกัดโดยตรงว่า "จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ตนเป็นพระมีชื่อเสียงด้านบำเพ็ญภาวนา และนำเด็กชาวเขาที่นับถือศาสนาอื่นมาเป็นชาวพุทธ สร้างความไม่พอใจแก่ศาสนาอื่น จึงร่วมกันกลั่นแกล้งปั้นเรื่อง นอกจากนี้ ห้องที่เกิดเหตุก็ไม่ตรงกับบันทึกแผนที่ของเด็ก และอวัยวะเพศของตนก็ผิดปกติไม่อาจร่วมเพศได้ ส่วนอวัยวะเพศผู้เสียหายก็ไม่มีร่องรอยถูกชำเรา
       

       ศาลฎีกาเห็นว่า ที่เกิดเหตุ แม้ได้ถูกดัดแปลงก่อสร้างเพิ่มเติมหลังเกิดเหตุ แต่ยังมีร่องรอยตรงกับที่ผู้เสียหายเบิกความ ซึ่งเห็นว่าจำเลยที่1 สามารถเดินขึ้นลงจากกุฏิชั้น 2 ลงมาชั้นล่างโดยที่คนภายนอกมองไม่เห็น นอกจากนี้จำเลยกลับนำเด็กหญิงมาอยู่ใกล้ๆ กุฎิ ทั้งที่ควรจะเป็นเด็กชาย จึงผิดวิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม บริเวณกุฎิมีทางเดินซับซ้อนเกินความจำเป็น แม้จะติดป้ายว่าเป็นเขตสงฆ์ แต่เมื่อดูจากร่องรอยก๊อกน้ำเก่า รอยปิดฝ้าเพดานไม้อัดทับช่องทางลับที่เคยเป็นบันไดเหล็ก ก็ล้วนแสดงว่า เด็กหญิงสามารถเข้าไปในกุฎิได้และจำเลยก็สามารถเข้ามาในห้องบันทึกเทปชั้นล่างได้โดยง่าย"
       
       ในระหว่างที่พุทโธภาวนาถูกคุมขังในเรือนจำ ระหว่างรอฟังคำพิพากษาของทั้ง 3 ศาล ยังคงมีลูกศิษย์ที่ยังคงนับถือศรัทธาในตัวภาวนาพุทโธ ไปเยี่ยมเยียนและร่วมรับฟังคำสั่งสอนของเจ้าตัว พร้อมทั้งร่วมกันบริจาคเงินให้ภาวนาพุทโธภายใต้ชื่อ "นช.จำลอง คนซื่อ" รวมแล้วเป็นเงินกว่า 14 ล้านบาท ทั้งนี้ ระหว่างที่ภาวนาพุทโธสั่งสอนสาวกของเขาผ่านม่านลูกกรงเหล็กนั้น เจ้าตัวยังคงเฝ้าเพรียกหาความเป็นธรรมจากสาวกของตนเองด้วยคำว่า "พ่อไม่ผิด พ่อถูกใส่ร้าย..."
       

       
       พยานหลักฐาน และข้อวินิจฉัยต่างๆของศาลฎีกา แม้ปรากฏชัดเจนแล้วว่าเป็นความผิด ทว่าตัวภาวนาพุทโธเองกลับยังคงไม่สำนึกต่อความผิดที่ตนเองได้ก่อขึ้น แม้จะเป็นในที่ลับ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน แต่ตัวเองก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าได้กระทำอะไรลงไป ดังนั้น อย่าว่าแต่การบำเพ็ญเพียรภาวนาเจริญวิปัสสนากรรมมัฏฐานเลย แม้แต่คุณธรรม 2 อย่างง่ายๆ แค่ หิริ และโอตตัปปะ คือความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปนั้นยังไม่มีในตัวตน ฉะนั้นจะพร่ำสอนใครไปให้เกิดประโยชน์อีกเล่า!
       
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000052124


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.