วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สวยสั่งได้ ด้วยโยคะ

สวยสั่งได้ ด้วยโยคะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กรกฎาคม 2552 13:12 น.
       จากงานเปิดตัวหนังสือ “สวย...สั่งได้” นอกจากเจ้าของผลงาน ป้าจิ๊ อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ จะนำก๊วนเพื่อนสาวใหญ่สองคนสนิท ม้า อรนภา กฤษฏี กับ ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล มาร่วมถ่ายทอดมุมมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับป้าจิ๊ทั้งก่อนและหลังตัดสินใจเล่นโยคะ ป้าจิ๊ยังนำทีมเพื่อนโยคะมาเล่าคุณประโยชน์ที่ได้รับการฝึกโยคะ

       “ได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากพี่ๆในวงการ โดยเฉพาะพี่ม้า เราได้ประสบการณ์แต่งหน้า แต่งตัว ผู้ชายมาจีบต้องทำอย่างไร คำว่าสวยสั่งได้ของเราจึงค่อนข้างจับต้องได้เพราะอาชีพ บางวันก็อยากจะเน่าบ้าง แต่ด้วยอาชีพ เราออกนอกบ้านอย่างน้อยตาและปากต้องมี อย่างเรื่องการออกกำลังกาย ทั้งป้าจิ๊และพี่ม้าก็เคยชวน เมื่อก่อนเคยเต้นแอโรบิกแต่รู้สึกว่าไม่ใช่ เลยมีวิธีในแบบของตัวเองคือ ทำงานบ้าน ปลูกต้นไม้ เชื่อว่าโยคะทำให้จิตนิ่ง แต่โชคดีที่เป็นคนนิ่งมาก ไม่หลงอะไรง่ายๆ และพยายามทำจิตใจให้สบายอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว” ต่าย เพ็ญพักตร์ กล่าว

       ทางด้าน ม้า อรนภา เผยถึงเคล็ดลับการดูแลสุขภาพว่า
       
       “ดูแลตนเองมานาน ออกกำลังกายมา 30 กว่าปี เปลี่ยนวิธีการออกกำลังกายไปตามวัยตลอด เพราะอาชีพเป็นนางแบบต้องดูแลตนเองให้นานที่สุด ตอนแรกชอบเต้นแอโรบิกเพราะสมัยนั้นฮิตมาก จนเป็นแชมป์เต้นแอโรบิกได้ 3 ชั่วโมงติดต่อกัน ส่วนป้าจิ๊ไม่ชอบออกกำลังกายเลย โรคอ้วนถามหา จึงชวนมาเผาผลาญพลังงานส่วนเกินด้วยการเต้น แต่ป้าจิ๊ไม่ยอม จนต่อมามีปัญหาเจ็บหัวเข่า หูก็เริ่มตึง จึงไปเล่นปั่นจักรยาน แต่ไม่สนุก
       
       วันหนึ่งป้าจิ๊มาชวนไปเล่นโยคะทั้งที่เมื่อก่อนเราเป็นคนชวนเขามาโดยตลอด แต่เราเป็นคนชอบความหวือหวา จึงไปเล่น โยคะร้อน ดีที่เราเป็นคนมุมานะ จึงเล่นจริงจัง ดีกว่าต้องไปผ่าเข้า ผ่านไป 6 เดือน อาการเจ็บแปลบๆ ที่หัวเข่าหายไป ตั้งแต่วันนั้นเลยปวารณาตัวว่าจะเล่นโยคะไปจนวันตาย เพราะดีต่อสุขภาพแถมยังสวยด้วย เล่นโยคะมีความสุขมาก ขาดไม่ได้”
       

       แถมยังคอนเฟิร์มถึงความสวยนั้นสั่งได้จริงๆ หากรู้จักเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับตัวเอง
       
       “ดิฉันคิดว่าความสวย...สั่งได้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เป็นคนไม่สวยเลย เพื่อนๆ สวยกันทุกคน เวลาเดินกลับบ้าน เพื่อนจะมีนักบอลนักว่ายน้ำมาส่งที่ป้ายรถเมล์ มีชั้นคนเดียวที่เดินตามหลัง ก็รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกันนะ จึงไปสร้างจุดเด่นด้วยการเรียนรำละค พอเริ่มแต่งหน้าก็มีชายหนุ่มมารุมล้อมก็รู้สึกดีจัง แต่พอลบเครื่องสำอางปรากฏว่า ผู้ชายหายไปหมด จึงตั้งมั่นว่าต้องสวยให้เหมือนเพื่อนสาว .จึงเริ่มสั่งให้ตัวเองให้สวย ศัลกรรมน่ะเหรอ... เก็บเงินไปทำมาหมด จนกระทั่งวันหนึ่งเข้าใจลึกซึ้งว่าความสวยต้องเริ่มจากภายใน และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี กินอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกายจนสวยแบบนี้ เห็นมั้ย ! สวยสั่งได้จริงๆ”

       เรื่องราวของโยคะมีมานานนับพันปีและเป็นที่นิยมเรียนกันทั่วทุกมุมโลก ปัจจุบันได้รับการกล่าวขานกันว่าช่วยลดอาการบาดเจ็บเนื่องจากการทำงานในชีวิตประจำวันได้ดี อีกทั้งยังช่วยให้ผู้เล่นผ่อนคลายจากความตึงเครียดได้มาก ป้าจิ๊ อัจฉราพรรณ ได้พูดถึงที่มาที่ไปของการฝึกโยคะจนกลายมาเป็นหนังสือ “สวย...สั่งได้”
       
       “โยคะดีสำหรับทุกคนทุกเพศทุกวัย อยากแชร์ประสบการณ์จริงว่าวัยไม่ใช่อุปสรรคหากจิตใจแน่วแน่ ‘ฉันทำได้...คุณก็ทำได้’ ป้าเริ่มฝึกโยคะตอนอายุ 52 โชคดีที่เจอโยคะ ได้เหยียดยืด ที่งอก็ตรง ที่ห้อยย้อยก็กระชับ การเล่นโยคะเพื่อสุขภาพที่ดี พอฝึกจริงๆ จังๆ ก็จะมีสมาธิกับตัวเองในการจัดท่าทาง ยิ่งหายใจลึกช้าสมาธิก็จะดี ว่ากันว่าโยคะจะทำให้สวยจากภายใน ช่วยฟื้นฟูจิตใจ รู้จักตนเอง โยคะบอกนิสัย และเปลี่ยนนิสัยได้ สอนให้เราเคารพตัวเอง อยู่กับปัจจุบัน และให้เราถี่ถ้วนกับการใช้ชีวิต การทำโยคะทำให้ผ่อนคลายสบายใจ ได้อยู่กับตัวเอง ฉันเลยติดใจตั้งแต่เริ่มแรก แล้วก็หลงรักจนหมดหัวใจ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองจากการเล่นโยคะ จึงอยากฝากให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีที่สุดก่อน ไม่ว่าวัยไหน อย่าเป็นภาระให้ใคร เตือนตัวเองเสมอๆ ”
       


       พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมฟังการเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับกลเม็ดเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์แห่งโยคะในหัวข้อเสวนา “สวยสั่งได้...ด้วยโยคะ” จากบุคคลในหลากหลายอาชีพกับประโยชน์ที่ได้รับจากประสบการณ์จริงในการฝึกโยคะ โดยมาร่วมแบ่งปันความรู้ในเรื่องของโยคะในหมวดต่างๆ ดังนี้
       


       โยคะกับสุขภาพ โดย ครูเปิ้ล ณัชสุวีร์ วงศ์บุญศิริ ผู้หลงใหลในศาสตร์แห่งโยคะจนกลายมาเป็นคุณครูด้านโยคะ
       
       “ก่อนที่มาเล่นโยคะตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งเวลานอนหลับจะหายใจทางปากตลอดเวลา ตื่นมาจึงทำให้คอแห้ง เลยลองมาเล่นโยคะ ปรากฏว่าชอบมาก อาการภูมิแพ้หายไปโดยอัตโนมัติ เพราะได้ฝึกหายใจยาวๆ ลึกๆ และได้ขับเหงื่อออกจากรูขุมขน ตอนแรกคิดว่าเล่นเป็นแฟชั่นเท่านั้น แต่ตอนนี้ฝึกฝนและเรียนจนเป็นครู ชีวิตอยู่กับโยคะจริงๆ หลงใหลที่สุด เป็นสังคมที่เรามีความสุขมาก”
       

       โยคะกับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ ประสบการณ์ตรงของ หมอปูเป้ พญ.ทพญ.อัญชญา แย้มสุคนธ์ เพื่อนคู่คิดทางธรรม และด้านโยคะของป้าจิ๊
       
       “ชีวิตทันตแพทย์จะเห็นว่าทำงานหนัก อยู่กับงานที่ต้องก้มหน้าประมาณ 6 ช.ม.ต่อวัน ทำให้ปวดต้นคอมาก ถ้าทันตแพทย์อายุมากก็มักจะมีหินปูนเกาะที่คอ แต่โยคะช่วยได้เยอะ โยคะจะเป็นการบริหารร่างกายไปพร้อมๆ กับการกำหนดลมหายใจ มันจะช่วยคืนสมดุลให้โครงสร้างของร่างกายที่ผิดรูปไป และปรับการหายใจของเราให้เราหายใจได้เต็มที่ขึ้น ของเสียต่างๆ ก็จะถ่ายเทออกได้มากขึ้น ก็เหมือนการดีท็อกซ์อย่างหนึ่ง
       
       ก่อนหน้านี้เป็นคนที่เป็นภูมิแพ้เหมือนกัน แต่ไม่อยากกินยาบ่อยๆ เพราะต้องไปหาหมอทุกเดือน โยคะเป็นแพทย์ทางเลือก ฝึกการเคลื่อนไหวของร่างกายไปพร้อมๆ กับการกำหนดลมหายใจ พอมาเล่นโยคะจริงจัง อาการเจ็บออดๆ แอดๆ หายไป ก่อนหน้านี้ เคยเล่นยิมนาสติก แต่เลิกไป 5-6 ปีแล้ว ทำให้น้ำหนักเพิ่ม สุขภาพก็ไม่ดี จึงมองหากีฬาที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายและฝึกสมาธิไปด้วย ป้าจิ๊คือแรงบันดาลใจของเรา ป้าอายุ 58 แล้ว ทำได้ทุกท่า เราอายุน้อยกว่าทำไมจะทำไม่ได้”
       
       
โยคะบำบัดโรค ประสบการณ์ตรงจากลูกศิษย์โยคะของป้าจิ๊ ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งเต้านม และมีโยคะเป็นที่พึ่ง จนในปัจจุบันสามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้มากขึ้น ติ๊ก มาลินี พรหมเชยธีระ ค่ะ
       
       “มาฝึกโยคะเพราะกลัวตายมาก เมื่อ 8 ปีที่แล้วเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งต้องติดตามผลไปอีก 12 ปี ต้องไปตรวจร่างกายกับหมอเรื่อยๆ เราจึงมองหาวิธีการดูแลสุขภาพที่เหมาะกับตัวเอง ได้รับผลดีจากการเล่นโยคะ เพราะเป็นมะเร็งถ้าหมกหมุ่นอยู่กับมันแย่แน่ ต้องอย่าท้อ มีโอกาสอ่านหนังสือเจอว่าโยคะช่วยให้เราสงบ เลือดลมในร่างกายหมุนเวียนดีขึ้น และสามารถปรับให้เหมาะกับคนที่ให้คีโมได้ คีโมทำลายทั้งเซลล์ร้าย และเซลล์ดี และอาจทำให้กระดูกผุด้วย แต่เรากระดูกผุน้อยมาก คุณหมอตรวจสอบความหนาเน่นของกระดูก และค่ามะเร็งพบว่าแทบจะไม่มีอีกเลย เพราะยาและสุขภาพจิตที่ดี การมาเล่นโยคะทำให้มะเร็งห่างจากตัวเรามาก เมื่อผ่าตัดเต้านม ทำให้ต้องตัดต่อมน้ำเหลืองไปด้วย แขนบวมมาก
       
       หมอจึงแนะนำให้ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อยืดไม่ให้กล้ามเนื้อรั้ง แต่ก็ไม่เพียงพอ จนมาเจอโยคะ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรง เพียงเหยียด และยืดก็ช่วยผ่อนคลายแล้วจากแขนที่เหยียดลำบากหลังผ่าตัดก็กลับมาเป็นปกติ และเมื่อก่อนอารมณ์ร้อนมากแต่โยคะทำให้มีสติมากขึ้น หายใจเข้าแล้วนับ 1-5 ทำให้เราฝึกสมาธิ เยือกเย็น ติ๊กคิดว่าการควบคุมการหายใจจะควบคุมอื่นๆ ได้ ตอนไป MRI ต้องกลั้นหายใจ เราฝึกมาแล้วทำให้ทำได้เร็ว จนหมอชมว่านิ่งมาก สิ่งสำคัญคือ หลับสนิท ช่วงตอนทำคีโม หมอต้องให้กินยานอนหลับติดต่อมา 5 ปี แต่พอเล่นโยคะมา 3 ปีไม่ต้องกินยานอนหลับอีกเลย ตอนนี้มีความหวังทำให้ชีวิตอยู่ มาพบว่าการเล่นโยคะได้เหยียดยืด เหมือนร่างกายเรากลับเป็นปกติอีกครั้ง”
       


       ทั้งนี้ ป้าจิ๊ อัจฉราพรรณ กล่าวปิดท้ายว่า ในวันแรกที่เล่นโยคะกลับมาอ้วกแตก แต่เพราะความงก เลยกลับไปเล่นจนจบคอร์ส ปัจจุบันอยู่ในห้องโยคะทั้งวัน ค่าน้ำค่าไฟที่บ้านก็ลด เพราะคุณป้าเธอเล่นกระโดดเข้าออกห้องโยคะวันละ 2-3 รอบ วันทั้งวันอยู่แต่ในชุดโยคะ บางทีนอนหลับระหว่างรอบในสตูดิโอ แหม นอกจากสวย...สั่งได้แล้ว ยังประหยัด...สั่งได้ อีกต่างหากนิ
       
       ขณะนี้หนังสือ “สวย…สั่งได้” พิมพ์เป็นครั้งที่ 2 แล้ว สาวใดอยากรู้ว่า โยคะมีเสน่ห์ยังไง ทำไมป้าจิ๊ถึงหลงใหลติดใจนักหนา และเธอมีหลักคิดในการฝึกโยคะยังไง ทำไงถึงได้กระชับกลมกลึงไปหมดทั้งตัวทั้งๆ ที่วัยเหยียบ 60 แล้ว ต้องอ่าน !
       
       แล้วคุณจะเกิดแรงบันดาลใจ ดูแลตัวเอง รักตัวเองมากขึ้นค่ะ
       


http://www.manager.co.th/lady/viewnews.aspx?NewsID=9520000075412


--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

เครื่องดื่มฝางใครรู้จักบ้างยกมือขึ้น

สาระสุขภาพแพทย์แผนไทย


  เครื่องดื่มฝางใครรู้จักบ้างยกมือขึ้น

      เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพตามท้องตลาดมีดาษดื่น ทั้งแบบพร้อมดื่ม หรือแบบเป็นผงและชาชง ซึ่งนักวิจัยจากกระทรวงสาธารณสุขได้ทำการวิจัยพวกเครื่องดื่มสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่มีจำหน่ายอยู่นั้น พบว่าร้อยละ 80 มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีสำหรับผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อเครื่องดื่มในแต่ละวัน มีสมุนไพรอีกตัวหนึ่งนั่นก็คือ "ฝาง" หรือ "ฝางเสน" ที่มีการนำมาทำน้ำยาเข้มข้น เวลาจะดื่มให้ใช้เจือจางในน้ำเปล่าและเติมน้ำแข็ง รสชาติหอมชื่นใจ ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า คลายร้อน ที่เรียกกันว่า "น้ำยาอุทัย" นั่นเอง พอบอกน้ำยาอุทัยต่างร้องอ๋อ! กันเชียว แต่ถ้าถามกลุ่มเด็กวัยรุ่นรู้จักน้ำยาอุทัยไหม คำตอบคือรู้ แต่การใช้ประโยชน์แตกต่างกัน เพราะมีในช่วงหนึ่งราว 5-6 ปีที่ผ่านมา วัยรุ่นเมืองไทยใช้น้ำยาอุทัยแต่งแต้มแทนเครื่องสำอาง นัยว่าให้ความแดงสดใสเปล่งปลั่งจากธรรมชาติเป็นอย่างดี ราคาถูกและไม่มีอันตราย ต่อมาก็เสื่อมความนิยมลง น้ำยาอุทัยตามตำรับยาแผนโบราณนั้น มีตัวยาที่สำคัญหลายชนิด แต่ที่เด่นคือ ฝางเสน เป็นตัวยาที่ให้สีแดง ซึ่งได้มาจากสาร Brazilin มีอยู่ในเปลือก แก่น เนื้อไม้ น้ำยาอุทัยมีการผลิตและจำหน่ายมานานกว่า 60 ปีแล้ว จนถึงปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยม แต่อาจเป็นที่รู้จักน้อยลงบ้าง เพราะคนรุ่นใหม่เขาหันไปหาเครื่องดื่มประเภทอัดลมค่อนข้างเยอะ สมัยก่อนถ้าอยากดื่มน้ำฝาง เพียงเอาฝางกับตัวยาอื่นๆ มาต้ม เติมน้ำแข็งเติมน้ำตาลก็ดื่มได้แล้ว หรือแบบสะดวกก็ต้องใช้น้ำยาอุทัยหยดผสมในน้ำเปล่าเติมน้ำแข็งดื่มได้ทั้งบ้าน  

     ฝางที่เรานำมาใช้ประโยชน์ทางยาและทำเครื่องดื่มนั้น นิยมเอาแก่นฝางมาใช้ มีสรรพคุณ บำรุงเลือด แก้ปอดพิการ ขับเสมหะ แก้ร้อนใน ช่วยลดความร้อนในร่างกาย กระหายน้ำ แก้ธาตุพิการ แก้กำเดา มีรสฝาด จึงใช้แก้โรคทางสมานได้ เช่น แก้ท้องเสีย ท้องร่วง ฆ่าเชื้อโรคบางชนิดได้

     แก้โลหิตออกทางทวารหนัก และแก้อาการเลือดออกภายในอวัยวะต่างๆ เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือในลำไส้ หรือคนที่ขาดวิตามินเค มักเลือดไหลหยุดช้า คนที่เส้นเลือดฝอยเปราะแตกง่าย และคนที่มีเลือดกำเดาออกบ่อย ดื่มน้ำฝางจะค่อยๆ ช่วยให้เลือดหยุดไหลได้

     ฝางนิยมเข้าตัวยากลุ่มบำรุงเลือด ฟอกเลือด หรือในกลุ่มยาสตรี เพราะมีสรรพคุณช่วยให้เลือดดี เช่น ขับโลหิตระดู ใช้ฝางเสนหนัก 4 บาท แก่นขี้เหล็กหนัก 2 บาท ต้มกินก่อนประจำเดือนมา ช่วยให้ระดูไม่เน่าเสียและมาสม่ำเสมอ แก้พิษโลหิตร้าย เป็นยาขับระดูและบำรุงโลหิต

     ยาชงแก้ไข้ทับระดู ฝางเสน เกสรบัวหลวง ดอกสารภี ดอกบุนนาค จันทน์แดง จันทน์ขาว ดอกมะลิ ดอกพิกุล แก่นไม้หอม รากเท้ายายม่อม รากมะพร้าว แก่นสน สักขี รากย่านาง รากลำเจียก รากมะนาว ตัวยาทุกตัวหนักอย่างละ 1 บาท บดผงไว้ใช้ชงน้ำร้อน รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ให้จิบอยู่เสมอจนกว่าไข้จะสงบ หรือใช้ดองกับน้ำผึ้งหรือเหล้าโรงแก้ท้องเสีย แก่นฝางเสน 1 ส่วน น้ำ 20 ส่วน ต้มเดือดนาน 15 นาที กินครั้งละ 5-8 ช้อนแกง แก้น้ำกัดเท้า ฝนแก่นฝางเสนกับน้ำปูนใสให้ข้น ทาบริเวณที่น้ำกัดเท้า

     สาร Brazilin ซึ่งเป็นสารที่ให้สีแดง (Sappan red) มีรายงานว่ามีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ที่ประเทศฮังการีพบว่าใช้รักษาโรคหัวใจกบที่ถูกสารพิษเป็นผลสำเร็จ รักษาและป้องกันหืดได้ แก้อักเสบได้ และสารนี้แม้จะดื่มเข้าไปมากก็ไม่เกิดการสะสมตกค้างในร่างกาย จึงไม่พบว่าเป็นอันตราย

     มีสูตรเครื่องดื่มฝาง ซึ่งเป็นสูตรของอาจารย์เนตรดาว ยวงศรี มาแนะนำ เป็นสูตรที่ได้รับความนิยมมากในสถานบริการเพื่อสุขภาพหรือสปาในต่างประเทศ เรียกว่า ชาเกศโกมล สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงประสาท ช่วยให้ผ่อนคลาย บำรุงโลหิต ประกอบด้วย แก่นฝาง 20 กรัม บำรุงโลหิต แก้เลือดออกทางทวารหนัก แก้ปอดพิการ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ดอกอัญชัน 10 ดอก ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ระบายท้อง ทำให้ตาสว่าง ดอกพิกุล 10 ดอก ช่วยบำรุงโลหิต

     ดอกมะลิ 10 ดอก ช่วยบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ รักษาโรคตา บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น ว่านน้ำ 10 กรัม บำรุงประสาท น้ำสะอาด 1 ลิตร

     วิธีทำ ให้เอาฝางเสนและว่านน้ำย่างไฟให้เหลืองก่อนแล้วพักไว้ จากนั้นต้มน้ำให้เดือด แล้วเอาฝางเสนใส่ลงไป น้ำจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอย่างรวดเร็ว ยิ่งต้มนานน้ำจะเป็นสีแดง แล้วใส่ตัวยาสมุนไพรที่เหลือลงไป น้ำจะกลายเป็นสีม่วง เพราะไปเจอกับสีของดอกอัญชัน ต้มสักพักยกลงจากเตา เติมน้ำตาลเติมน้ำแข็งตามชอบ ใครชอบของร้อนก็เก็บใส่กระติกน้ำร้อนดื่ม ถ้าบีบมะนาวเพิ่มจะช่วยเสริมในเรื่องการขับเสมหะและฟอกโลหิต

     รู้จักฝางกันมาขึ้นแล้วใช่ไหม โดยเฉพาะสาวๆ เครื่องดื่มฝางมีประโยชน์ในการบำรุงโลหิตช่วยให้เลือดงาม ส่งผลให้ผิวพรรณสวยใสไม่เป็นฝ้าด้วย เพราะหลักการแพทย์แผนไทยสตรีจะสวยต้องมาจากเลือดลมดี และในภาวะอากาศร้อนๆ แบบนี้มีเครื่องดื่มฝางแช่ในตู้เย็นเก็บไว้ดื่มคลายร้อนก็เข้าท่า ทีนี้ถ้าใครถามว่ารู้จักเครื่องดื่มฝางไหม..ต้องยกมือขึ้นเพราะเรารู้จักฝางกันแล้วนะคะ.

http://www.thaipost.net/tabloid/050709/7278





Windows Live™ SkyDrive™: Get 25 GB of free online storage. Get it on your BlackBerry or iPhone.

เชิญชมรายการ "หนังชีวิต" เพื่อหยุดทุกข์สร้างสุขเพื่อครอบครัว



 
From: มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว <famnet@familynetwork.or.th>
Date: ก.ค. 3, 2009 11:44 หลังเที่ยง
Subject: เชิญชมรายการ "หนังชีวิต" เพื่อหยุดทุกข์สร้างสุขเพื่อครอบครัว
To:

สวัสดีครับ เครือข่ายของครอบครัว ทุกๆคน

 

แผนงานสุขภาวะครอบครัว สสส.  มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ร่วมกับ ไทยพีบีเอส ผลิตรายการโทรทัศน์ เพื่อหยุดทุกข์สร้างสุขเพื่อครอบครัว

(หยุด 4 ทุกข์ อบายมุข นอกใจ ความรุนแรง หนี้สิน  สร้าง 4 สุข สื่อสารดี มีเวลาร่วมกัน แบ่งปันใส่ใจ ห่วงใยสุขภาพ)

 

ในรายการ หนังชีวิต ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ช่อง ทีวีไทย ซึ่งจะออกอากาศทุกวันหยุดพิเศษ (มีทั้งหมด 13 ตอน)

 

   วันหยุดนี้ จะเป็นการออกอากาศ เทปแรก สองวัน สองตอน

 

   จึงขอเชิญชวน เครือข่ายฯ ทุกท่านร่วมดู และร่วมติชมด้วยครับ   

 

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2552 เวลา 13.30-14.00 น.

ตอน ครอบครัวปลอดเหล้า 1”

ครอบครัวคุณปิ่นทอง ผู้ชายที่เคยดื่มเหล้าอย่างหนัก แต่ในปัจจุบันสามารถผ่านมรสุมชีวิตมาได้ และเริ่มต้นชีวิตใหม่  อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ตัดสินใจเลิกเหล้า หลังจากเลิกเหล้าแล้วชีวิตเป็นอย่างไร

 

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2552 เวลา 13.30-14.00 น.

ตอน ครอบครัวแบ่งปันใส่ใจ ดูแลผู้ป่วยโรคจิตเวช

คุณพร ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีภาระในการดูแลลูกชาย แม่ รวมไปถึงหลานตัวน้อย และน้องชายที่ป่วยเป็นโรคจิตเวชเรื้อรัง ปัญหาที่พบในการอยู่ร่วมกันกับผู้ป่วยคืออะไร เธอมีวิธีการรับมือกับภาระอันหนักอึ้งนี้อย่างไร

 

ปู เครือข่ายครอบครัว




--
มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว
192 ซอย 8 ถนนเทศบาลนิมิตรเหนือ
แขวงลาดยาว เขตจตุจักร
กรุงเทพฯ 10900
โทรศัพท์: 0-2954-2346-7
โทรสาร: 0-2954-2348
Website: www.familynetwork.or.th
Email: famnet@familynetwork.or.th
 


--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.tzuchithailand.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com

สร้างเต้านมใหม่ โดยใช้เนื้อเยื่อตัวเอง


สร้างเต้านมใหม่ โดยใช้เนื้อเยื่อตัวเอง

วันเสาร์ ที่ 04 กรกฎาคม 2552 เวลา 0:00 น

  
ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการตรวจเต้านมและการส่งเสริมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ทำให้ค้นพบมะเร็งในระยะแรก ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งทำให้อัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น การผ่าตัดซึ่งเป็นการรักษาหลักได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงจากอดีตที่มุ่งเน้นเพียงการรอดชีวิต เป็นการผ่าตัดที่จะคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและความสวยงามมากขึ้น
   
สำหรับในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมก็เช่นเดียวกัน ไม่มีความจำเป็นต้องตัดเต้านมออกหมดทุกรายหรือในรายที่จำเป็นต้องผ่าตัดเต้านมออก ก็สามารถทำการผ่าตัดสร้างเสริมเต้านมได้ทันทีในการผ่าตัดนั้น ด้วยการใช้เต้านมเทียมหรือการใช้เนื้อเยื่อของตัวผู้ป่วยเอง ซึ่งเนื้อเยื่อที่นิยมนำมาสร้างเต้านมใหม่ได้แก่ กล้ามเนื้อและชั้นไขมันบริเวณหน้าท้อง และกล้ามเนื้อและไขมันบริเวณที่หลัง
   
วิธีการผ่าตัดแบบ LD flap (Latissimus Dorsi flap) เป็นวิธีที่ใช้ในการผ่าตัดเพื่อสร้างเต้านมใหม่สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ต้องทำการผ่าตัดเต้านมออก ซึ่ง วิธีการนี้จะใช้ผิวหนังกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi และไขมันบริเวณหลังมาผ่าตัดตกแต่งเสริมภายหลังการผ่าตัดเลาะเนื้อเต้านมออกทั้งหมด การผ่าตัดใช้กล้ามเนื้อที่หลังเป็นวิธีหนึ่งที่ทำกันมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากผู้ป่วยฟื้นฟูสุขภาพได้เร็วกว่าการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เป็นวิธีการที่ปลอดภัยมีผลแทรกซ้อนน้อย ระยะการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเทียบเท่ากับการผ่าตัดมะเร็งเต้านมตามปกติคือประมาณ 3 วัน และแม้ว่าการผ่าตัดวิธี LD flap จะดูยุ่งยากเล็กน้อย แต่ก็เพิ่มเวลาในการผ่าตัดไม่มากนัก และเนื่องจากวิธีการนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เต้านมเทียมช่วยเสริม แต่ใช้เพียงแผ่นผิวหนังและชั้นไขมันบริเวณหลังรวมไปถึงกล้ามเนื้อ LD ของตัวผู้ป่วยเองทั้งหมด ดังนั้นผลของการผ่าตัดในระยะยาวแล้ว จะได้ลักษณะของเต้านมที่สร้างขึ้นใหม่เหมือนเต้านมจริงมากที่สุด ทั้งในด้านรูปร่างและลักษณะเนื้อเต้านมจากการสัมผัส ทำให้รู้สึกว่ายัง มีเต้านมอยู่เช่นเดิม
   
หลักเกณท์ในการคัดเลือกผู้ป่วยที่จะทำผ่าตัดสร้างเต้านมใหม่ด้วยการใช้กล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi ได้แก่
   
1. ผู้ป่วยที่มีเต้านมขนาดเล็กถึงปานกลาง
   
2. ผู้ป่วยที่มีเต้านมหย่อนคล้อย ไม่มาก
   
3. ผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องมาตกแต่ง ได้ เนื่องจากมีรอยแผลเป็นบริเวณหน้าท้องมาก่อน
   
4. ใช้ผ่าตัดเสริมเพื่อแก้ไขในผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดเสริมเต้านมด้วยวิธีอื่นมาก่อน
   
การเลาะกล้ามเนื้อ LD มีอยู่ 2 วิธี คือ
   
1. Latissimus Dorsi miniflap คือ การเลาะเอากล้ามเนื้อ LD บางส่วนให้เพียงพอปิดส่วนที่เป็นมะเร็งเต้านม หลังทำการผ่าตัด
   
2. The extended LD flap technique เป็นการเลาะเอากล้ามเนื้อ LD มาทั้งหมด รวมทั้งแผ่นผิวหนัง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ชั้นไขมันรอบ ๆ ทำให้ได้เนื้อเยื่อในปริมาณเพียงพอสำหรับทำเต้านมใหม่ หลังจากทำการผ่าตัด
สภาพผู้ป่วยหลังผ่าตัด
   
หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะมีแผลผ่าตัดบริเวณเต้านมข้างที่ทำผ่าตัด ซึ่งเป็นแผลเส้นตรงยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ที่หลังข้างเดียวกับที่ทำผ่าตัดเต้านมออก ซึ่งศัลยแพทย์จะผ่าตัดในแนวบริเวณขอบเสื้อชั้นในเพื่อเน้นความสวยงามของแผล หลังผ่าตัดสามารถใส่เสื้อในปิดรอยแผลผ่าตัดภายหลังแผลหายดีแล้ว และมีท่อระบายน้ำเหลือง 2 สาย จากแผลผ่าตัดเต้านม และแผลผ่าตัดที่หลัง
   
โดยทั่วไปผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาลรามาธิบดีส่วนใหญ่จะนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลภายหลังผ่าตัดประมาณ 2 วันและสามารถกลับบ้านพร้อมท่อระบายน้ำเหลือง และมาติดตามการรักษาหลังกลับบ้านได้ประมาณ 1 สัปดาห์ สำหรับท่อระบายน้ำเหลืองจะคาไว้ประมาณ 10-14 วัน จึงสามารถถอดออกได้
   
ส่วนวิธีการผ่าตัดอีกแบบหนึ่งคือ Transverse Rectus Abdominis Musculocutaneous flap หรือ TRAM flap after mastectomy หมายถึงการผ่าตัดตกแต่งหรือเสริมสร้างเนื้อเต้านมขึ้นใหม่โดยใช้กล้ามเนื้อและชั้นไขมันบริเวณหน้าท้องมาผ่าตัดตกแต่งเสริมภายหลังการผ่าตัดเลาะเนื้อเต้านมออก
   
การผ่าตัดโดยใช้กล้ามเนื้อและชั้นไขมันบริเวณหน้าท้องเป็นวิธีหนึ่งที่ทำกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีการ ที่ปลอดภัยมีผลแทรกซ้อนน้อย และระยะการนอนรักษาตัวประมาณ 3-5 วัน ซึ่งการผ่าตัดวิธีนี้ สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ทั้งในแง่ตัวผู้ป่วยเอง ครอบครัวและสังคม
   
หลักเกณท์ในการคัดเลือกผู้ป่วยที่จะทำผ่าตัดสร้างเต้านมใหม่ด้วยการใช้กล้ามเนื้อ และชั้นไขมันบริเวณหน้าท้อง ได้แก่
   
1. เหมาะสมสำหรับเต้านมทุกขนาด ในผู้ป่วยมะเร็ง เต้านม
   
2. ผู้ป่วยที่มีเต้านมหย่อนคล้อยมาก

สภาพผู้ป่วยหลังผ่าตัด
   
หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะมีแผลผ่าตัดบริเวณเต้านมข้างที่ทำการผ่าตัดและแผลผ่าตัดบริเวณหน้าท้องส่วนล่างสุด ซึ่งเป็นแผลเส้นโค้งตามแนวพับของท้องซึ่งศัลยแพทย์จะผ่าตัดในแนวบริเวณหน้าท้องส่วนล่างสุดตามแนวขอบกางเกงใน เพื่อเน้นความสวยงามของแผลหลังผ่าตัด อาการปวดสามารถระงับได้ด้วยยาแก้ปวดชนิดฉีดในวันแรกหลังผ่าตัด หลังจากนั้นสามารถระงับด้วยยาแก้ปวดชนิดรับประทาน หลังผ่าตัดไม่เกิน 24-48 ชั่วโมงผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถลุกนั่งบนเตียงและลุกเดินได้ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลภายหลังผ่าตัดประมาณ 3-5 วันและสามารถกลับบ้านได้ แต่ยังคงต้องใส่ท่อระบายน้ำเหลือง และต้องมาติดตามการรักษาหลังกลับบ้านได้ประมาณ 1 สัปดาห์
   
เมื่อติดตามผลของการผ่าตัดในระยะยาวแล้ว จะได้ลักษณะของเต้านมที่สร้างขึ้นใหม่ เหมือนเต้านมจริงมากที่สุด ทั้งในด้านรูปร่างและลักษณะเนื้อเต้านมจากการสัมผัส สร้างความพึงพอใจ และความรู้สึกว่ายังมีเต้านมอยู่เช่นเดิมได้เป็นอย่างดี
   
การเสริมสร้างเต้านมขึ้นมาใหม่ โดยใช้เนื้อเยื่อหรือผิวหนังของตัวเอง นอกจากจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ต้องทำการผ่าตัดเต้านมออกไป มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการผ่าตัดเต้านมหลาย ๆ ครั้งได้มากทีเดียว
   
ดังนั้น ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ต้องทำการผ่าตัดก้อนเต้านมออก และต้องการเสริมสร้างเต้านมใหม่ วิธีการดังกล่าวนี้ จะเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยผู้ป่วยได้มาก แต่ต้องไม่ลืมปรึกษาศัลยแพทย์ก่อนถึงผลดีผลเสียของวิธีการแต่ละวิธี.

นพ.ประกาศิต จิรัปปภา
ภาควิชาศัลยศาสตร์ แผนกศัลยกรรมต่อมไร้ท่อและเต้านม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=493&contentID=6377

 




Insert movie times and more without leaving Hotmail®. See how.

พุทธมณฑล ส่งเรื่องราวดีดีมาให้คุณอ่าน

คุณ พุทธมณฑล ได้เข้าเวบ www.oknation.net และส่งเรื่องราวดีดีมาให้คุณอ่าน : อ่านเรื่อง คลิ๊กที่นี่ http://www.oknation.net/blog/badphoto/2009/07/03/entry-1 ....................................................................... ผู้ส่ง พุทธมณฑล

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

5 โรคฮิตรุมเร้า หนุ่มสาวออฟฟิศ ส่งเรื่องราวดีดีมาให้คุณอ่าน

คุณ 5 โรคฮิตรุมเร้า หนุ่มสาวออฟฟิศ ได้เข้าเวบ www.oknation.net และส่งเรื่องราวดีดีมาให้คุณอ่าน : อ่านเรื่อง คลิ๊กที่นี่ http://www.oknation.net/blog/hr/2009/07/03/entry-1 ....................................................................... ผู้ส่ง 5 โรคฮิตรุมเร้า หนุ่มสาวออฟฟิศ

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สธ.เผยครม.ตีกลับกรมบัญชีกลางทบทวนห้ามเบิกจ่ายยาสมุนไพร ไม่มีกำหนด ระบุสวนทางสนับสนุนยาสมุนไพรในประเทศ


สธ.เผยครม.ตีกลับกรมบัญชีกลางทบทวนห้ามเบิกจ่ายยาสมุนไพร ไม่มีกำหนด ระบุสวนทางสนับสนุนยาสมุนไพรในประเทศ
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงประกาศกรมบัญชีกลาง ว่าด้วยระเบียบใหม่ของกระทรวงการคลังในการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาล ข้าราชการ โดยให้ยกเลิกการเบิกจ่ายยาสมุนไพรนอกบัญชียาหลักให้แก่ข้าราชการ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ว่า ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (30 มิ.ย.) ได้มอบให้กรมบัญชีกลางกลับไปทบทวนเรื่องดังกล่าว เพราะมองว่าการยกเลิกเบิกจ่ายยาสมุนไพรแก่ข้าราชการ สวนทางนโยบายสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรในประเทศ และการยกระดับให้การรักษาด้านแพทย์แผนไทยเป็นทางเลือกให้แก่คนไทยและทั่วโลก
ด้านเครือข่ายส่งเสริมการใช้ยาจากสมุนไพรแห่งประเทศไทย มองว่า หากประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้จะทำให้ข้าราชการส่วนใหญ่ถูกปิดกั้นการรักษา เพราะประกาศดังกล่าวนอกจากห้ามไม่ให้ข้าราชการเบิกยาสมุนไพรแล้ว ยังห้ามเบิกการนวดบำบัดและห้ามสถานพยาบาลออกหนังสือรับรองกรณีใช้ยานอกบัญชี ยาหลักอีกด้วย ถือเป็นการเอื้อต่อธุรกิจยาแผนปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด  
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/life/20090701/56297/ครม.สั่งยกเลิกห้ามเบิกยาสมุนไพรไม่มีกำหนด.html

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

แพทย์หญิงเชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับเปลี่ยนเงินเดือนและค่าตอบแทนแพทย์ในภาคราชการ เดินทางมาที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง 4 ข้อ


กลุ่มผู้ชุมนุมสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์ ฯ ข้อเสนอเพิ่มค่าตอบแทนแก่แพทย์และบุคลากร

กลุ่มผู้ชุมนุมสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์และโรงพยาบาลทั่วไป ยื่นข้อเสนอเพิ่มค่าตอบแทนแก่แพทย์และบุคลากร
กลุ่มผู้ชุมนุมสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์และโรงพยาบาลทั่วไปกว่า 300 คน 30 โรงพยาบาล นำโดยแพทย์หญิงเชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับเปลี่ยนเงินเดือนและค่าตอบแทนแพทย์ในภาคราชการ เดินทางมาที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง 4 ข้อ คือ
1.การจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงแก่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับ
2.การเพิ่มค่าตอบแทนการปฏิบัติราชการในเวลาวิกาลและนอกเวลาราชการ ให้มีอัตราเท่ากับราชการท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร
3. การขอแยกตำแหน่งและอัตราเงินเดือนจาก กพ.
4."ปฏิรูประบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข" เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยในการไปตรวจรักษาสุขภาพ และบุคลากรทางการแพทย์มีเวลาทำงานบริการประชาชนอย่างมีคุณภาพ อันจะเป็นการป้องกันความเสียหายต่อสุขภาพ และลดปัญหาการฟ้องร้องแพทย์
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับนายแพทย์ปราชญ์ บุญวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255207010119&tb=N255207

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




What can you do with the new Windows Live? Find out

http://www.curadio.chula.ac.th/thaiuradio/radiobroadcasting.asp

http://www.curadio.chula.ac.th/thaiuradio/radiobroadcasting.asp
http://www.curadio.chula.ac.th/


Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com





Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

Partnering พลังผนึกช่างผม+ลูกค้า งามหมดจด ศีรษะจรดปลายเท้า !

Partnering พลังผนึกช่างผม+ลูกค้า
งามหมดจด ศีรษะจรดปลายเท้า !
โดย แดงส์ ตักสิลา 15 มิถุนายน 2552 13:26 น.
       fashionhora@gmail.com
       


       เส้นผมมีชีวิตคนเดียวไม่ได้ !
       
       เวลามีคนมาเรียนแฟชั่นดีไซน์สไตล์ตักส์ศิลา ต้องการเรียนรู้แค่การออกแบบเสื้อผ้า แต่ผมกลับเริ่มต้นสอนให้เขามองภาพรวมศีรษะจรดเท้า และย้ำว่าเสื้อผ้าไม่ได้อยู่บนไม้แขวน แต่มันอยู่บนเรือนร่างของลูกค้า เคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กับทุกส่วนที่รวมเป็นภาพรวมสะท้อนภาพลักษณ์ตัวตนลูกค้า ดังนั้นจะเรียนแฟชั่นดีไซน์กับตักส์ศิลา ต้องเข้าใจองค์ประกอบ 4+1 ของสไตล์แฟชั่นเสียก่อน
       
       ทบทวนสักนิด สำหรับผู้ที่อาจลืม หรือเพิ่งเข้ามาอ่าน
       
       แฟชั่นคือ การแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกาย ที่ทุกคนคุ้นเคยและผูกพัน ได้แก่
       
       1. ทรงผม-หน้าตา (HM: Hairstyle & Make Up)
       2. เสื้อผ้าชั้นในและชั้นนอก (CH: Clothes >Inner & Outer Wear)
       3. รองเท้าและกระเป๋าถือ (SB: Shoes & Bags)
       4. เครื่องประดับและกลิ่นกาย (AC: Accessories)
       5. สุขภาพ อนามัย (HW: Health & Well Being)
       
       ผมจะไม่อธิบายรายละเอียดว่าคืออะไร แต่อยากให้มองเป็นภาพรวม (Total Look) ว่าเราเต็มตัวจากกระจกเงาที่ส่องได้เต็มตัวเช่นไร ลูกค้าก็เห็นตัวตนในภาพรวมหลังแต่งกายด้วยองค์ประกอบดังกล่าวเช่นกัน
       
       ช่างผมส่วนใหญ่มีกระจกเงาให้ลูกค้ามองเห็นเฉพาะส่วนบน ช่างเสื้อจะมีห้องลอง หรือมีกระจกเงาที่ส่องเห็นเต็มตัว เวลาให้ลูกค้าลองเสื้อผ้า และก็แปลกมากครับ ด้วยประสบการณ์ที่ผมเป็นลูกค้าช่างผม และผมก็เคยเป็นลูกค้าช่างตัดเสื้อ เวลาทำผมเสร็จ มองเห็นตัวเราเฉพาะส่วนศีรษะว่าดูดี หล่อ สวย น่ารัก ระดับใดเท่านั้น เวลาไปลองเสื้อ โดยเฉพาะตามห้องเสื้อ ในห้างสรรพสินค้า ช่างเสื้อ หรือพนักงานขาย (P.C.) ก็จะมองเราเฉพาะบนเสื้อผ้าเช่นกัน

       บริหารความสำคัญสไตล์ใหม่ของเส้นผม และเสื้อผ้าให้มีพลังเกี่ยวเนื่องผมเห็นคนหลายคนเปลี่ยนสไตล์เส้นสายลายเส้นผม ด้วยลีลาแห่งพลังชีวิตเส้นผมสไตล์ล่าสุด ทั้งเป็นคนเลือกเอง ช่างผมเลือกให้ หรือนำค่านิยมไปหาช่างผม พอเปลี่ยนสไตล์เส้นผม ซึ่งอาจดูแรง แปลกตา แต่ยังคงใส่เสื้อผ้าแนวเดิม ที่มากับทรงผมเดิมก่อนเปลี่ยน หรือไม่ก็ไปเปลี่ยนสไตล์ที่ดูเยอะ ดูแรงตามสไตล์ผม ที่อาจทั้งทำสีแรงๆ หรือไฮไลท์เป็นจุดๆ ดูขัดๆ ตากันพอควร
       
       ขณะเดียวกันก็มีคนเปลี่ยนสไตล์การแต่งกายด้วยแฟชั่นล่าสุดเช่นกัน อาจเลือกเอง มีคนแนะนำ มีดีไซเนอร์ออกแบบให้ หรือเลือกตามค่านิยมกลุ่ม บ่อยครั้งที่เสื้อผ้าเปลี่ยนแนวแล้ว แต่ส่วนอื่นยังหยุดอยู่กับที่ ตั้งแต่รองเท้า กระเป๋าถือ เครื่องประดับ และสุดท้ายคือ สไตล์เส้นผม
       
       นั่นคือ เหตุปัจจัยที่ทำให้การเรียนการสอนด้านแฟชั่นดีไซน์สไตล์ตักส์ศิลาของผม จึงเน้นให้ผู้เรียนรู้ ต้องเข้าใจภาพรวม และเป็นที่มาของการคิดค้น HEP Lifecode หรือรหัสพลังตัวตน ซึ่งมีกลุ่มอักขระรหัส 6 กลุ่มมาเป็นเครื่องมือจัดรหัสภาพ (HEP Encoding) หรือถอดรหัสภาพ (HEP Decoding)
       
       แตกต่างอย่างมีตัวตนได้อย่างไร ?
       
       ครั้งนี้จึงอยากนำเอา 1 ในกลุ่มอักขระรหัสมาแนะนำเป็นเทคนิคง่ายๆ ให้ช่างผมนำเอาไปใช้ประโยชน์ ทั้งการประเมินภาพรวมตนเอง หรือประเมินภาพรวมลูกค้า และเป็นลูกเล่นในการแนะนำลูกค้าได้อีกด้วย เพราะแทนที่ลูกค้าจะได้สไตล์เส้นผมใหม่ แล้วไปผจญภัยกับหลากสไตล์ที่สับสนด้วยตนเอง แต่กลับได้รับคำแนะนำนิดๆ หน่อยๆ จากช่างผมคู่ใจ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความแตกต่างให้ตัวตน อย่างมีเอกลักษณ์ (Independently Unique)

       กลุ่มอักขระรหัสแรกคือ จุดเด่นหลัก (Highlight) มีอักขระ 4 ตัว คือ F D C M
       
       F คือ Form หมายถึง รูปทรงโดยรวมของสไตล์เส้นผม
       D คือ Detail หมายถึง รายละเอียดของเส้นผม อาจเน้นเส้นผมเรียบคม หยักลอน หรือจัดชั้น มีการดัด หรือมีการทำ Texture แปลก
       C คือ Color หมายถึง สีสันของเส้นผม อาจสีดำตามธรรมชาติ สีสันปรุงแต่ง ทั้งศีรษะ หรือเน้นเป็นสไตล์ไฮไลท์เฉพาะจุด ทั้งสีเดียว หรือจัดคู่สีผสมผสาน
       M คือ Material หมายถึง คุณภาพของเส้นผม ทั้งเส้นผมที่แข็งแรง เส้นผมที่ต้องการดูแล หรือเทคนิคการเสริมหรือต่อเส้นผม
       
       อักขระรหัสนี้ ผมอยากให้ช่างผมพิจารณาว่า สไตล์ที่เลือกให้ลูกค้า คิดว่ามันเด่นที่สุโที่อักขระตัวใด และตัวใดเป็นตัวเสริม และตัวใดเป็นตัวรอง หมายความว่า คงต้องมีจุดเด่นหลักเพียงจุดเดียว
       
       รู้ตัวเห็นตัวตนที่แท้จริงของลูกค้าได้อย่างไร ?

       
       กลุ่มอักขระรหัสสอง คือ จุดเน้น (Focus) มีอักขระ 5 ตัว คือ HM CH SB AC HW
       
       HM คือ Hairstyle & Make Up หมายถึง ต้องพิจารณาว่าลูกค้าเป็นคนให้ความสำคัญในการแต่งกายด้วยจุดเน้นหลัก คือ การมีสไตล์เส้นผมการแต่งหน้าที่พิถีพิถันเป็นจุดเน้นหลัก
       CH คือ Clothes หมายถึง ต้องพิจารณาว่าลูกค้าอาจให้ความสำคัญต่อการเลือกเสื้อผ้าเป็นหลัก และส่วนอื่นๆ เป็นแค่ส่วนเสริม
       SB คือ Shoes & Bags หมายถึง มีลูกค้าจำนวนมากที่ให้ความสำคัญในการเน้นด้านการเลือกใส่รองเท้าและถือกระเป๋าที่ดูดี มีราคา และอาจเน้นแบรนด์ดังระดับโลก นอกนั้นจะถือเป็นส่วนประกอบ

       AC คือ Accessories หมายถึง ลูกค้าอาจสนใจแต่งกายด้วยเครื่องประดับมากๆ ทั้งของเทียม ของแท้ ขณะที่ให้จุดอื่นเรียบง่าย
       HW คือ Health & Well Being หมายถึง ลูกค้าที่อาจสนใจด้านการดูแลรักษาผิวพรรณ รูปร่าง การศัลยกรรมลดส่วนเกิน เสริมส่วนขาด ชอบออกกำลังกาย เล่นโยคะ เล่นกีฬา ซึ่งจะมีสไตล์ในการเลือกส่วนอื่นๆ ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากในการดูแล
       
       ถ้าเราเข้าใจในพลังตัวตนจากการกำหนดอักขระรหัสทั้ง 2 ได้ชัด ก็น่าจะทำให้มีแนวทางในการแนะนำให้ลูกค้าแต่งกายให้ดูดี มีพลัง และมีตัวตนเหมาะสมกับสไตล์ล่าสุดของเส้นผม เพื่อสร้างพลังตัวตนให้ดูดีหมดจดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
       
       เส้นผมสไตล์แรงจัด ควรเลือกเสื้อผ้าแบบใด ?
       
       จากภาพสไตล์เส้นผมที่กำลังมาแรงที่ผมนำภาพมาประกอบ ถือว่าเป็นสไตล์ที่เน้น F ด้วยรูปทรงที่ดูเนี้ยบ เน้น D ที่รูปแบบการตัดแนวกราฟฟิก ส่วนอื่นๆเป็นแค่องค์ประกอบ จะเห็นได้ว่า ด้วยความแรงและเนี้ยบของสไตล์นี้ เป็นโจทย์บังคับให้ลูกค้าต้องดูแลการแต่งหน้าให้เนียน เนี้ยบคม หรือผิวหน้าสะอาดหมดจด เสื้อผ้าต้องเรียบโก้ หรือหากมีรายละเอียดมาก ก็ต้องคุมด้วยโทนสีคลาสสิก กลมกลืน และใช้เนื้อผ้ามีคุณภาพ รองเท้ากระเป๋าถือคงต้องเรียบ ส่วนเครื่องประดับควรเน้นของที่ดูดี มีคุณค่า ไม่โหล (แต่ไม่ได้หมายถึงแพงนะครับ)
       

       ท่านที่เพิ่งเข้ามาอ่านอาจงงกับ "รหัสพลังตัวตน หรือ HEP Lifecode" สามารถอ่านนิยามและความหมายได้จากหลายตอนที่ผ่านมา ซึ่งยังคงมีให้อ่านครบถ้วน
       

http://www.manager.co.th/lady/viewnews.aspx?NewsID=9520000067320


Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




See all the ways you can stay connected to friends and family

จัดรหัสสื่อพลังตัวตน ชุดทำงาน 3 สไตล์


จัดรหัสสื่อพลังตัวตน ชุดทำงาน 3 สไตล์
Uniform, Unity, Freestyle
โดย แดงส์ ตักสิลา 1 มิถุนายน 2552 12:09 น.
       เรื่องง่ายๆ เรื่องธรรมดา เรื่องปกติ หมุนเวียนต่อเนื่องตามวันเวลาที่แต่งตัวออกไปทำงาน ที่กลายมาเป็นผลลัพธ์ที่ซ่อนเร้นในอารมณ์ส่วนลึกของแต่ละคน และแต่ละกลุ่มสังคมสาวทำงาน
       

       ภาพรวมที่ปรากฏบนกระจกเงาส่องเต็มตัว เป็นผลลัพธ์เมื่อผสมผสานชิ้นส่วนต่างๆ ที่เรียกว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ใส่ซ้อนคลุมไปบนเรือนร่าง ภาพที่ปรากฏประเมินด้วยอารมณ์และเหตุผล ทบทวน ทำใจ ชื่นใจ แล้วสูดลมหายใจ ยืดอก เดินออกไปขึ้นรถไปทำงาน ด้วยภาพที่หลากอารมณ์จากผลรวม ของชิ้นส่วน ที่เลือกแต่งเอง (Freestyle) หรือแต่งตามที่ถูกกำหนด (Uniform/ Unity) ภาพรวมนั้นมันเป็นทั้งพลังบวกและพลังลบต่อพลังตัวตน ในการมีชีวิตในที่ทำงานแต่ละวัน
       


       UNIFORM: แต่งสไตล์ยูนิฟอร์ม
       
       นิยามแรกของเครื่องแต่งกายไปทำงาน ( Workwear Style I ) หมายถึง ทุกอย่างเหมือนกันหมด รูปแบบที่ดีไซน์ คือ ชิ้นส่วน (Items) รูปทรง (Form) คอ แขน การตกแต่ง (Details) สีสันลวดลาย(Colors) และชนิดของเนื้อผ้า (Material) อาจได้มาจากการจ้างดีไซเนอร์แบรนด์ดัง หรือผู้บริหารเปิดแมกกาซีนชี้นิ้วเลือก คุยกับร้านขายผ้า ผสมผสานตามแนวคิดของผู้บริหาร สรุปแบบ แล้วฟันธง ตัดเย็บให้ทุกคนใส่เหมือนกันหมด ทุกวัย ทุกรูปร่าง ทุกหน้าตา และผิวพรรณ
       
       ข้อดี มีพลังตัวตนองค์กรเป็นเอกภาพดี เพราะสีสัน รูปแบบดูผ่านๆ เหมือนกันหมด เหมือนกองทัพ
       
       ข้อเสีย ความแตกต่างของผู้ใส่ วัยอายุ รูปร่าง ผิวพรรณ การเลือกทรงผม แต่งหน้า รองเท้ากระเป๋าถือ เครื่องประดับ ที่หลากรสนิยม เพราะผู้บริหารกำหนดไม่ได้ ทำให้เกิดมลภาวะทางสายตา

       UNITY: แต่งสไตล์ยูนิตี้
       
       นิยามสองของเครื่องแต่งกายไปทำงาน ( Workwear Style II ) หมายถึงเอกภาพด้านสีสันจากเนื้อผ้า ซึ่งอาจเป็นผ้าพื้น และผ้าที่มีการสั่งทอ หรือสั่งพิมพ์ลายสัญลักษณ์ ส่วนรูปแบบให้ไปดีไซน์หรือเลือกกันเอาเองตามใจชอบ บางทีก็อาจมีการกำหนดเป็นชิ้นส่วนหลัก เช่น กระโปรงลักษณะใด กางเกงลักษณะใด เสื้อมีปกลักษณะใด เป็นต้น
       
       ผู้บริหารไม่ได้คิดอะไรลึกล้ำนัก แค่มองไปแล้วเห็นเป็นพวกเดียวกัน ด้วยสีสันลวดลายเดียวกัน ก็พอแล้ว หรืออาจจะมีพวกลวดลายที่ดัดแปลงจากโลโก้องค์กร ก็ดูดีมีพลังในใจผู้บริหารเล็กน้อย
       
       ทีนี้ก็สนุกกันใหญ่ แฟชั่นโชว์ในที่ทำงานหลากสไตล์ ตามรสนิยม หรือกระแสค่านิยมแฟชั่นแต่ละคน แต่ละกลุ่ม ถ้าจะคิดเชิงบวก ก็สนุกดี มีความหลากหลาย แต่ถ้าจะคิดเชิงลบ มันรกดีจัง เพราะอาจมีบางคน บางกลุ่ม รู้จักคิดและเข้าใจชัดว่า ควรเลือกแบบที่สะท้อนการใส่ไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว ก็จะออกมาแนวเรียบๆ ดูน่าเชื่อถือ บางคนบางกลุ่มออกจากบ้านเช้ามืด กลับบ้านมืดแล้ว สไตล์ใดที่ไม่มีโอกาสแต่ง ก็นำมาสอดแทรกในชุดทำงาน ก็เลยดูแปลกๆ เหมือนชุดออกงานก็มี
       
       ยิ่งไปผสมผสานกับสไตล์ทรงผม การแต่งหน้า รองเท้ากระเป๋าถือ เครื่องประดับ ที่หากไม่จัดระเบียบให้เข้าพวกกันได้กับแบบเสื้อผ้า ก็อาจจะแย่งกันเกิด ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ภาพรวมสับสน ไม่รู้ใครเป็นใคร ก็คงไม่ต้องแยกข้อดีข้อเสีย เพราะเขียนสรุปรวมๆ แล้ว

       FREESTYLE: แต่งฟรีสไตล์
       
       นิยามสามของเครื่องแต่งกายไปทำงาน ( Workwear Style III ) หมายความตรงตามความหมายของคำว่า Free และ Style คือ อิสรเสรี อะไรก็ได้ ไม่มีกรอบบังคับ อาจมีข้อกำหนดเล็กน้อยว่าไม่ควรใส่อะไร นอกนั้นตัวใครตัวมัน
       
       ผู้บริหารคิดว่าบุคลากรควรมีเสรีภาพ และไม่ได้ใส่ใจว่า การแต่งกายตามสไตล์ตัวตนที่แตกต่างของแต่ละพลังตัวตน จะมีผลต่อพลังตัวตนองค์กรหรือไม่ วัดกันที่ผลงานเต็มๆ แต่งตัวดีแต่ผลงานแย่ กับแต่งตัวไม่ดีนักแต่ผลงานเยี่ยม หัวหน้าเจ้านายเจ้าของชั่งน้ำหนักเลือกประเด็นหลัง จึงไม่คิดที่จะให้ใส่สไตล์ Uniform หรือ Unity ให้อิสระเต็มๆ
       
       สนุกมากกว่า สิ้นเปลืองมากกว่า แต่มีชีวิตชีวากว่าเยอะเลย เพราะแต่คนได้เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ แยกแยะได้ชัดว่า ใครดูดี เหมาะสม ลงตัว มีพลังตัวตน มีพลังอาชีพ มีพลังองค์กร และพลังตัวตนสังคมครบด้านหรือไม่ สาวๆ ทำงานในองค์กรที่ให้แต่งกายฟรีสไตล์ ก็คงต้องตื่นมาตอนเช้า ต้องเลือกแต่ง เลือกใส่ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่มีอยู่ อาจซ้ำซาก จำเจ หรือต้องสิ้นเปลือกซื้อเพิ่ม ก็แล้วแต่จะเลือก

       แต่งให้ดูดี มีพลังตัวตนครบด้าน ด้วยรหัสพลังตัวตน (HEP Lifecode) ?
       
       หากไม่เคยคิดว่า นอกจากสายตาคู่เดียวคือ ของเรา มองไปในกระจกเงา เห็นภาพรวมที่ปรากฏเมื่อแต่งตัวเสร็จแล้ว ยังมีสายตาอีกหลายคู่มากมาย ที่เป็นกระจกเงาทางอารมณ์ หมายความว่า ถ้าสังเกต..จะเห็นภาพสะท้อนทางสายตาแต่ละคู่ว่า รู้สึกอย่างไรกับภาพรวมของการแต่งกายที่เราคิดว่าดูดี เหมาะสม ลงตัวแล้ว ยิ่งไปอยู่ในที่ทำงานก็จะมองเห็นคนอื่น และคนอื่นมองเห็นเราเช่นกัน
       
       แล้วพลังเหล่านั้นมันสื่ออารมณ์อะไรบ้างล่ะ ลองพิจารณาดูหน่อยไหม ?
       
       พลังตัวตน A สื่อภาพรวมแห่งความสงบ น่าเชื่อถือ ดูจริงจัง มั่นคง
       พลังตัวตน B สื่อภาพรวมแห่งความอ่อนโยน อบอุ่น เป็นกันเอง ประนีประนอม
       พลังตัวตน C สื่อภาพรวมแห่งความมีเสน่ห์ น่าสนใจ ตื่นตา ไม่น่าเบื่อ สนุก สุนทรีภาพ
       พลังตัวตน D สื่อภาพรวมแห่งความท้าทาย โดดเด่นสะดุดตา ตื่นเต้นเร้าใจ หวือหวา แปลกตา
       
       
พลังตัวตนทั้ง 4 จะมีอยู่ในตัวตนของทุกคน ทุกองค์กร และมักจะปรากฏเป็นพลังตัวตนหลักพลังใดพลังหนึ่งนำหน้าให้เห็นเด่นชัด แล้วตามด้วยพลังตัวตนอื่นๆ ซึ่งอาจมีเพียงแค่ 2 พลัง หรือ 3 พลัง หรือทั้ง 4 ก็ได้ ประเด็นคือตอนนี้คงต้องประเมินด้วยตนเองว่า ภาพรวมของการแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็น Uniform, Unity, Freestyle สื่อพลังตัวตนใดมากที่สุด จากนั้นลองพิจารณาพลังตัวตนอาชีพ ที่ทำพลังตัวตนองค์กรที่ทำงานด้วยว่า มีพลังตัวตนใดนำหน้า ตรงกับพลังตัวตนหลักของเรา หรือไม่ตรง
       
       เมื่อประเมินเบื้องต้นง่ายๆ ก็จะเห็นภารกิจที่ต้องปรับปรุง ปรับแต่ง หรือปรับเปลี่ยน ด้วยการลดเพิ่มพลังตัวตน ให้สัมพันธ์กับพลังตัวตนอาชีพและองค์กร
       
       ต่อไปคือหากจะเลือกแต่งกายสื่อพลังตัวตนอื่นๆ บ้าง เช่น หากเป็นคนมีพลังตัวตนหลัก A ซึ่งอาจรู้สึกว่าดูเคร่งเครียดไป อยากดูอ่อนโยนนุ่มนวลบ้าง ก็ต้องสื่อพลังตัวตน B คงต้องหาสีสันที่อ่อนหวาน ลวดลายธรรมชาติมาสอดแทรก ดังนั้นเป็นหลักง่ายๆ เบื้องต้น คือ ต้องการมีพลังตัวตนใด ก็เลือกรหัสพลังตัวตนที่ต้องการนั้น มาเป็นพลังตัวตนนำ
       
       การแต่งกายสไตล์ UNIFORM ควรทำความเข้าใจให้ได้ว่า เครื่องแบบนั้นสื่อพลังตัวตนรหัสใด แล้วปรับแต่งสไตล์ทรงผม แต่งหน้า เลือกรองเท้า ถือกระเป๋า ใส่เครื่องประดับ และน้ำหอม ให้ตรงกับรหัส
       
       
การแต่งกายสไตล์ UNITY ควรทำความเข้าใจรหัสตัวตนองค์กร ภารกิจการงานว่าอยู่ในรหัสพลังตัวตนใด แล้วไปเลือกแบบเสื้อผ้าที่น่าจะสอดคล้องสัมพันธ์กับรหัสพลังตัวตนนั้น ซึ่งคงไม่ไร้ขีดคั่นแน่นอน ต่อไปก็เช่นกัน ดูแลรูปแบบทรงผม แต่งหน้า ใส่รองเท้าถือกระเป๋าเลือกเครื่องประดับให้เหมาะสมกับรหัส
       
       การแต่งกายสไตล์ FREESTYLE
สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจในภาพลักษณ์องค์กร ลักษณะภารกิจการงานว่า เราน่าจะแต่งกายสะท้อนพลังตัวตนใด และควรจะมีรายละเอียดองค์ประกอบที่หลากหลาย แต่มีพลังสะท้อนตัวตนสัมพันธ์กันกับรหัสพลังตัวตนองค์กรหรืออาชีพ เวลาไปเลือกซื้อชิ้นส่วนเสื้อผ้า เลือกทรงผม และส่วนอื่นๆ จะได้เลือกได้อิสระภายใต้ภาพรวมรหัสตัวตนที่เข้าใจ
       

       
ปัญหาการแต่งกายสไตล์ Workwear ด้วยเงื่อนไข 3 รูปลักษณ์ดังกล่าว ยังเป็นปัญหาทางสายตาของตัวผู้แต่ง ผู้พบเห็น เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร แต่มันเหมือนเป็นเส้นผมบังภูเขา ที่แก้ได้ยากเย็นมาก เพราะขาดการพิจาณาภาพรวมด้านพลังตัวตนหลัก หากสนใจต้องการให้วิเคราะห์จัดรหัสพลังตัวตนองค์กร หรือถอดรหัสพลังตัวตนบุคลากร ก็สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถาบันแดงส์ตักส์ศิลา หรือ daengstaxila@gmail.com ยินดีให้คำแนะนำเพิ่มเติม...
       

       ภาพประกอบจาก www.donnakaran.com

http://www.manager.co.th/lady/viewnews.aspx?NewsID=9520000061197

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




What can you do with the new Windows Live? Find out

วัดพลังตัวตนให้ดูดี เหมาะสม ลงตัว ด้วยตนเอง !


Self-Assessment
วัดพลังตัวตนให้ดูดี เหมาะสม ลงตัว ด้วยตนเอง !
โดย แดงส์ ตักสิลา 8 มิถุนายน 2552 12:43 น.
       fashionhora@gmail.com
       
       ศาสตร์แห่งศิลปะการแต่งกาย (Taxila's Dress Sense Art) ถือว่าแค่เสี้ยววินาทีที่คุณปรากฏกายให้ผู้คนรอบด้าน ทั้งที่รู้จักหรือไม่รู้จัก ภาพสะท้อนตัวตนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า อันเป็นผลรวมจากผลลัพธ์ การผสมผสานองค์ประกอบเครื่องแต่งกายทั้งหมด จะสื่อให้ทุกคนเห็นตัวตนที่แท้จริงของคุณได้ว่า มีพลังตัวตนอารมณ์ใด ? ดูดี(Look Good) เหมาะสม (Look Right) ลงตัว (Look Great) หรือไม่ ?
       
       


       3 นิยามง่ายๆ แต่มีผลรวมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพลังตัวตนภายในของคุณ ว่าด้วยจุดประสงค์ในการเลือกแต่งกายที่คิดว่าน่าจะใช้เวลาไตร่ตรอง และตัดสินใจดีแล้วนั้น ใช่ หรือ ไม่ใช่ กับพลังที่คุณต้องการสื่อให้ตัวเองเกิดความเชื่อมั่นทุกครั้งที่ส่องกระจกเงา หรือประเมินจากสายตาคนรอบด้าน
       
       อยากจะนำเอา 3 นิยามนั้น ซึ่งได้เคยเกริ่นไว้กว้างๆ มาหลายครั้ง มาเน้นให้นำไปใช้ "วัดพลังตัวตน ด้วยตนเอง (Self-Assessment)" เมื่อแต่งกายเสร็จสรรพ
       
       ดูดี รู้สึกดี (Look Good, Feel Good)
       อารมณ์แรกเมื่อแต่งกายเสร็จ ยืนมองตนเองด้วยภาพสะท้อนเต็มตัว คุณรู้สึกดีอย่างไร จากภาพที่คุณคิดว่าดูดีแล้ว และมีข้อสรุปว่า ใช่ ตรงตามพลังอารมณ์ตัวตนที่ต้องการเห็นตน เมื่อแต่งกายสไตล์นั้นๆ
       
       เหมาะสม รู้สึกใช่ (Look Right, Feel Right)
       อารมณ์ระดับสอง เมื่อดูดี รู้สึกดี คุณอาจรู้หรือไม่รู้ก็ได้ว่า ภาพที่คุณปรากฏกายในสายตาผู้อื่นเมื่อรู้สึกว่า คุณแต่งกายดูดี จะถูกประเมินด้านความเหมาะสมอีก 3 จุดคือ ดูดีแล้ว เหมาะสมกับรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ วัยของคุณหรือไม่ ? ดูดีแล้ว เหมาะสมกับหน้าที่การงาน บทบาท ภารกิจ และองค์กรที่คุณทำงานหรือไม่ ? ดูดีแล้ว เหมาะสมกับโอกาส สถานที่ กิจกรรม บรรยากาศ ที่คุณต้องไปมีส่วนร่วมในสังคม หรือกิจกรรมทางธุรกิจกับผู้อื่น หรือไม่ ?
       
       ลงตัว พลังตัวตนเต็มเปี่ยม (Look Great, Feel Great)
       อารมณ์ระดับสาม และเป็นผลรวมที่สำคัญที่สุด และเป็นมลภาวะที่เป็นพิษต่อภาพรวมของภาพลักษณ์การแต่งกายของบางคนมาก เพราะในจุดนี้เกิดจากความลงตัวในการจัดสมดุล 4+1 องค์ประกอบเครื่องแต่งกาย ที่ต้องพิจารณาว่า จะเน้น(Highlight) ที่องค์ประกอบใด หรือต้องการให้องค์ประกอบใดเป็นจุดเด่นหลัก และมีส่วนประกอบอื่นเป็นตัวเสริม หรือเกี่ยวเนื่อง

       5 กำหนดพลังตัวตนความลงตัวของ 4+1 องค์ประกอบเครื่องแต่งกาย
       
       1. ถ้าคุณเน้นความสำคัญของทรงผมและการแต่งหน้า(HM : Hairstyle & Make Up) คุณคงต้องการให้คนอื่นเห็นว่า วันนี้พลังตัวตนของคุณอยู่ที่ทรงผมและแต่งหน้า คงต้องเลือกองค์ประกอบอื่นให้ดูเรียบสงบ
       
       2. ถ้าคุณเน้นชุดเท่ห์ ชุดเก๋ ผ้าสวย (CH : Clothes) คุณคงต้องการให้ใครๆ เห็นชุดสวยที่คุณตั้งใจใส่มา ทรงผมหน้าตา และองค์ประกอบอื่นๆ คงต้องควบคุมให้สงบ กลมกลืนเช่นกัน
       
       3. ถ้าคุณเน้นรองเท้าเก๋ หรือกระเป๋าถือโก้ (SB : Shoes/ Bags) คุณก็คงอยากให้รองเท้า หรือกระเป๋าถือที่อุตส่าห์เลือกเน้น เด่นเห็นชัด ก็คงต้องเข้าใจว่า องค์ประกอบอื่น และรวมไปถึงเครื่องประดับต้องนิ่งๆ
       
       4. ถ้าคุณเน้นเครื่องประดับทั้งแท้ หรือวัสดุประดิษฐ์ (AC : Accessories) ที่อาจอยู่ที่ติ่งหู คอ ข้อมือ เรียวนิ้ว หรือกลัดติดบนเสื้อ และแน่นอนคุณต้องการให้มันเกิด และเกิดอย่างโดดเด่นด้วยองค์ประกอบทุกอย่างที่เหลือ ต้องมีส่วนในการเสริมพลังตัวตนให้เครื่องประดับนั้นโดดเด่น มิได้ถูกทำให้ไร้ค่า
       
       5. ถ้าคุณเป็นคนห่วงใยสุขภาพ(HW : Health & Well Being) เน้นการบริหารร่างกาย ควบคุมอาหาร เล่นโยคะ เล่นกีฬา ต้องการสื่อหน้าตา ที่สดใส ร่างกายที่เฟิร์ม เนื้อตึง แน่น คงไม่ไปแต่งหน้าให้ดูเหมือนนางแบบบนแคทวอล์ค ใส่เสื้อผ้าหวือหวาปกปิดส่วนที่ต้องการให้เห็น สไตล์ที่เหมาะสมกับคนสนใจแบบนี้ คงต้องออกแนวเรียบง่าย ซึ่งจะเข้าสูตรนิยามสุดยาก คือ Simple isn't Easy (เรียบง่าย ไม่หมู)
       

       ในนิยามสุดท้าย (ความลงตัว) จำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และลองผิดลองถูก เป็นการประเมินขั้นตอนสุดท้ายหน้ากระจกเงา มองให้ขาดว่า จุดใดเด่น จุดใดขัดกัน และที่สำคัญต้องกำหนด พลังอารมณ์ตัวตนให้ชัดก่อน แล้วนำพลังตัวตนนั้นมาเป็นเกณฑ์ในการวัด
       


       ฝึกทดลองวัดพลังตัวตนด้วยตนเองอย่างง่ายๆ
       
       เป็นสภาวะปกติในชีวิตประจำวัน และเป็นช่องว่างระหว่างอารมณ์ช่วงกำลังแต่งตัว ที่ต้องเติมเต็มต่อแต้มให้ได้ด้วย 3 นิยามที่แนะนำ ลองสมมุติเป็นกรณีว่า กำลังจะแต่งสไตล์ไปทำงาน (Workwear Style) และคุณกำหนดพลังตัวตนหลักชัดแล้วว่า เป็นพลังตัวตน A หรือพลังตัวตน B หรือพลังตัวตน C หรือพลังตัวตน D และหยิบเครื่องแต่งกายซึ่งสมมุติเป็นแนว Freestyle และอาจอยู่ในประเภท Coordinates หรือ Mix & Match แต่งเสร็จมองตัวเองในกระจกเงา แล้ววัดพลังตัวตนด้วยสายตาตนเองดังนี้
       
       ดูดี(Look Good) เราต้องรู้สึกว่าเห็นภาพรวมชั่ววินาที แล้วดูดีตรงตามอารมณ์แห่งพลังตัวตนนั้นไหม ? สื่อภาพรวมสะท้อนพลังตัวตนที่แท้จริงของคุณไหม? (Personal Image Power)
       
       
เหมาะสม(Look Right)
ตรงนี้ประเมินด้วยว่า เป็นการแต่งกายไปทำงานนะ ไม่ได้ไปเที่ยว และดูเหมาะสมกับรูปร่าง สัดส่วน หน้าที่การงาน และที่ทำงานไหม ? สื่อภาพรวมสะท้อนพลังตัวตนอาชีพและองค์กรที่คุณทำงานอยู่ไหม ? (Career & Corporate Image Power)
       

       ลงตัว (Look Great)
ตรงนี้ส่วนใหญ่ผิดพลาดมาก เพราะมักประเมินทีละจุด เป็นการมองภาพเฉลี่ยความสัมพันธ์ศีรษะจรดเท้า ทรงผม-แต่งหน้า เสื้อผ้า รองเท้า-กระเป๋าถือ เครื่องประดับ กลิ่นน้ำหอม มองรวมเกิดภาพสะท้อน (Image) ตรงตามนิยามแห่งรหัสพลังตัวตนที่กำหนดไหม ? ถ้าไม่ตรง หาจุดที่ขัดแย้ง แล้วปรับเปลี่ยน
       

       
ผมมีภาพแฟชั่นผลงาน Dior มาฝาก เลือกเฉพาะภาพที่น่าจะวัดพลังตัวตนครบ 3 นิยามมาให้ดูเป็นตัวอย่าง อยากดูเพิ่มก็เข้าไปที่ www.dior.com นะครับ
       


http://www.manager.co.th/lady/viewnews.aspx?NewsID=9520000064207

Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

วันนี้คุณแต่งตัวไปงานตรงตาม Dress code หรือไม่ ? (1)

วันนี้คุณแต่งตัวไปงานตรงตาม Dress code หรือไม่ ? (1)
โดย แดงส์ ตักสิลา 23 มิถุนายน 2552 18:06 น.
       fashionhora@gmail.com
       
       การแต่งกาย ที่อดีตเป็นแค่การนุ่งห่มปกปิดร่างกาย โดยเน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก และค่อยๆ พัฒนาเพิ่มความงาม หรือสุนทรียภาพ ในการมองเห็นภาพรวมตัวตนของตนเอง หรือมองเห็นคนรอบด้าน และเมื่อแฟชั่นคือ นิยามชัดว่าเป็นการแต่งกายให้ดูดี เหมาะสม ลงตัว เท่าทันเท่าเทียม กับกระแสแนวนิยมสากล หรือค่านิยมกลุ่ม การแต่งกายก็กลายมาเป็นศาสตร์แห่งศิลปะที่ล้ำลึก

       ในอดีตซึ่งปัจจุบันก็ยังคงอยู่ แต่เราจะสนใจหรือไม่ คือ การระบุ Dress code หรือรูปลักษณ์เฉพาะการแต่งกาย ที่มุมล่างซ้ายหรือขวาของบัตรเชิญ คำเฉพาะหรือที่เรียกว่า Dress code นั้นรับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมและค่านิยมสากล เป็นเสมือนรหัสภาพรวมพลังตัวตน (Image Power) ที่ผู้จัดงานกำหนดช่วงเวลา รูปแบบงาน สถานที่ บรรยากาศแล้ว ต้องการให้แขกที่ได้รับเชิญมางาน เลือกเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับงานนั้นๆ และด้วยความเป็นสากล คนที่เข้าใจมาตรฐานก็ต้องแต่งให้ตรงตามรหัส หรือ Dress code นั้น
       
       แต่ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าคนไทยแต่งตัวออกงานไปร่วมงาน ให้ความสำคัญกับ Dress code หรือไม่เข้าใจ หรือไม่สนใจ หรืออยากจะแต่งตามแต่ตนเองจะแต่ง ??

       พจนานุกรมของ Cambridge ให้นิยามของคำว่า Dress code 2 นิยามคือ
       dress code (noun)
       
       1 UK:
an accepted way of dressing for a particular occasion or in a particular social group: รูปแบบเฉพาะการแต่งกายเพื่อวาระโอกาส หรือกาลเทศะในกลุ่มสังคมเฉพาะที่กำหนดขึ้น นิยามอังกฤษส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งกายที่เป็นทางการ เช่น งานเลี้ยง งานราตรีสโมสร งานปาร์ตี้เฉพาะกลุ่ม
       

       2 US:
a set of rules for what you can wear: รูปลักษณ์เฉพาะเงื่อนไข หรือกติกาว่าด้วยสไตล์การแต่งกายที่เราควรจะใส่ไปแต่ละสังคม นิยามอเมริกันครอบคลุมเพิ่มไปถึงเรื่องเครื่องแบบพนักงาน นักเรียน นักศึกษา ที่ถือว่าเป็น Dress code เช่นกัน
       


       ไทยเราก็มีวัฒนธรรมการแต่งกายที่กำหนดรูปลักษณ์เชิง Dress code ไว้เช่นกัน แต่จะเริ่มต้นมาจากการแต่งกายไปร่วมพิธีการต่างๆ และพัฒนากลายมาเป็นเครื่องแต่งกายยามมีกิจกรรมวัฒนธรรมประเพณี ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินาถ ก็ได้ทรงพระราชทานเครื่องแต่งกายที่เรียกว่า "ชุดไทยพระราชนิยม" ซึ่งแยกเป็นไทยเรือนต้น ไทยอัมรินทร์ ไทยบรมพิมาณ ไทยดุสิต ไทยจักรี ไทยจักรพรรดิ เป็นต้น แต่ละสไตล์ก็มีความเหมาะสมสำหรับการแต่งไปร่วมงานในลักษณะต่างๆ มีรายละเอียดชิ้นส่วนองค์ประกอบชัดเจน ซึ่งปัจจุบันไม่แน่ใจว่า คนไทยจะยังรู้จักและให้ความสนใจหรือไม่
       
       ผมดูรูปถ่ายจากงานสังคมในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ข่าวสารผ่านรายการโทรทัศน์ ทั้งจากงานสังคมต่างๆ การมาเป็นแขกรับเชิญออกรายการ ทั้งเกมส์โชว์ ทอล์คโชว์ หรือนั่งเล่าเรื่องส่วนตัว เห็นสไตล์การแต่งกายแล้ว มีทั้งที่ดูดี เหมาะสม ลงตัว และมีทั้งดูดี แต่ไม่เหมาะสม และดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่งมาออกงาน เหมือนไม่ให้เกียรติ รวมทั้งแต่งในสไตล์ ที่ถือเป็นภาพลักษณ์เฉพาะตน ซึ่งเห็นชัดจากกลุ่มที่ทำงานด้านศิลปะ
       
       ผมเห็นบางคนใส่กางเกงยีนส์ เสื้อยืด ยืนถ่ายรูปกับคนอื่นๆ ที่แต่งตัวเนี้ยบเป็นทางการ ผมเห็นคนใส่กางเกงสามส่วน เสื้อปล่อยชาย ท่ามกลางคนแต่งตัวทำผมแต่งหน้าจริงจังเป็นทางการ ผมเห็นผู้หญิงบางคนปรากฏกายด้วยความยับเยินจากชุดที่คงใส่ทำงานมาทั้งวันแล้ว พร้อมๆ กับเห็นคนแต่งตัวแบบตั้งใจแต่งมากจนเกินบรรยากาศงาน

       อักขระรหัสกลุ่ม Occasion ของรหัสพลังตัวตน (HEP Lifecode) แยกออกเป็น
       อักขระรหัส W มาจาก Workwear Style คือ Dress code ที่เน้นให้แต่งกายด้วยภาพรวมพลังตัวตน สื่อชัดๆ ว่า แต่งตัวไปทำมาหากิน ซึ่งคงต้องแปรผันไปตามการงานที่ทำมาหากิน ด้วยหน้าที่การงานแบบใด
       
       อักขระรหัส SE มาจาก Social Event Style คือ Dress code ที่เน้นให้ต้องตระหนักว่า กำลังแต่งตัวไปให้คนอื่นมองเห็น ณ สถานที่สังคมต่างๆ ซึ่งคงต้องพิจารณาว่ากำลังไปปรากฏกายในสังคมที่กำลังมีกิจกรรมอะไร
       
       อักขระรหัส ATW มาจาก All Time Wear คือ Dress code ที่เน้นให้รู้ตัวเลยว่า วันนี้กำลังแต่งตัวในภาพรวมที่สื่อพลังตัวตน แบบลุยไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะไป Workplace หรือออกสังคม หรือไปงานเลี้ยงที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งคงต้องดูว่าเราเป็นใคร และต้องการสื่อภาพรวมพลังตัวตนใด มักเป็นเสื้อผ้าแนวผสมผสาน สลับสับเปลี่ยนชิ้นส่วนได้
       
       อักขระรหัส VO มากจาก Very Occasion Style คือ Dress code ที่ชัดเจนเลยว่า กำลังแต่งไปร่วมงานสังคมโอกาสพิเศษ มีการแจ้งล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏกาย ณ ที่ใด ร่วมกับใครบ้าง การแต่งกายอักขระรหัสนี้คือ ปัญหาเรื้อรังในปัจจุบัน เห็นผู้คนแต่งกายหลากหลาย และไม่เข้าใจว่าควรจะแต่งอย่างไร ให้ตนเองดูดี มีพลังตัวตน เหมาะสมกับรูปแบบงานและคนร่วมงาน
       
       
Dress code เป็นสาระที่น่าสนใจ ผมจะนำมาเล่าต่อในตอนต่อไป ตอนนี้แค่เริ่มเกริ่นให้เริ่มตระหนักกันก่อนว่า ต้องใส่ใจ สนใจ ตัวอักษรเล็กๆ มุมล่างซ้าย หรือขวาของบัตรเชิญว่า เขาระบุ Dress code ให้แต่งตัวนิยามใด และเข้าใจในนิยามนั้นหรือไม่ เพื่อจะได้เลือกแต่งกายด้วยองค์ประกอบที่มารวมตัวกันแล้ว ทำให้เราดูดีมีพลังตัวตน เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม
       
       ตอนต่อไปมาทำความรู้จักกับนิยามของแต่ละ Dress code ในบัตรเชิญ ตัวอย่างต่อไปนี้กันนะครับ Attire ,Outfit, Casual, Casual Sport, Smart Casual, Business Formal Attire, Business Casual Attire, Business Casual Sport Attire, Business Very Occasion Attire. 
       
http://www.manager.co.th/lady/viewnews.aspx?NewsID=9520000070976


Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com




Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!