วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

รู้ไว้ป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดต่าง ๆ



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com


รู้ไว้ป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดต่าง ๆ

วันเสาร์ ที่ 27 มิถุนายน 2552 เวลา 0:00 น

Bookmark and Share

มีคำถามเข้ามาเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนถึงอาการและสาเหตุของการเกิดโรค "ไวรัสตับอักเสบซี" ซึ่งต้องขอขอบคุณสำหรับคำถาม ซึ่งความกระจ่างในเรื่องดังกล่าว คุณหมอจะมาตอบไม่ใช่แค่เฉพาะไวรัสตับอักเสบซีเท่านั้น ไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น ๆ ก็มีความอันตรายและสาเหตุการเกิดโรคที่สำคัญด้วยเช่นกัน ดังนั้น คอลัมน์หมอรามาฯไขปัญหาสุขภาพสัปดาห์นี้ มาทำความเข้าใจกันถึงไวรัสตับอักเสบหลากหลายชนิด เพื่อที่จะทำให้เกิดความตระหนักในการป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้น
   
คำถามแรกที่ผู้ป่วยมักจะถามเมื่อมาทำการรักษาก็คือ ไวรัสตับอักเสบชนิดใดบ้างที่พบได้บ่อยในประเทศไทย คำตอบก็คือ มีหลากหลายชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบ เอ ไวรัสตับอักเสบ บี และ ไวรัสตับอักเสบ ซี ซึ่งไวรัสทั้งสามชนิด    จะมีการติดต่อแตกต่างกันไปตามชนิดของไวรัส   ดังเช่น ไวรัสตับอักเสบ เอ และ อี สามารถติดต่อได้จากการปนเปื้อนของเชื้อในอุจจาระ โดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเข้าไป ขณะที่ไวรัสตับอักเสบ บี ซี และ ดี สามารถติดต่อกันได้ทางเลือด ทางสารคัดหลั่ง เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้ป่วย การมีเพศสัมพันธ์ และจากแม่สู่ทารกในครรภ์ในไวรัสตับอักเสบ บี
   
คำถามถัดมาก็คือ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่าง ๆ จะมีอาการอย่างไร คำตอบก็คือ ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบจะแบ่งอาการออกเป็นระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง ซึ่งพบเฉพาะในไวรัสตับอักเสบบี ซี และ ดี โดยที่ผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันจะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตาเหลือง ตัวเหลือง และมีความผิดปกติของผลเลือดที่แสดงการทำงานของตับ ในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังอาจไม่แสดงอาการหรือ   ความผิดปกติของการทำงานของตับได้ แต่อาจตรวจพบจาก การตรวจแอนติบอดีหรือตรวจพบไวรัส นอกจากนี้โรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี และซี ยังทำให้เกิดการอักเสบภายในตับ ซึ่งนำไปสู่ภาวะตับแข็ง เช่นเดียวกันกับผู้ป่วยตับแข็งจาก การรับประทานสุราเรื้อรัง ในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่รับประทานสุราจะเกิดภาวะตับแข็งได้เร็วขึ้น ภาวะตับแข็งจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร น้ำในช่องท้อง ความผิดปกติในสมอง ไตวาย และเพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งในตับได้มากกว่าคนปกติหลายเท่า  แต่ในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี อาจเกิดมะเร็งในตับขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีภาวะตับแข็งร่วมด้วย ส่วนในผู้ป่วยภาวะตับแข็งระยะท้าย ๆ มีโอกาสที่จะเกิดตับวายหรือมีการทำงานของตับลดลง และมีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น
   
ส่วนการรักษาจะแบ่งตามชนิดและระยะของโรค
   
ไวรัสตับอักเสบเอ รักษาตามอาการซึ่งผู้ป่วยจะหายได้เองเกือบทั้งหมด และในประเทศไทยผู้ใหญ่ส่วนมากจะมีภูมิป้องกันเชื้อ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อในวัยเด็กอยู่แล้ว
   
ไวรัสตับอักเสบบี หากได้รับเชื้อจากมารดาขณะอยู่ในครรภ์หรือในวัยเด็กจะมีการติดเชื้อเรื้อรังได้สูงมากกว่าเมื่อได้รับเชื้อในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ ซึ่งการรักษาสามารถแบ่งได้เป็นยาฉีดกลุ่มอินเตอร์เฟอรอน (Interferon-based) และยารับประทานต้านไวรัส (Antiviral therapy) โดยผลของการรักษาและระยะเวลารักษาจะแตกต่างกันตามชนิดการรักษา ซึ่งโดยรวมแล้วโอกาสหายขาดจากไวรัสตับอักเสบเรื้อรังค่อนข้างมีน้อย แต่การรักษาจะลดโอกาสการเกิดมะเร็งตับและชะลอหรือหลีกเลี่ยงภาวะตับแข็งได้ แต่เนื่องด้วยการใช้ยาฉีดกลุ่มอินเตอร์เฟอรอน (Interferon-based) มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ว่ามีระยะเวลาของการรักษาที่แน่นอน และไม่พบการดื้อยาหรือการกลายพันธุ์ของไวรัส  ยกเว้นมีผลข้างเคียง เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้าม เนื้อ และในส่วนน้อยของผู้ที่มีการทำงานของตับลดลง เช่น เป็นตับแข็งระยะสุดท้าย อาจเกิดภาวะตับวายได้ ทำให้การใช้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน ซึ่งมีหลายชนิดมีผลข้างเคียงน้อยมาก    แต่ระยะเวลาการรักษายาวนานกว่ายาฉีด และอาจพบการกลายพันธุ์ของไวรัสหรือเกิดการดื้อยา   จนเป็นเหตุทำให้ต้องใช้ยาต้านไวรัสเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชนิด ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การรักษาทั้งสอง  วิธีจะต้องติดตามอาการดูผล ข้างเคียงของยา และผู้ป่วยต้อง  ได้รับยาอย่างสม่ำเสมอโดยเคร่งครัด มิฉะนั้นจะทำให้ผลการรักษาลดลงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้
   
ไวรัสตับอักเสบซี หลังจากได้รับเชื้อไวรัสแล้ว พบว่า 80% ของผู้ป่วยจะเกิดเป็นตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งการรักษาจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มอินเตอร์เฟอ รอน (Interferon-based) ร่วมกับยาต้านไวรัสชื่อไรบาไวริน (Ribavirin) โดยระยะเวลาและผลการรักษา  ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสที่ต้องอาศัยการตรวจเลือดเพิ่มเติม  ส่วนโอกาสที่เชื้อไวรัสจะหายไปมีประมาณ 40-80% ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัส ผลข้างเคียงของการรักษาทำให้ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย มีไข้ ปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ โลหิตจาง และซึมเศร้าได้
   
จากที่กล่าวมาข้างต้น การป้องกันไม่ให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรังจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด โดยสามารถลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้ โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ และรักษาด้วยยาฉีดในกรณีที่มีการสัมผัสเชื้อไวรัส ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคตับอักเสบเอ และ บี แล้ว แต่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซี ที่ได้ผลเป็นที่ยอมรับ หากสงสัยว่าผู้ป่วยภายในบ้านเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี คนในบ้านก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคด้วย และให้ละเว้นการใช้ของส่วนตัวร่วมกัน พยายามไม่ให้มีการสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งร่วมกับผู้ป่วย เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน เข็มฉีดยา เป็นต้น
   
นอกจากนี้ ถ้ามีเลือดผู้ป่วยหยดภายในบ้านควรล้างด้วยน้ำสะอาด และให้ยาฆ่าเชื้อโรคในปริมาณที่เหมาะสม แต่สำหรับการรับประทานข้าวร่วมโต๊ะ การจับมือสัมผัสกรณีที่ไม่มีบาดแผลเปิด จะไม่นำไปสู่การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และซี ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ควรรับประทานอาหารที่สุกและสะอาด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรไปพบแพทย์เป็นประจำ ถ้ามีภาวะตับแข็งแล้ว ควรได้รับการตรวจเพื่อเฝ้าระวังมะเร็งตับทุก   6-12 เดือน โดยการตรวจอัลตราซาวด์ ตรวจเลือด หรือการตรวจ CT-Scan ซึ่งถ้าพบมะเร็งในระยะแรก ๆ จะสามารถให้การรักษาได้ทันเวลา ซึ่งการรักษาได้ผลดีกว่าการพบก้อนมะเร็งในตับขนาดใหญ่หรือมีการกระจายไปในอวัยวะอื่น ๆ แล้ว
   
ก็คงจะได้รับความกระจ่างในข้อสงสัยเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบชนิดต่าง ๆ ไปพอสมควรทีเดียว หากมีคำถามใด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพสามารถส่งมาได้ที่ danai_jr198@yahoo.com คำถามจะถูกตอบผ่านคอลัมน์หมอรามาฯไขปัญหาสุขภาพ.

นพ.พงษ์ภพ อินทรประสงค์
หน่วยโรคทางเดินอาหารฯ ภาควิชาอายุศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=493&contentID=5344


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

20 กลลวงอนามัย



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
 
 
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11431 มติชนรายวัน


20 กลลวงอนามัย


คอลัมน์ คนกับหนังสือ

โดย ดุษฎี สนเทศ




"คนเราทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่ปากพาป่วย เราต่างพากันใช้ฟันเป็นจอบขุดหลุมฝังศพให้ตัวเอง" ทรรศนะของนายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ที่วิพากษ์กระแสบริโภคนิยมในปัจจุบัน น่าจะทำให้เราฉุกคิดถึงวิถีการบริโภคโดยขาดความเข้าใจสำหรับคนในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี

หลายคนรู้จักนายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ในตำแหน่งประธานอำนวยการเครือบริษัท บัลวี-ศูนย์ธรรมชาติบำบัด คอลัมนิสต์เกี่ยวกับธรรมชาติบำบัดในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ และวิทยากรประจำในรายการโทรทัศน์และวิทยุ แต่อีกบทบาทหนึ่งคือการเป็นนักเขียนที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับมากมาย



"20 กลลวงอนามัย" โดย นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ยกกรณีที่มีการถกเถียงกันในสังคมมาอธิบายไว้อย่างน่าสนใจ อาทิ ดื่มนมเปรี้ยวคิดว่าจะดี, ไขมันศูนย์เปอร์เซ็นต์ คิดว่าปลอดภัยไร้โรค,ไม่กล้ากินแก้วมังกร กลัวสารก่อมะเร็ง ฯ ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายและให้ข้อมูลสองด้านอย่างเป็นเหตุเป็นผล ตลอดจนแทรกข้อคิดและแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินฟุ่มเฟือย กินตามกระแส มาเป็น "กินเพื่ออยู่" ไม่ได้อยู่เพื่อกินอีกต่อไป

หนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเสมือน "คู่มือสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า" และหวังให้ผู้รักสุขภาพ "รู้ทันก่อนสาย เล่ห์ร้ายใกล้ตัว" จากกลลวงอนามัยที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันขอองเราอย่างแนบเนียน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน

นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล จบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, เวชกรรมฝังเข็ม สถาบันแพทยศาสตร์ ตงจื่อเหมิน ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน, ศึกษาดูงาน Hydro-therapy และRejuvenation-therapy สถาบัน Anna Aslan สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ด้วยความเชื่อที่ว่าร่างกายของเราสามารถคืนความแข็งแรงและอ่อนเยาว์ให้กับตนเองได้ จึงเน้นการบำบัดรักษาด้วยกรรมวิธีทางธรรมชาติ รวมทั้งประสานความรู้เกี่ยวกับการฝังเข็มเข้ากับความรู้แพทย์แผนตะวันตก


หน้า 3
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01col10270652&sectionid=0116&day=2009-06-27



What can you do with the new Windows Live? Find out

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"จีน-พม่าซื้อขยะจากเราแล้วไปเพิ่มมูลค่าเป็นเรื่องน่ากลัว"



Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11431 มติชนรายวัน


พล.อ.ศิริ ทิวะพันธุ์


"จีน-พม่าซื้อขยะจากเราแล้วไปเพิ่มมูลค่าเป็นเรื่องน่ากลัว"

คอลัมน์ รู้เขารู้เรา(c)โดย ศีล มติธรรม




ในโอกาสไปร่วมงานของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยตระเวนไปยังพิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ได้ไปฟังคำบรรยายของ พล.อ.ศิริ ทิวะพันธุ์ ซึ่งตอนนี้นอกจากจะเป็นประธานสถาบันพัฒนาสี่แยกอินโดจีนแล้ว ยังเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ และเป็นประธานที่ปรึกษาบริษัทวงษ์พาณิชย์ ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องรีไซเคิลขยะ มาหาคำตอบกันว่าสี่แยกอินโดจีนอยู่ที่ไหน รวมทั้งบทบาทหน้าที่ของสถาบันแห่งนี้

@ เป้าหมายพัฒนาสี่แยกอินโดจีน

พิษณุโลกถือเป็นจุดกึ่งกลางของสุวรรณภูมิหรือแหลมอินโดจีน เป็นจุดตัดกันของสี่แยกอินโดจีน ซึ่งยุทธศาสตร์การพัฒนาสี่แยกอินโดจีนนี้เป็นความมุ่งหวังของกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ในการจะพัฒนาพื้นที่นี้ตั้งแต่ดานังมาจนกระทั่งถึงด้านพม่าเลยไปถึงอินเดียให้พัฒนามากขึ้นรวมทั้งทางด้านเหนือและด้านใต้ด้วย ทางด้านเหนือก็จดถึงจีน คุนหมิง ทางด้านใต้ก็จดมาเลเซีย

@ ชี้ระวังเพื่อนบ้านแย่งลูกค้า

ในสุวรรณภูมิหรือแหลมอินโดจีนมีวัฒนธรรมที่เชื่อมกันระหว่างอินเดียกับจีน แหลมสุวรรณภูมิจนถึงแหลมมลายูก็ถือว่าเป็นสุวรรณภูมิ เพราะฉะนั้น East-West มาตัดกับ North-South ที่พิษณุโลกนี้เป็นจุดสี่แยกอินโดจีนจริงๆ เป็นจุดที่มีความสำคัญ ซึ่งต่างประเทศเห็นความสำคัญมาก อย่างเวียดนามเวลาของบประมาณในการสร้างถนนหรืออะไรต่างๆ เขาจะอ้างสี่แยกอินโดจีนเพื่อมาเชื่อมกับเรา หรืออย่างจีนมองเห็นความสำคัญมากในพื้นที่ภูมิภาคแห่งนี้ เพราะเป็นจุดที่จะกระจายสินค้าไปทางด้านตะวันออก ตะวันตก เหนือ ใต้ได้อย่างดีมาก คนไทยเองก็เริ่มจะเข้าใจบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม บางคนคิดว่าอินโดจีนหมายถึงอินโดจีนของฝรั่งเศส มี ลาว เขมร เวียดนาม ไม่ใช่

ยุทธศาสตร์สี่แยกอินโดจีนไม่ได้หมายความถึงเฉพาะพิษณุโลก แต่รวมอีก 5-6 จังหวัดในภาคเหนือตอนล่างทั้งหมด ซึ่งตอนหลังแบ่งออกเป็น cluster มี 5 จังหวัดคือ เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ตาก สุโขทัย โดยนำแนวความคิดยุทธศาสตร์พัฒนาสี่แยกอินโดจีนมาใช้ แต่ตอนนี้ยังไม่มีนายทุนใหญ่ๆ มาลงทุน ศูนย์อุตสาหกรรมที่พิจิตรสร้างมาสิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครมาลงทุน

ในแง่คิดของตัวผมเองตรงนี้มันเป็นสี่แยกอินโดจีน เราสามารถส่งไปลาวไม่ใช่ทิศทางเดียว เข้าไปทางเชียงของเข้าไปผ่านลาว เวียดนาม ไปจีน ไปพม่าไปจีนก็สะดวก ทางท่าลี่เราก็เข้าลาวได้ ทางนครสวรรค์เป็นเมืองสำคัญที่จะเป็นจุดไปสู่ภาคเหนือไปต่างประเทศ มีคนที่จะแลกเปลี่ยนสินค้ากับเราเป็นหลายร้อยล้านคน ผมคิดว่าถ้าเราทำอาหารให้มีคุณภาพ ทำเสื้อผ้าของเราให้มีคุณภาพ ในอนาคตเรามีความจำเป็นต้องดิ้นรนให้เกิดการค้า เกิดภาคอุตสาหกรรมในภาคเหนือตอนล่างตามยุทธศาสตร์พัฒนาสี่แยกอินโดจีน ไม่เช่นนั้นจะถูกประเทศเพื่อนบ้านเอาลูกค้าของเราไปหมด

@ ไทยขาดเทคโนโลยีแปรรูป

เราพยายามจะชักชวนหลายส่วนมาลงทุน โดยได้ติดต่อกับจีน-เวียดนาม-เขมร-พม่า-ลาว เขาก็ตื่นตัวที่จะมาประสานงานกัน จะมาขับเคลื่อนเป็นบ้านพี่เมืองน้อง อย่างนครสวรรค์ พิจิตร จะตั้งเป็น hub of rice แต่ยังไม่มีศักยภาพเท่าไร ตอนนี้เราก็มีอุตสาหกรรมการเกษตร มีโรงงานที่สามารถขายเครื่องจักรกลงบประมาณเกือบพันล้านต่อปี และสามารถขยายตลาดไปยังแอฟริกาได้

โดยเฉพาะที่เขาเน้น East-West corridor ในส่วนของจังหวัดภาคเหนือเขาเน้นเรื่องการแปรรูปอาหาร ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีโรงงานที่มีคุณภาพพอที่จะส่งไปต่างประเทศ แต่เรามีสินค้าเหลือ เช่น มะขามหวานที่เพชรบูรณ์ มีผลไม้ต่างๆ มากมาย คนจีนมาเที่ยวบ้านเราก็ถามว่าทำไมไม่ส่งไปให้ที่บ้านเขาบ้าง แต่เรายังติดขัดเรื่องเทคโนโลยีในการทำอาหาร ขาดเทคโนโลยีในเรื่องของการแปรรูป

@ จีน-พม่าขนซื้อขยะไทยเพิ่มมูลค่า

ในส่วนที่ผมดูแลบริษัทวงศ์พาณิชย์ ที่ทำขยะรีไซเคิล จีนมาซื้อขยะเป็นประจำกลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้เขาซื้อไม่อั้นเลย ส่วนใหญ่ที่ซื้อคือพลาสติค กระดาษ พม่าก็ซื้อของจากเราเยอะ โดยเฉพาะพลาสติค เขาซื้อแล้วก็นำไปแปรรูปอีกครั้งหนึ่ง แปรรูปดีมากเลยเขาทำเป็นกรอบหน้าต่าง กรอบประตู ทำเป็นหลังคา ไปทำอะลูมิเนียมเทียมลายเหมือนไม้ ทำหลังคา อีกหน่อยบ้านจะสร้างเสร็จภายใน 7 วัน ใช้เงินไม่เท่าไร โดยเอาขยะจากเราไปทำ

เรื่องที่จีน-พม่าซื้อขยะจากเราแล้วไปเพิ่มมูลค่าเป็นเรื่องที่น่ากลัว ในส่วนขยะเราพยายามจะทำเองอยู่แต่เทคโนโลยีเรายังไม่ถึง กำลังจะซื้อเครื่องจักรเขาเข้ามาเขาก็ไม่ขัดข้อง จีนมีนักพัฒนาเทคโนโลยีเยอะ

ในส่วนของจีนน่ากลัวมาก เขารุกเราในด้านการค้าเสรี ซึ่งในระบบนี้เราไปบังคับใครไม่ได้ เทคนิคของเราคือต้องสร้างความเป็นเพื่อน จะเห็นเขาเป็นศัตรูไม่ได้ จะต้องเป็นคู่ค้า


หน้า 23
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01cho03270652&sectionid=0144&day=2009-06-27

 


What can you do with the new Windows Live? Find out

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"ม.มหามกุฏฯ"เล็งแจ้งความเอาผิด"สกสค." เคยเตือนแอบอ้าง"โครงการเช่าพระพุทธโสธร"

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11429 มติชนรายวัน


"ม.มหามกุฏฯ"เล็งแจ้งความเอาผิด"สกสค."


เคยเตือนแอบอ้าง"โครงการเช่าพระพุทธโสธร"



เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน นายชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และประธานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้ากรณีผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ขอให้ผู้บริหาร ศธ.สอบสวนเรื่องที่ข้อความในโบรชัวร์เชิญชวนเช่าบูชาพระพุทธโสธร "รุ่นเจริญสุข" ซึ่งเป็นโครงการของ สกสค. ได้แอบอ้างเรื่องรายได้จากการให้เช่าบูชาจะนำไปมอบถวายมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อนำไปสมทบทุนก่อสร้างวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ และสมทบทุนโครงการจัดสร้างพระไตรปิฎก ฉบับภาพยนตร์ ซึ่งทาง มมร.ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ด้วยว่า ตนไม่ทราบว่ามีใครไปแอบอ้างชื่อ มมร.หรือไม่ แต่เมื่อทราบข่าวนี้ได้ขอให้สกสค.สั่งยกเลิกการเช่าบูชาพระพุทธโสธรไปแล้ว ส่วนเรื่องตั้งกรรมการสอบสวนผู้เกี่ยวข้อง จะต้องรอให้สกสค.รายงานมาในเบื้อนต้นก่อน

นายพรนพพล เกตุทอง ที่ปรึกษาสำนักงาน สกสค. ซึ่งดูแลโครงการให้เช่าบูชาพระพุทธโสธร กล่าวว่า ปลัดศธ.ได้สั่งการให้ยกเลิกโครงการแล้ว ส่วนเรื่องคืนเงินแก่ผู้เช่าพระนั้น คงไม่มีการคืน เพราะเป็นเรื่องของจิตศรัทธา ไม่ใช่การบังคับ แต่ขอชี้แจงว่า แม้ในโบรชัวร์จะไม่ระบุชื่อวัดเนรัญชราราม จ.เพชรบุรี ที่ สกสค.จะนำรายได้ส่วนหนึ่งไปมอบถวายเพื่อสร้างอาคารเรียนในวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัยที่อยู่ใน จ.เพชรบุรี แต่ในหนังสือเชิญชวนที่แจกจ่ายคู่กับโบรชัวร์ก็ระบุชื่อวัดชัดเจน จึงขอความเป็นธรรมด้วย

นายวัฒนา วรรณโสภา รองเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. กล่าวกรณีที่มีการพ่วงหักเงินค่าเช่าบูชาพระพุทธโสธรอยู่ในเอกสารแบบสรุปการหักเงินจากเงินกู้ ช.พ.ค. โครงการ 5 ว่า ตนได้สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เพื่อตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่จัดทำเอกสารดังกล่าวว่า กระทำไปโดยพลการหรือมีผลประโยชน์ใดแอบแฝงหรือไม่ รวมทั้งให้ตรวจสอบด้วยว่านายพรนพพลในฐานะที่ปรึกษาสำนักงาน สกสค.มีอำนาจหน้าที่ก้าวล่วงมาสั่งการให้เจ้าหน้าที่กระทำการดังกล่าวหรือไม่ เพราะมติคณะกรรมการ ช.พ.ค. ไม่ให้มีการพ่วงโครงการเช่าวัตถุมงคลเข้าไปในโครงการเงินกู้ ช.พ.ค. ทั้งนี้ ยืนยันว่าผู้ที่ไม่สมัครใจจะเช่าวัตถุมงคลดังกล่าว ทาง สกสค.จังหวัดต่างๆ จะต้องคืนเงินให้ เพราะการระบุให้มีการหักเงินค่าเช่าวัตถุมงคลอยู่ในแบบฟอร์มโครงการเงินกู้ ช.พ.ค. อาจทำให้สมาชิกผู้กู้บางคนเข้าใจผิดได้ว่า เป็นเงื่อนไขหนึ่งของการกู้ จะเหมือนเป็นการบังคับกลายๆ ได้

ด้านนายสุริวัตร จันทร์โสภา รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มมร. กล่าวว่า ช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา ทาง มมร.ทราบข่าวว่าสำนักงาน สกสค.ได้นำชื่อมหาวิทยาลัยไปแอบอ้างในโครงการเปิดเช่าบูชาพระพุทธโสธร โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก มมร. ดังนั้น พระเทพปริยัติวิมล อธิการบดี มมร. จึงให้ทำหนังสือแจ้งไปยัง สกสค.ว่า มมร.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่รับทราบเกี่ยวกับเรื่องรับบริจาค ทั้งการสมทบทุนก่อสร้างวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัยในพระราชูปถัมภ์ และสมทบทุนโครงการจัดสร้างพระไตรปิฎก ฉบับภาพยนตร์ แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับคำตอบและการชี้แจงใดๆ จาก สกสค.เลย ทั้งนี้ นอกจากทำหนังสือแจ้งไปแล้ว ทางสภามหาวิทยาลัยยังมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย หากผลสอบออกมาระบุว่ากระทบต่อชื่อเสียง มมร. จะแจ้งความดำเนินคดีข้อหานำชื่อมหาวิทยาลัยไปแอบอ้างโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เบื้องต้นนี้โดยส่วนตัวมองว่า การกระทำดังกล่าวส่งผลเสียต่อชื่อเสียง มมร.อย่างมาก และไม่เข้าใจว่าทำไมทาง สกสค.ยังไม่หยุดหรือเลิกอ้างชื่อ มมร.

หน้า 22

 
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01edu02250652&sectionid=0107&day=2009-06-25


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หนาวนี้ดูแลผู้สูงอายุอย่างไร

หนาวนี้ดูแลผู้สูงอายุอย่างไร


       เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงปลายปี อากาศก็จะเริ่มหนาวเย็นลง หลายคนรู้สึกชื่นชอบช่วงเวลานี้ แต่สำหรับผู้สูงอายุแล้ว อากาศที่หนาวเย็นลงอาจจะซ่อนภัยร้ายต่อสุขภาพได้ ถ้าหากไม่ระมัดระวังเตรียมสุขภาพให้แข็งแรงเข้าไว้

ปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้สูงอายุ
      
1.โรคในระบบทางเดินหายใจ
      
       เช่น ไข้หวัด ซึ่งมักจะไม่มีอาการรุนแรงและสามารถหายได้เอง ในระยะเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่สำหรับผู้สูงอายุที่มีสุขภาพอ่อนแอ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้บ่อย เช่น อาการขาดน้ำเนื่องจากไข้สูง ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้น ขณะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ อาจนำไปสู่ภาวะไตวาย โรคหลอดเลือดสมอง และปอดอักเสบได้ แต่ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการรุนแรงมากกว่าไข้หวัดทั่วไป ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส influenza ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิดย่อยที่ติดต่อจากคนไปคน คือ ชนิด A B และ C ปัจจุบันมีวัคซีนที่ครอบคลุมเชื้อทั้ง 3 ชนิดย่อยนี้ในเข็มเดียวกัน สำหรับฉีดให้ผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการติดเชื้อแล้ว โดยควรฉีดปีละครั้ง
      
2.อาการคันเนื่องจากผิวหนังแห้ง (xerosis)
      
       เมื่อเข้าสู่วัยชรา ต่อมไขมันใต้ผิวหนังจะมีจำนวนลดลง การผลิตสารไขมันเพื่อเคลือบผิวหนังก็น้อยลง ยิ่งถ้าในช่วงอากาศหนาว ความชื้นในอากาศลดลง จะทำให้ผิวหนังสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงลงไปมาก ส่งผลให้ขาดความชุ่มชื้น ปลายประสาทที่ใต้ผิวหนังถูกกระตุ้นจนเกิดอาการคันอย่างมาก และถ้ายิ่งเกาจนเกิดเป็นแผลแตกจะยิ่งทำให้ผิวหนังอักเสบเรื้อรังตามมาได้
      
3.การกำเริบรุนแรงของโรคในระบบไหลเวียนเลือด
      
       ผู้สูงอายุในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น มักจะไม่ค่อยอยากออกไปนอกบ้านเพื่อออกกำลังกาย การรับประทานอาหารก็อาจเป็นอาหารที่มีไขมันสูง ยิ่งกว่านั้น เมื่อได้รับอากาศที่หนาวเย็น หัวใจต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจมีความต้องการออกซิเจนเพิ่มมาก ดังนั้นหากผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวในระบบไหลเวียนเลือด อาทิเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และโรคหลอดเลือดสมอง ก็อาจทำให้โรคเดิมเหล่านี้กำเริบขึ้นได้ แต่ก็เบาใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า ถ้ามีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะสามารถลดอุบัติการณ์ของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมองอุดตันได้ถึงร้อยละ 50
      
4.ภาวะที่อุณหภูมิของร่างกายลดลงมากผิดปกติ (hypothermia)
      
       เนื่องจากประสาทรับรู้อากาศที่หนาวเย็นที่ผิวหนังลดความไวลง ร่างกายไม่สามารถตอบสนองด้วยการหนาวสั่นหรือการหดตัวของกล้ามเนื้อเพื่อให้เกิดความร้อนได้ดีเหมือนคนหนุ่มสาว ระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหลอดเลือดที่ผิวหนังไม่ให้สูญเสียความร้อนออกจากร่างกายก็เสื่อมลง โรคที่อาจพบร่วมด้วยในผู้สูงอายุก็อาจส่งเสริมให้ภาวะนี้รุนแรงขึ้นได้ เช่น โรคต่อมไทรอยด์ทำงานลดลง ภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด การได้รับยาบางชนิด เช่น opioids, benzodiazepines การดื่มสุรา หรือการที่อยู่คนเดียวโดยไม่มีผู้ดูแลเรื่องเครื่องนุ่งห่มอย่างเพียงพอ ผู้ป่วยอาจมีอาการตั้งแต่อ่อนเพลีย ท้องอืดจากลำไส้ไม่ทำงาน ซึมลง หายใจช้า ชีพจรเต้นช้า ปัสสาวะลดลงจนหมดสติและอาจเสียชีวิตในที่สุด
      
       นอกจากนั้น ยังอาจพบอาการอื่นๆ อีกได้ เช่น อาการปวดข้อ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาโรคปวดข้อเรื้อรังอยู่เดิม อากาศที่หนาวเย็นอาจจะกระตุ้นให้โรครุนแรงขึ้นได้ หรืออาจกระตุ้นให้โรคเก๊าท์กำเริบขึ้น ท้องผูกรุนแรงขึ้น เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำ ทำให้ลำไส้ดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น

3 ระดับ การป้องกันเพื่อคนสำคัญ
      
1.ระดับปฐมภูมิ (primary prevention)
      
       เป็นการป้องกันโรคตั้งแต่ผู้สูงอายุอยู่ในภาวะสุขภาพดี ได้แก่ การรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียสตลอดเวลา ด้วยการใช้เครื่องนุ่มห่มให้เพียงพอ โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในฝูงชนที่มีการระบายอากาศไม่ดี เพราะอาจรับเชื้อไวรัสไข้หวัดจากผู้อื่นได้ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะมีผลดีอย่างมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจวาย ผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เช่นผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม ส่วนผู้สูงอายุที่กำลังได้รับยาประจำเพื่อควบคุมโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่ก็ไม่ควรขาดยา กรณีที่ต้องการไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเดินทาง
      
2.ระดับทุติยภูมิ (secondary prevention)
      
        เป็นการป้องกันโรคตั้งแต่ในระยะแรกที่เริ่มแสดงอาการของโรค เพื่อป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปจนเข้าสู่ระยะรุนแรง สำหรับผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการครั่นเนื้อ ครั่นตัวเมื่อเริ่มเข้าสู่อากาศที่หนาวเย็น ควรใช้เครื่องนุ่งห่มที่หนาและอบอุ่นพอ หลีกเลี่ยงสถานที่มีอากาศเย็น ดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่อดนอน และถ้าเริ่มมีอาการไม่สบาย เช่น อาการไข้ เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก การจัดหายาลดไข้รับประทานเองเช่น ยาพาราเซตตามอล อาจทำได้ในผู้ที่มีสุขภาพดี พึงระวังว่ายาลดน้ำมูกและยาแก้ไอที่มีสารโคเดอีนผสมอยู่ มักทำให้มีอาการง่วงซึม อาจทำให้การดูแลตนเองลดลงได้ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารและดื่มน้ำอาจไม่เพียงพอ ส่วนผู้สูงอายุที่สุขภาพไม่แข็งแรงอยู่เดิม ควรรีบปรึกษาแพทย์เมื่อเริ่มมีอาการดังกล่าว
      
       กรณีที่เริ่มมีอาการคันตามผิวหนังจากผิวหนังแห้ง ควรใช้ยาประเภทโลชั่นทาผิวเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิวหนัง โดยเฉพาะภายหลังอาบน้ำอุ่นเสร็จใหม่ๆ ผู้ที่มีอาการแพ้ได้ง่ายระวังว่า น้ำยาโลชั่นที่วางขายในท้องตลาดอาจใส่น้ำหอมทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ทำให้ยิ่งมีอาการคัน จึงควรใช้โลชั่นประเภทที่ใช้กับผิวเด็กอ่อนจะปลอดภัยกว่า และควรทาผิวหนังวันละหลายๆ ครั้ง เพราะสารเคลือบผิวจะหลุดลอกออกได้เมื่อเวลาผ่านไป
      
3.ระดับตติยภูมิ (tertiary prevention)
      
       หมายถึงการป้องกันภาวะแทรกซ้อน หรือความพิการจากโรคนั้นที่ได้แสดงอาการชัดเจนแล้วและกำลังได้รับการรักษาอยู่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคในระบบไหลเวียนเลือด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง โรคหอบหืด ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการของโรคเดิมรุนแรงขึ้น
      
       อย่าลืมนะครับว่า การดูแลและความเข้าใจในธรรมชาติของผู้สูงอายุ จะต้องมีความรักและกำลังใจจากลูกหลานเป็นพื้นฐาน ถึงจะช่วยให้ท่านมีชีวิตที่ยืนยาวได้
   
เพื่อสุขภาพผู้สูงวัย
      
        คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญผู้สูงวัย 50 ปีขึ้นไป เข้าร่วมโครงการ “ประสิทธิภาพของการฝึกการทรงตัวอย่างง่ายในผู้สูงอายุที่มีประวัติหกล้มบ่อย” รุ่นที่ 2 วันที่ 24 ธันวาคม 2551 รับความรู้วิธีออกกำลังกายเพื่อฝึกการทรงตัว และแผ่นพับแสดงท่าต่างๆ เพื่อนำกลับไปบริหารที่บ้าน ทั้งนี้ ต้องมีประวัติหกล้มมากกว่า 1 ครั้งใน 6 เดือน และสามารถมาโรงพยาบาลเพื่อติดตามอาการทุก 3 เดือน สำรองที่นั่งพร้อมลงทะเบียนฟรี ได้ที่ สุพิน สาริกา ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู โทร.0-2419-7508 ต่อ 109

 

ที่มา : 
วันที่ 18 ธ.ค. 2551

"พลังของคนหัวรั้น" ปั้นโลกใหม่ให้น่าอยู่(กว่าเดิม)

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11426 มติชนรายวัน


"พลังของคนหัวรั้น" ปั้นโลกใหม่ให้น่าอยู่(กว่าเดิม)


โดย ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์ siripong@kidtalentz.com



ในรอบอาทิตย์นี้ผมได้ยินคนพูดเรื่องกิจการเพื่อสังคม หรือที่เขาใช้ภาษาอังกฤษว่า โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์ อยู่สองสามหน ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ได้ยินอย่างเดียว ได้อ่านแทบทุกวัน

มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่ผมแนะนำว่า อย่าไปอ่านถ้าไม่สนใจว่าคนส่วนใหญ่ในโลกใบนี้จะอยู่อย่างไร กินอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าสนใจสักนิดหนึ่ง เพราะหากฐานพีระมิดมันพังลงมา ส่วนที่อยู่ถัดๆ ขึ้นไปของพีระมิดก็ไม่อาจจะดำรงอยู่ได้ หรืออยู่ได้ก็ไม่ใช่ชีวิตอย่างที่อยากอยู่ ก็ลองไปหามาอ่านดูกันครับ

หนังสือยังไม่ออกวางตามร้านหนังสือ แต่ขอเอามาบอกไว้ก่อนว่าชื่อ "พลังของคนหัวรั้น" จะได้ติดตามกันได้

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องความสำเร็จของกิจการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ชี้ให้เห็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดของกิจการแบบนี้ สรุปให้เห็นเป็นบทเรียนว่าเขาทำกันมาอย่างไร และเราจะทำอย่างไรได้บ้าง

ปรัชญาทุนนิยมเสรีของ มิลตัน ฟรีดแมน ที่ว่าหน้าที่อย่างเดียวของธุรกิจคือการทำกำไรสูงสุด แล้วทุกๆ ส่วนจะดีขึ้นเอง ไม่ค่อยมีคนเชื่อเท่าไหร่แล้ว เพราะยิ่งมายิ่งไป ฐานพีระมิดยิ่งถ่างกว้างออกทุกที เพราะการแข่งขันเสรีที่แท้นั้นไม่มีอยู่จริง ผลของการแข่งขันเสรีที่เชื่อถือกันมันก็บิดเบี้ยวไปตามแต่ละสภาพแวดล้อมของแต่ละสังคม

ผลในขั้นสุดท้ายของระบบแบบนี้ก็คือการพังทลายของชีวิตคนที่อยู่ในฐานพีระมิดของสังคม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศทุกประเทศและของโลกทั้งใบ

กิจการเพื่อสังคมที่ว่ากันมานั้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อุบัติขึ้นจากสภาพความเป็นจริง ที่อยากจะให้ส่วนฐานของพีระมิดมันแคบลงๆ

แต่ว่าระบบความคิดความเชื่อ หรือแม้แต่ในความเป็นจริงที่ธุรกิจกระแสหลักเผชิญอยู่ ไม่อาจจะทำให้มาสนใจฐานส่วนนี้ เพราะมันไม่ทำกำไร เป็นความโหดร้ายของชีวิตของคนทั้งโลกเลยทีเดียว

เอาตัวอย่างที่ตัดตอนจากหนังสือ "พลังของคนหัวรั้น" ไปเลยดีกว่า จะได้เห็นภาพ

OneWorld Health เป็นบริษัทยาไม่แสวงหากำไรแห่งแรกในอเมริกา มีพันธกิจและโมเดลธุรกิจที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เพื่อพัฒนายารักษาโรคร้ายที่คุกคามคนที่ยากจนที่สุดในโลก องค์ประกอบหลักสองประการขององค์กรนี้ก็คือ เริ่มแรก ทีมนักวิทยาศาสตร์ค้นหาสูตรยาที่น่าจะใช้การได้ นำมาทดลอง และยื่นขออนุญาตจากทางการ หลังจากนั้น OneWorld Health จะทำสัญญาผลิตและจัดจำหน่ายยากับบริษัทและองค์กรในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยยากจนจะมีกำลังซื้อและเข้าถึงยานี้อย่างยั่งยืน และสัญญาดังกล่าวก็นับเป็นการบุกเบิกเส้นทางใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นด้วย

เป้าหมายของ OneWorld Health คือการแยกขีดความสามารถในการทำกำไรออกมาจากยาที่รักษาโรคร้ายได้ บริษัทนี้ใช้งานวิจัยแนวโน้มดีในอุตสาหกรรมเป็นพลังคานงัดเพื่อส่งมอบยาช่วยชีวิตให้กับผู้ป่วยที่ต้องการยาที่สุด มีผู้ประเมินว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงร้อยละ 10 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในแต่ละปีที่ใช้จัดการร้อยละ 90 ของโรคหรืออาการป่วยทั่วโลก ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจคือ ในบรรดายาประมาณ 1,500 ตัวที่ได้รับอนุมัติในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา มีไม่ถึง 20 ชนิดที่ใช้รักษาสิ่งที่เรียกว่า "โรคที่ถูกละเลย" นั่นคือ โรคติดต่อร้ายแรงที่คนจนเป็นมากกว่าคนรวยหลายเท่า

โครงการพัฒนายาขั้นต้นโครงการแรกของ OneWorld Health เป็นการต่อยอดยาปฏิชีวนะที่หมดอายุสิทธิบัตรและไม่มีใครผลิตแล้ว เพื่อรักษาโรคลิชมาเนีย ซึ่งเป็นโรคพยาธิที่คร่าชีวิตคนเป็นอันดับสองของโลกรองจากมาลาเรีย ก่อนหน้านี้ไม่มีใครผลิตยาดังกล่าวเพราะมันทำกำไรไม่ได้ แต่แล้วเมื่อเร็วๆ นี้กลับมีผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มขึ้นกว่าครึ่งล้านคนต่อปีในสามทวีป OneWorld Health ทดลองยาขั้นที่สามสำเร็จในปี 2006 และได้รับอนุมัติให้ใช้ยานี้ในอินเดีย นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการวิจัยยารักษาโรคมาลาเรียและกำลังพัฒนาชุดยารักษาอหิวาตกโรค โดยเน้นการหาวิธีรักษาเด็ก

ยาจำเป็นที่คนยากจนส่วนใหญ่ต้องการ แต่บริษัทยาไม่ผลิตหรือพัฒนาต่อเพราะไม่มีกำไร OneWorld Health สร้างกระบวนวิธีใหม่ทำให้มันนำมาใช้ได้ และไม่ใช่องค์กรที่ขาดทุน...น่าสนใจไหมครับ

หน้า 6

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act03220652&sectionid=0130&day=2009-06-22

See all the ways you can stay connected to friends and family

สากของสตรีนิยมไทย

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11426 มติชนรายวัน


สากของสตรีนิยมไทย


โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์



ท่านรัฐมนตรีคลังกล่าวในสภาว่า โครงการที่จะใช้เงินกู้กว่าล้านล้านบาทนี้มีถึงกว่า 6,000 โครงการ อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์หลักๆ 6-7 ด้าน โดยยังไม่ได้เห็นรายละเอียดของโครงการต่างๆ ผมเข้าใจว่าการจ้างงานน่าจะเป็นเป้าหมายหลักอันหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเป้าหมายเฉพาะหน้าเวลานี้ เช่นสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ก็เพื่อให้เกิดการจ้างงาน พัฒนาแหล่งน้ำก็เพื่อทำให้เกิด "งาน" ขึ้นในภาคเกษตร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การจ้างงานมีความละเอียดอ่อน กล่าวคือต้องเป็น "งาน" ที่กระจายไปยังกลุ่มคนที่ไร้ฝีมือ ไปจนถึงมีฝีมือในระดับและประเภทที่แตกต่างกัน ผมหวังว่าโครงการต่างๆ ของรัฐบาลได้คำนึงถึงความละเอียดอ่อนในแง่นี้ไว้แล้ว

แต่ยังมีความแตกต่างของแรงงานอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีคนพูดถึง และโครงการของรัฐอาจไม่มีสำนึกในด้านนี้ก็ได้ นั่นคือความแตกต่างทางเพศ

ในวันที่ 5 มีนาคม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้ตีพิมพ์บทความอันดีเยี่ยมชื่อ "This Crisis Has a Woman"s Face" ของคุณ Amelita King Dejardin ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางวิชาการอาวุโสของสำนักงานแรงงานสากล

เธอกล่าวว่า ในเอเชีย วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ย่อมกระทบต่อผู้หญิงทำงานหนักกว่า และแตกต่างกว่าที่กระทบต่อผู้ชาย

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ แรงงานหญิงมักกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมส่งออกที่ใช้แรงงานเข้มข้น ในขณะที่แรงงานชายมักจะกระจายไปยังภาคส่วนต่างๆ ของการผลิตมากกว่า นอกจากนี้ ในสายพานการผลิตเพื่อป้อนเครื่องอุปโภคแก่ประชากรโลกนั้น งานประเภทชั่วคราว, รับเหมารายชิ้น, หรือเป็นลูกจ้างรายวัน มักเป็นผู้หญิง จึงไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองของกฎหมายประกันสังคม

ดังนั้น เมื่อความต้องการสินค้าประเภทเสื้อผ้า, เครื่องไฟฟ้า, โรงแรม, และร้านอาหาร ลดลงในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ ผู้หญิงจึงตกงานก่อน

ประสบการณ์เศรษฐกิจตกต่ำใน พ.ศ.2540 พิสูจน์ให้เห็นชะตากรรมของผู้หญิงในแง่นี้ ในประเทศไทย 95% ของแรงงานที่ถูกปลดจากหัตถอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในครั้งนั้นเป็นผู้หญิง ในหัตถอุตสาหกรรมของเล่น ผู้หญิงถูกปลดถึง 88%

ผลกระทบต่อครอบครัวของผู้หญิงตกงานนั้นหนักหนาสาหัสกว่า เพราะมีงานวิจัยที่ยืนยันว่ายิ่งครอบครัวใดยากจนมากเท่าใด รายได้จากผู้หญิงก็ยิ่งมีความสำคัญต่อการดำรงชีพของครอบครัว, สุขภาพอนามัยและการศึกษาของเด็กมากเท่านั้น

และเพราะผู้หญิงมักทำงานที่ได้รายได้น้อยกว่า จึงทำให้ไม่สามารถมีเงินออม ดังนั้น เมื่อถูกลดรายได้หรือตกงานจึงทำร้ายผู้ที่ต้องพึ่งพิงผู้หญิงอย่างมาก มีตัวเลขจากฟิลิปปินส์ที่แสดงให้เห็นความจริงข้อนี้ เมื่อผู้ชายตกงาน 65% ของครอบครัวรายงานว่ารายได้ของครอบครัวลดลง แต่เมื่อผู้หญิงตกงาน 94% ของครอบครัวรายงานว่ารายได้ลดลง และครอบครัวของผู้หญิงตกงานจะตัดรายจ่ายด้านอาหารลงมากกว่าครอบครัวของผู้ชายตกงาน

นอกจากนี้ ผู้หญิงเอเชียมักเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเด็ก, คนแก่ และคนป่วยของครอบครัว ดังนั้น เมื่อผู้หญิงตกงานสวัสดิภาพของคนเหล่านั้นจึงตกต่ำลงไปด้วย

ฉะนั้น การตกงานของผู้หญิงจึงก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมทางสังคมทั้งในระยะสั้น และยาวอย่างไพศาลมาก ดังนั้น ผู้เขียนจึงเตือนนักวางแผนเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียว่า โครงการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งหลายนั้น หากไม่คำนึงถึงมิติของเพศสภาพแล้ว ก็จะเกิดผลร้ายอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมนั้นๆ อย่านึกง่ายๆ เพียงว่า แผนประกันสังคมทั้งหลายจะช่วยผู้หญิง เพราะผู้หญิงมักทำงานที่กฎหมายแรงงานไม่คุ้มครอง และอย่านึกง่ายๆ ว่า ถึงอย่างไรผู้หญิงก็พึ่งพาผู้ชายทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว ฉะนั้น เมื่อช่วยผู้ชาย ผู้หญิงก็จะได้เอง เพราะในความเป็นจริง ผู้หญิงที่ไม่มีผู้ชายให้พึ่งนั้นมีมากในเอเชีย

การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นสูตรสำเร็จที่ทำกันในแทบทุกประเทศ มักไม่มีผลถึงแรงงานหญิง เพราะงานก่อสร้างมักใช้แรงงานชายมากกว่า ตัวอย่างของความลำเอียงเช่นนี้เห็นได้ในครั้งวิกฤตปี 2540 ฉะนั้น นักวางแผนจึงต้องทุ่มเทความพยายามที่จะทำให้เกิดการจ้างงานหญิงในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น เช่นอะไรคือโครงสร้างพื้นฐานหรือสาธารณูปโภคต้องคิดให้กว้างกว่ารถไฟฟ้าหรือถนนปลอดฝุ่น แต่ควรรวมเรื่องการบริการสังคม, การดูแลสุขภาพ, การศึกษา, การพัฒนาเด็กและเยาวชนเข้าไว้ด้วย เพราะงานเหล่านี้จะมีการจ้างงานผู้หญิงมาก

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การลงทุนทางสังคมก็เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งช่วยทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ และจ้างงานผู้หญิงไปพร้อมกัน แม้ว่ารัฐบาลมีโครงการจะลงทุนด้านการศึกษาเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท แต่ต้องมองการศึกษาให้กว้างกว่าระบบโรงเรียน เช่นการสร้างศูนย์เด็กเล็กในหมู่บ้าน, สร้างห้องสมุดที่มีกิจกรรมสนับสนุนการอ่าน, สร้างแหล่งเรียนรู้ระดับตำบล, ขยายกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ของ อสม., ฯลฯ ล้วนเปิดโอกาสให้ผู้หญิงที่มีฝีมือแรงงานต่ำได้รับการฝึกและมีงานทำทั้งสิ้น

อีกด้านหนึ่งที่คุณ Dejardin กล่าวไว้ ก็ตรงกับที่ฝ่ายค้านบางคนได้อภิปรายในสภา นั่นคือควรคิดถึงการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของธุรกิจขนาดเล็กให้มาก เพราะจะทำให้ผู้หญิงตกงานริเริ่มธุรกิจเล็กๆ ของตนเองได้ (เช่นขายก๋วยเตี๋ยว หรือรับจ้างซักรีด)

ประเด็นสุดท้ายที่ควรพูดถึงในข้อเสนอของคุณ Dejardin ก็คือ ในการวางแผนกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสียงของผู้หญิงมีความสำคัญ ผู้หญิงควรมีส่วนในการวางแผนด้วย เพราะวิกฤตเศรษฐกิจนั้นมีทั้งหน้าของผู้ชายและหน้าของผู้หญิงอยู่ในนั้น

หลังจากโพสต์ลงบทความนี้แล้ว ผมก็เฝ้าดูว่าองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวกับผู้หญิง ทั้งที่เป็นของทางการ เช่นคณะกรรมาธิการเด็กและสตรีของสภาทั้งสอง และเป็นของเอกชนเอนจีโอทั้งหลาย จะขยับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

ปรากฏว่าต่างเป่าสากกันหมดครับ แต่พากันไปเล่นสนุกกับการหาพ่อให้เด็กบ้าง, การกรี๊ดกร๊าดกับพฤติกรรมทางเพศของดาราและวัยรุ่นหญิงบ้าง ผลก็คือบัดนี้เรากำลังจะลงทุนครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยเงิน 1.4 ล้านล้านบาท โดยไม่มีใครพูดถึงมิติของเพศสภาพเลย และไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงถูกนำขึ้นเป็นหนึ่งในประเด็นหลักของโครงการต่างๆ หรือไม่ และอย่างไร

ในเมืองไทย เราพูดถึงสตรีนิยม (Feminism) กันมาหลายทศวรรษแล้ว และด้วยเหตุดังนั้นเราจึงไม่ขาดคนที่อ้างตัวว่าเป็นนักสตรีนิยมในสังคมไทย ในขณะเดียวกันสตรีนิยมก็เป็นหนทางเข้าถึงแหล่งเงินวิจัย, ชื่อเสียงเกียรติยศ, สถานะทางการเมือง, และสถานะทางสังคม ฯลฯ จนในปัจจุบันต้องถือว่าสตรีนิยมเป็นดินแดนที่เบียดเสียดเยียดยัดจนต้องแข่งขันแย่งชิงกันพอสมควร

แต่ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ทรัพยากรในสังคมไทยกระจุกตัวอยู่ในอำนาจการจัดสรรของคนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่ การแข่งขันแย่งชิงของกลุ่มสตรีนิยมจึงแวดล้อมอยู่กับค่านิยมของคนชั้นกลาง แข่งกันวี้ดว้ายกระตู้วู้ในเรื่องที่เป็นค่านิยมของคนชั้นกลางไทย ใครจะวี้ดว้ายได้น่าเชื่อถือกว่ากัน มิติด้านปากท้องและศักดิ์ศรีของผู้หญิงชาวบ้านและครอบครัวของเธอจึงไม่เคยอยู่ในความสนใจของนักสตรีนิยมส่วนใหญ่

"สตรีนิยม" ในเมืองไทย จึงเป็นได้แค่ "สมัยนิยม"

หน้า 6

 
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01220652&sectionid=0130&day=2009-06-22


What can you do with the new Windows Live? Find out

สุดยอด 20 อาหารล้างพิษ

Pic_13421

คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่า"อาหาร"เป็นยาที่วิเศษที่สุด  เพราะเป็นแหล่งรวมของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ใช่ว่าต้องเป็นอาหารที่มีราคาแพงอย่างเป๋าฮื้อ หูฉลาม รังนก หรือของหายากอย่างดีหมีเท่านั้น ถึงจะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้ เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าอาหารที่เราหาได้ตามท้องตลาดในชีวิตประจำวันก็มีประโยชน์ในตัวไม่ใช่น้อย

ที่สำคัญอาหารเหล่านี้ยังช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น

คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง

เริ่มจาก ลำดับที่ 20 สาหร่าย พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย



ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

19.
หัวหอม ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

18. มะนาว เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย



17. เมล็ดแฟลกซ์ ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น



16. กระเจี๊ยบ น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้



15. ทับทิม ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในผลทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ



โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

14. พืชตระกูลถั่ว (เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วยพืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

13. ขึ้นฉ่าย ถือว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย



12. แครอท เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น



11. มะเขือพวง คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลักแต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน

มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต เพราะเป็นผลไม้รสชาติดีจึงได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย



9. กระเทียม จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย



8. บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ



7. กะหล่ำ เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย



6. บีตรูต ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลด้วย

5. อะโวคาโด อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน(Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์



4. ตำลึง ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

3. แอปเปิ้ล ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้



2. อัลมอนด์ เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia )จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด
เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก



1. กล้วย มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย



นี่คือความสุดยอดของบ้านเมืองเรา.....ซึ่งบ้านเมืองอื่น..แอบอิจฉา

ข้อมูลจาก http://www.amulet.in.th/

http://www.thairath.co.th/content/life/13421