วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มหัศจรรย์สมุนไพรไทย "ต้านโรค"

 
มหัศจรรย์สมุนไพรไทย "ต้านโรค"
คน สมัยนี้เป็นอะไรนิดหน่อยก็ชอบกินยา แถมยังเชื่อผิดๆ ว่า อยากมีสุขภาพดีชีวิตยืนยาวต้องรับประทานอาหารเสริม และวิตามินเยอะๆ แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะมหัศจรรย์เท่ากับสมุนไพรไทย ที่ทั้งราคาถูก ปลูกเองก็ง่าย และเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ต้านโรคภัยได้สารพัดนึก


ถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับสาม รองจากโรคหัวใจ และอุบัติเหตุ เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ ความบกพร่องทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม อาหาร รวมถึงความเครียด และการใช้ชีวิตเร่งรีบของคนเมือง "มะเร็ง" กลัวสมุนไพรไทยอยู่หลายตัว เพราะมีสารอาหารต้านโรคร้ายได้น่าทึ่ง

ใครอยากห่างไกลมะเร็ง แนะนำให้ทานกระเทียม และผักจำพวกหอม ซึ่งอุดมด้วยซัลเฟอร์ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานมะเร็งโดยธรรมชาติ ขณะที่ผักจำพวกกะหล่ำปลี มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้ และช่วยต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนขมิ้นขาวและขมิ้นชัน นอกจากจะมีสรรพคุณขับลมในลำไส้แล้ว ยังมีสารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วย สำหรับสาวๆ ควรทานผลไม้จำพวกส้มเป็นประจำ เพราะช่วยล้างสารก่อมะเร็ง และยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม

แพทย์ทางเลือกยังได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของมะรุม สมุนไพรไทยแท้ๆ ว่ากันว่า หากทานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โดยคนเฒ่าคนแก่นิยมกินมะรุมช่วงต้นฤดูหนาว เพราะเป็นช่วงที่ฝักมะรุมหาได้ง่าย วิธีทานมีทั้งการนำช่อดอกมะรุมไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก หรือนำยอดมะรุม, ใบอ่อน, ช่อดอก และฝักอ่อนมาลวก หรือต้มให้สุก จิ้มทานกับน้ำพริก หรือจะใช้ยอดอ่อนและช่อดอกทำแกงส้ม ก็อร่อยดีมีประโยชน์ ยังมีการวิจัยด้วยว่า คนที่ทำคีโมรักษามะเร็งควรดื่มน้ำมะรุม ช่วยลดอาการแพ้รังสีได้ดี


คน อ้วน คือกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาการบ่งชี้ ได้แก่ มีปริมาณกลูโคสในเลือดสูง เนื่องจากความผิดปกติในการทำงานของอินซูลิน ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำรุนแรง น้ำหนักลด อ่อนเพลีย อยากอาหารมากกว่าปกติ ติดเชื้อง่าย มีอาการแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต และมีปัญหาทางสายตา การรักษาโรคเบาหวานอย่างได้ผล ต้องทำควบคู่กับการวางแผนทางโภชนาการ

โดยสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน อาทิเช่น มะแว้งเครือ และมะแว้งต้น ช่วยรักษาโรคเบาหวาน บำรุงเลือด และขับปัสสาวะ รวมทั้งรักษาโรคไต ฟักทอง ช่วยป้องกันมะเร็งในปอด ป้องกันเบาหวาน และคุมน้ำตาลในเลือด ตำลึง มีสรรพคุณเป็นยาดับพิษภายในร่างกาย ลดอาการไข้ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบของตำลึงนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยรักษาเบาหวานได้ ผักบุ้ง ไม่ได้ทำให้ตาหวานอย่างเดียว แต่ยังบำรุงกระดูก ลดไข้และแก้เบาหวาน ส่วนมะระขี้นก เชื่อว่าช่วยบำรุงน้ำดี แก้โรคตับอักเสบ และป้องกันโรคเบาหวาน แม้แต่มะรุม ก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน


คน อ้วนมีความเสี่ยงเป็นโรคสารพัด ทั้งเบาหวาน มะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจ และโรคข้ออักเสบ การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดสำหรับคนอ้วน คือ ต้องทำค่อยเป็นค่อยไป นอกจากจะจำกัดปริมาณอาหาร หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้ว การเลือกทานสมุนไพรเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์พิชิตโรคอ้วน ควรทานแมงลักเพื่อช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ขับถ่ายสะดวก และลดน้ำหนักได้หลายกิโล

ส่วนกระเจี๊ยบมอญ ลดความดันโลหิต รักษาโรคกระเพาะ และเป็นยาระบายชั้นดี แตงโม เป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำแตงโมปั่นยังช่วยล้างลำไส้และกระเพาะอาหาร มะละกอ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นยาระบาย และมะม่วงสุก ระบายของเสียภายในได้ดี ช่วยแก้อ่อนเพลีย


ความเครียดถือเป็นตัวการให้เกิดโรคร้ายนับไม่ถ้วน ยิ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ สมุนไพรไทยที่ช่วยลดความเครียดและทำให้นอนหลับสบาย คือ สายบัว ช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะ ลดความเครียดทางสมอง กะหล่ำปลี ช่วยลดความเครียด มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้

ขี้เหล็ก แก้นิ่วในไต ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับชั้นดี ใบบัวบก แก้ร้อนใน ทำให้ความจำดี ช่วยลดความเครียด ฟ้าทะลายโจร แก้อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ มะนาว - มะกรูด ช่วยให้นอนหลับ บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และพริกไทย ทำให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยลดเครียดได้ผลดี


เป็น โรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินไปต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งคนปกติอาจไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีทั้งแพ้ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ อาการมีได้หลายแบบ ตั้งแต่น้ำมูกไหล จาม โพรงจมูกอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ หลอดลมอักเสบ หอบหืด และเกิดผื่นคันที่ผิวหนัง การต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ จะต้องเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

โดยสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณด้านนี้ ต้องยกให้กะหล่ำดอก บำรุงภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และป้องกันโรคมะเร็งเต้านม ขณะที่คื่นฉ่าย มีสรรพคุณช่วยให้เจริญอาหาร เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย บำรุงไตให้แข็งแรง ถ้านำมาปั่นกับแครอท ผสมน้ำส้มดื่มทุกเช้า จะช่วยให้สุขภาพดี




ที่มาข้อมูล : http://www.thaihealth.or.th
 
https://www.myfirstbrain.com/Knowledge_View.aspx?Id=70104

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

"กาฬโรคปอด" โรคร้ายที่ควรรู้

 
"กาฬโรคปอด" โรคร้ายที่ควรรู้


กาฬโรคปอด (Pneumonic Plague) เป็นหนึ่งในสามประเภทของกาฬโรค อีก 2 ประเภทคือ กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (Bubonic Plague) และกาฬโรคเลือด (Septicemic Plague) กาฬโลกทั้ง 3 ประเภทนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวกัน คือ Yersinia pestis แต่มีอาการที่แตกต่างกัน กาฬโรค ปอดเป็นโรคที่น่ากลัวมาก มีการติดต่อจากคนสู่คนด้วยการได้รับเชื้อที่อยู่ในเลือดและสารคัดหลั่งของ ผู้ป่วย แบบเดียวกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 60 ของผู้ป่วยทั้งหมด ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งกำลังระบาดและตื่นตระหนกกันอยู่ในขณะนี้มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 1 เท่านั้น


ข้อมูลทั่วไปของโรคกาฬโรคปอด


สาเหตุ :

ได้รับเชื้อแบคทีเรีย Yersinia pestis

พาหะ :

เชื้อ Yersinia pestis จะอยู่ในสัตว์ฟันแทะ (Rodent) เช่น หนู กระรอก กระแต เม่น บีเวอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนู และเห็บหรือหมัดหนูซึ่งกินเลือดจากหนูที่มีเชื้อไป

การแพร่เชื้อ :

มีอยู่ด้วยกัน 2 ทาง คือ

  1. แพร่กระจายจากสัตว์พาหะ : หนูหรือหมัดหนูที่มีเชื้อ Yersinia pestis ไปกัดหนูตัวอื่นหรือไปกัดคน

  2. แพร่กระจายจากคนสู่คน : ผู้มีเชื้อ Yersinia pestis ได้แพร่เชื้อให้ลอยอยู่ในอากาศหรือติดตามสิ่งของเครื่องใช้จากการไอและจาม แล้วบุคคลอื่นได้รับเชื้อนั้นผ่านระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งการถ่ายเทเลือดและสารคัดหลั่งระหว่างผู้มีเชื้อกับบุคคลอื่น
การเกิดโรค :

เกิดขึ้นจากการได้รับเชื้อ Yersinia pestis โดยตรง และเป็นอาการแทรกซ้อนของกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง
(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
เชื้อ Yersinia pestis
เป็นเชื้อสาเหตุที่ทำให้เกิดกาฬโรคปอด


ระยะฟักตัว :

เชื้อ Yersinia pestis มีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 วัน จึงเริ่มปรากฏอาการของโรค

อาการ :

หลังพ้นระยะฟักตัวของเชื้อ Yersinia pestis แล้วจะแสดงอาการอย่างรวดเร็ว โดยผู้ ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดหัวรุนแรง เจ็บหน้าอก ไอ มีเสมหะตอนแรกเหนียวใสแล้วกลายเป็นสีสนิมหรือแดงสดเพราะเชื้อจะเข้าไปทำลาย ปอดโดยตรง แต่มักไม่พบปื้นแผลที่ปอด ปอดอักเสบเฉียบพลัน ความดันโลหิตต่ำ ช๊อคหมดสติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้ภายใน 48 ชั่วโมง

การวินิจฉัยโรค :

ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย ด้วยการนำเสมหะของผู้ป่วยมาย้อมสีกรัมและเพาะเชื้อในอาหารเพาะเลี้ยง เพื่อตรวจสอบว่าเป็นกาฬโรคปอด ไม่ใช่โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย Pneumococci หรือเชื้อตัวอื่น ซึ่งมีอาการเบื้องต้นใกล้เคียงกัน

การรักษา :

(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
ฟิล์มเอ็กซ์เรย์ของปอดที่หายไปข้างหนึ่งจากการเกิดโรคกาฬโรคปอด
รักษา ด้วยยาปฏิชีวนะชนิด Streptomycin, gentamicin, tetracyclines หรือ chloramphenicol และเพื่อให้ได้ผลที่ดีควรได้รับยาให้เร็วที่สุด หรือภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มแสดงอาการของโรค แต่ผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอยู่แล้ว เช่น โรคปอด ถุงลมโป่งพอง หอบหืด จะยิ่งมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยทั่วไป และผู้ป่วยโรคนี้ไม่สามารถหายได้เองหรือร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิต้านทาน ขึ้นได้ หากไม่ได้รับการรักษาจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

การควบคุมโรค :

ผู้ป่วยต้องสวมหน้ากากอนามัยและต้องถูกแยกกักไว้ อย่างเข้มงวดมาก ส่วนผู้สัมผัสโรค บุคคลใกล้ชิดกับผู้ป่วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย จะต้องได้รับเคมีป้องกันและเฝ้าดูอาการเป็นเวลา 7 วัน นอกจากนั้นยังต้องทำรายงานให้องค์การอนามัยโลกได้ทราบข้อมูลอีกด้วย ส่วนในด้านสังคมต้องรณรงค์ให้ผู้คนทำความสะอาดบ้านเรือนและชุมชน กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของหนู ใช้หน้ากากอนามัย ดูแลการกินการขับถ่ายให้ถูกสุขลักษณะ เป็นต้น


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกาฬโรค

กาฬโรค (Plague) เป็นโรคระบาดร้ายแรงที่เคยระบาดมาแล้วหลายครั้งในยุคกลาง (พ.ศ.1019-1996) จนคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย และต่อมาในช่วง ปี พ.ศ.1891-1893 ก็เกิดการระบาดอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้งในทวีปยุโรป จนมีผู้คนล้มตายไปหลายสิบล้านคน หรือกว่าร้อยละ 25 ของประชากรในทวีปยุโรป ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีใครรู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร มีวิธีรักษาหรือป้องกันอย่างไร แต่ผู้ป่วยจะมีตุ่มสีดำขึ้นตามต่อมน้ำเหลืองทั่วลำตัวซึ่งเกิดจากต่อมน้ำ เหลืองอักเสบ จึงเรียกโรคนี้กันว่า Black Death หรือ มัจจุราชสีดำ แล้วเชื่อกันว่าเป็นโรคที่พระเจ้าส่งลงมาฆ่าคนที่ทำบาป จึงแห่กันไปทำพิธีไถ่บาปด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่ก็ไม่ได้ผล จนถึงกับต้องอพยพย้ายเมืองหนี ไม่เว้นแม้แต่สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ก็ยังต้องทรงย้ายจากพระราชวังในลอนดอนมาประทับอยู่ที่พระราชวังวินเซอร์ที่ นอกเมือง ในสมัยนั้นโรคนี้เป็นที่หวาดสะพรึงกลัวกันมากเพราะไม่มีวิธีการรักษาที่ถูก วิธี จนกระทั่งผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยต้องถูกจับฆ่าเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ กระจาย ส่วนคนอื่นๆ ก็ปิดประตูเงียบอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น จนกระทั่งโรคค่อยๆ ระบาดน้อยลงและหยุดระบาดไปเอง แต่ก็ไม่ได้หายไปตลอดกาล เพราะเมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่สิบปีก็จะกลับมาระบาดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
ภาพวาดการระบาดของกาฬโรคในยุโรปเมื่อสมัยยุคกลาง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย
จน กระทั่งปี พ.ศ.2437 นักแบคทีเรียวิทยาชื่อ Yersin แห่งสถาบันปาสเตอร์ได้ค้นพบเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคนี้จากผู้ป่วยในฮ่องกง เรียกเชื้อนี้ว่า Pasteurella pestis แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Yersin ผู้คนพบว่า Yersinia pestis เหมือนชื่อในปัจจุบัน และจากการศึกษาจึงได้ค้นพบว่าโรคนี้มีลักษณะอาการ 3 รูปแบบ คือ มีอาการต่อต่อมน้ำเหลือง (bubonic) มีอาการต่อเลือด (septicemic) และมีอาการต่อปอด (peneumonic) นำมาซึ่งการรักษาอย่างถูกวิธีเหมือนเช่นในปัจจุบัน จนทำให้กาฬโรคห่างหายไปจากโลกนี้เป็นเวลานาน ในประเทศไทยก็ไม่ปรากฏผู้ป่วยโรคนี้มาเป็นเวลานับ 10 ปีแล้ว กระทั่งกลับมามีข่าวครึกโครมกันอีกครั้ง เมื่อต้น เดือนสิงหาคม พ.ศ.2552 ที่ได้พบผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคปอดจำนวน 2 ราย และผู้ป่วยอีก 10 ราย ในถิ่นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยชาวทิเบตที่เมืองจื่อเคอถาน มณฑลชิงไห่ ทางแถบทิวเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน จนทางการจีนต้องสั่งปิดเมืองและดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคอย่าง เร่งด่วน เพื่อไม่ให้กระจายออกสู่ภายนอกจนเกิดเป็นการระบาดครั้งใหญ่เช่นในอดีต





ที่มาข้อมูล : ที่มา : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
http://en.wikipedia.org/wiki/Pneumonic_plague
หนังสือตำนานการระบาดของกาฬโรคในยุโรปยุคกลาง
 

https://www.myfirstbrain.com/Knowledge_View.aspx?Id=71350&Browsesub2s=1740
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Ten foods for longevity



Please visit blog.Thanks for visiting!
http://www.parent-youth.net
http://www.thaihof.org
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://ilaw.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://icann-ncuc.ning.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.industry4u.com
http://logistics.dpim.go.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://www.educationatclick.com/th/

--- On Tue, 8/18/09, churdchoo ariyasriwatana <churdchoo@gmail.com> wrote:

From: churdchoo ariyasriwatana <churdchoo@gmail.com>
Subject:  Ten foods for longevity
To:

Date: Tuesday, August 18, 2009, 2:44 AM