วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เจ้าหน้าที่จีนสงสัยว่าสุนัขจะเป็นต้นตอการระบาดของเชื้อกาฬโรคปอดในเมืองจื่อเคอทัน

เจ้าหน้าที่จีนสงสัยว่าสุนัขจะเป็นต้นตอการระบาดของเชื้อกาฬโรคปอดในเมืองจื่อเคอทัน


สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานโดยอ้างคำกล่าวของผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคในมณฑลชิงไห่ ว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นสงสัยว่า สุนัขของคนดูแลฝูงสัตว์อาจเป็นต้นตอการระบาดของเชื้อกาฬโรคปอดในเมืองจื่อเคอทันที่คร่าชีวิตประชาชน ไปแล้ว 3 คน และทางการต้องสั่งปิดเมืองตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อพยายามยับยั้ง การแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้เป็นไปได้ว่าสุนัขตัวดังกล่าวได้ตายลงหลังจากกินสัตว์เล็ก ๆ ที่ติดเชื้อกาฬโรคปอด.

 
ข้อมูลข่าวและที่มา

 วันที่ข่าว : 06 สิงหาคม 2552
http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255208060183&tb=N255208&news_headline=เจ้าหน้าที่จีนสงสัยว่าสุนัขจะเป็นต้นตอการระบาดของเชื้อกาฬโรคปอดในเมืองจื่อเคอทัน


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://itceoclub.ning.com
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://pwdhutch3.blogspot.com
http://energygreenhealth.com

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วชิรพยาบาล เปิดบริการคลินิกสุขภาพเท้า ทุกวันพฤหัส เวลา 13.00-16.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2244-3114

ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์กรุงเทพมหานคร และ วชิรพยาบาล เปิดบริการคลินิกสุขภาพเท้า ให้ประชาชนผู้มีปัญหาเกี่ยวกับเท้า ภายใต้การดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เปิดให้บริการ ทุกวันพฤหัส เวลา 13.00-16.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2244-3114

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.narit.or.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.momypedia.com
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com

แพทย์จุฬาฯ เจ๋ง! วิจัยรองเท้าเพื่อผู้สูงอายุ

แพทย์จุฬาฯ เจ๋ง! วิจัยรองเท้าเพื่อผู้สูงอายุ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 สิงหาคม 2552 18:29 น.
       แพทย์จุฬาฯ เจ๋ง! วิจัยรองเท้าสำหรับผู้สูงอายุ เผยเทคนิคสุดล้ำวัดขนาดเท้า 13 มิติ ระบุเท้าผู้สูงอายุมักจะหารองเท้าที่เหมาะสมยาก เผยผู้หญิงมีปัญหาสุขภาพเท้ามากกว่าผู้ชาย สำหรับผู้สูงอายุควรใช้รองเท้าแบบปิด มีสายรัดส้น วัสดุหุ้มด้านบนของรองเท้าควรจะสามารถปรับขนาดและระบายอากาศได้ ความสูงของส้นรองเท้าไม่ควรเกิน 1 นิ้ว
       
       รศ.พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ หนึ่งในคณะผู้วิจัยเรื่อง “ขนาดรองเท้าสำหรับผู้สูงอายุชาวไทย” กล่าวว่า ในผู้สูงอายุ รองเท้ามีหน้าที่สำคัญในการช่วยป้องกันการลื่นและการล้ม หากสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสมจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพเท้าได้ ซึ่งในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เท้าอาจลุกลามจนต้องตัดนิ้วหรือตัดเท้า ผู้สูงอายุมักจะหารองเท้าที่เหมาะสมยาก เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น จึงต้องการศึกษาหาขนาดรองเท้าที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ชาวไทยเพื่อนำมาทำหุ่นรองเท้าต้นแบบ
       
       รศ.พญ.ดุจใจ กล่าวถึงกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยดังกล่าวว่า มีอายุระหว่าง 60 - 80 ปี มีสุขภาพดี สามารถเดินได้ดีโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นชาย 108 คน หญิง 105 คน โดยได้ทำการประเมินสุขภาพเท้า วัดขนาดเท้าในมิติที่สำคัญ 13 มิติ รวมทั้งมีการประเมินรองเท้าที่ใช้อยู่แล้วและวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของมิติเท้าต่างๆ

       ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้หญิงมีปัญหาสุขภาพเท้ามากกว่าผู้ชาย ปัญหาที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 80 คือเท้าผิดรูป โดยส่วนใหญ่นิ้วโป้งจะเกไปทางนิ้วชี้ ร้อยละ 14 มีอาการปวดเท้า ซึ่งเป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในอัตรา 4 ต่อ 1 สาเหตุมาจากเอ็นเท้าอักเสบ การเกหรือมีหนังแข็ง ร้อยละ 50 ของผู้หญิงและร้อยละ 34 ของผู้ชายสวมรองเท้าคับ
       
       จากผลการวิจัยพบว่าอาการปวดเท้ามีความสัมพันธ์กับการใส่รองเท้าคับ ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ได้นำมาใช้ในการพัฒนารองเท้าต้นแบบสำหรับผู้สูงอายุชาวไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นทดลองใส่จริง และได้มีการยื่นจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์แล้ว รองเท้าดังกล่าวจะเป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพ เน้นใส่สบาย ไม่จำเพาะผู้ป่วยโรคต่างๆ โดยตรง ในอนาคตหากผลิตจำหน่ายในเชิงพาณิชย์น่าจะมีราคาประมาณ 1,000 บาท
       
       สำหรับการเลือกรองเท้าที่เหมาะสม รศ.พญ.ดุจใจ ให้คำแนะนำว่า รองเท้าที่ดีควรมีขนาดและรูปร่างที่เหมาะสมกับเท้า รองเท้าต้องยาวเกินนิ้วเท้าที่ยาวที่สุดประมาณครึ่งนิ้ว มีความกว้าง ที่พอดีกับเท้าและไม่บีบรัด ส่วนที่กว้างที่สุดของรองเท้าต้องตรงกับส่วนที่กว้างที่สุดของเท้าซึ่ง อยู่ประมาณโคนนิ้ว และต้องมีความลึกในแนวดิ่งมากพอให้ขยับนิ้วเท้าได้
       
       สำหรับผู้สูงอายุควรใช้รองเท้าแบบปิด หากเป็นแบบเปิดควรมีสายรัดส้น เพราะรองเท้าแตะอาจทำให้ลื่นและต้องเกร็งเท้า วัสดุหุ้มด้านบนของรองเท้าควรจะสามารถปรับขนาดและระบายอากาศได้ ความสูงของส้นรองเท้าไม่ควรเกิน 1 นิ้ว หากสูงมากเกินไปน้ำหนักจะเทไปเท้าส่วนหน้าและนำไปสู่การปวดเท้าได้ ส่วนพื้นรองเท้าควรมีความแข็งแรง ไม่บิดงอง่าย และสามารถกันลื่นได้ โครงผนังโดยรอบต้องแข็งแรงพอสมควร และพื้นรองเท้าด้านในควรมีความนิ่ม ยืดหยุ่นได้ และมีความหนาพอที่จะลดแรงกระแทก
 
 
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000088885


--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชี้"ชีวจิต"มีคุณค่าเหมือนอาหารปกติ

วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6822 ข่าวสดรายวัน


ชี้"ชีวจิต"มีคุณค่าเหมือนอาหารปกติ





นักวิจัยสังกัดสถาบันสุขอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อน กรุงลอนดอน เสนอผลการศึกษา ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากสำนักงานมาตรฐานอาหารอังกฤษ แย้งงานวิจัยในอดีตว่า อาหารชีวจิต (ออร์แกนิกฟู้ด) ไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการมากไปกว่าอาหารที่ได้จากกรรมวิธีตามปกติ

"ผู้บริโภคจ่ายเงินแพงขึ้นเพื่อบริโภคอาหารชีวจิตเพราะเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย ส่งผลให้ตลาดอาหารชีวจิตทั่วโลกในปี 2550 มีมูลค่าสูงถึง 1,680,000 ล้านบาท แต่จากการพิจารณาทบทวนอย่างเป็นระบบต่อรายงานทางวิทยาศาสตร์ 162 ชิ้นซึ่งลงตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ไม่พบหลักฐานสนับสนุนว่าอาหารชีวจิตมีคุณค่าทางโภชนาการเหนือกว่าอาหารที่ผลิตขึ้นโดยกรรมวิธีปกติ" นักวิจัยระบุ

ด้านนายปีเตอร์ เมลเชตต์ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสมาคม "ซอยล์ แอสโซซิเอชั่น" ของอังกฤษ ซึ่งสนับสนุนการทำฟาร์มชีวจิต กล่าวว่า รู้สึกแปลกประหลาดใจและผิดหวังกับข้อมูลจากรายงานชิ้นนี้ เพราะผู้ทำวิจัยไม่ได้ให้ความสำคัญของประโยชน์ทางโภชนาการที่ชัดเจนบางอย่างของอาหารชีวจิต และไม่ได้นำปัจจัยเรื่องการใช้ยาฆ่าแมลงตามสวนเกษตรแบบปกติว่าส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพผู้บริโภคอย่างไรบ้าง

ทั้งนี้ อาหารชีวจิตเน้นความเป็นธรรมชาติ แนะนำให้บริโภคพืชผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ผักผลไม้สดตามฤดูกาลไม่ผ่านการปรุงแต่ง ดื่มน้ำสะอาดและชาสมุนไพรหรือน้ำผลไม้ งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นปลาและอาหารทะเลบริโภคได้เป็นครั้งคราว รวมทั้งงดน้ำตาลฟอกขาว กะทิ นม และไข่

หน้า 29
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdOREF6TURnMU1nPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBd09TMHdPQzB3TXc9PQ==

--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

ป้องกันข้อเข่าเสื่อม คุมน้ำหนัก-เลี่ยงนั่งยองๆ

วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6822 ข่าวสดรายวัน


ป้องกันข้อเข่าเสื่อม คุมน้ำหนัก-เลี่ยงนั่งยองๆ





มูลนิธิทศวรรษโรคกระดูกและข้อ (ประเทศไทย) และบริษัท มิลลิเมด จำกัด จัดงาน "Joint Free จารบีข้อเข่า" เพื่อให้ความรู้เรื่องโรคข้อกระดูกเสื่อม และให้ประชาชนตระหนักถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรค รวมถึงแนวทางในการป้องกันและรักษาโรคข้อกระดูกเสื่อมที่ถูกต้อง เพื่อช่วยลดอัตราการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ที่เซ็นทรัลเวิลด์

ในงานมีการเสวนาระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เชิญ แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ กับคุณแม่นวลนง รวมถึงน้องมิ้นท์ AF3 กับคุณพ่อโกวิท วัฒนกุล ที่มาพูดคุยถึงการดูแลตัวเองให้พ้นจากโรคข้อกระดูกเสื่อม

โรคข้อเสื่อมเป็นโรคที่กระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อเกิดความผิดปกติ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อทั้งทางด้านรูปร่าง โครงสร้าง และทางเคมี

โดยปกติกระดูกอ่อนจะมีความยืดหยุ่น ทำหน้าที่ลดแรงที่กระทำต่อข้อกระดูกและทำให้ข้อเคลื่อนไหวด้วยความราบรื่น เมื่อกระดูกอ่อนเสื่อม กระดูกแท้จะเสียดสีกันทำให้เกิดความเจ็บปวดและเกิดเสียงดัง และทำให้สูญเสียหน้าที่ในการเคลื่อนไหว รับน้ำหนัก และกระจายแรง ซึ่งภาวะข้อกระดูกเสื่อมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น และพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่มีการใช้งานของข้อมาก



น.พ.อุดม วิศิษฏ์สุนทร ประธานมูลนิธิทศวรรษโรคกระดูกและข้อ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบัน ประชากรทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เพราะโรคนี้มักมีอาการปวดเวลาเคลื่อนไหวข้อมากๆ บางครั้งมีเสียงดังที่ข้อขณะเคลื่อนไหว บวม กดเจ็บ ข้อผิดรูปหรือพิการได้

จากการสำรวจชุมชนผู้สูงอายุบริเวณโรงพยาบาลศิริราชในปี 2545 พบว่า ไทยมีผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมถึงร้อยละ 34.5-45.6 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งพบว่ามีอัตราเพิ่มสูงขึ้นของโรคกลุ่มนี้อย่างมาก ส่งผลกระทบทั้งต่อสภาพร่างกาย จิตใจ รวมถึงเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ ดังนั้น หากคนไทยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคดังกล่าว ตลอดจนรู้ถึงแนวทางป้องกัน และวิธีการรักษาโรคที่ถูกต้องให้กับตนเองและคนใกล้ชิดแล้ว รวมทั้งทำตามคำแนะนำของแพทย์ ก็จะทำให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรักษาอีกด้วย



พ.ญ.สุวณี รักธรรม กรรมการที่ปรึกษามูลนิธิทศวรรษโรคกระดูกและข้อ (ประเทศไทย) และอดีต ผอ.สำนักอนามัยกรุงเทพ มหานคร กล่าวว่า อายุเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งมีความสำคัญในการเกิดภาวะข้อเสื่อม ยิ่งอายุมากขึ้น กระดูกอ่อนบริ เวณผิวข้อจะมีการสึกหรอตามการใช้งานข้อ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงในกระดูกอ่อนจากโรคบางอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การติดเชื้อในข้อ ก็จะทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อให้เสื่อมเร็วยิ่งขึ้นเช่นกัน

ปัจจุบันยังรักษาโรคข้อเสื่อมให้หายขาดไม่ได้ การรักษาจึงมุ่งที่การลดอาการปวดและคงการใช้งาน เช่น กายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อเข่า การใช้ยา และการผ่าตัด ซึ่งยาในปัจจุบันใช้สะดวกมากขึ้น โดยมีผงชงละลายน้ำกลูโคซามีนซัลเฟต สำหรับดื่มวันละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยชะลอการสึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ และช่วยบรรเทาอาการปวดของโรคข้อเสื่อม

"ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันการสึกหรอของข้อไม่ให้เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกิน หลีกเลี่ยงการคุกเข่า ขัดสมาธิ หรือนั่งยองๆ รวมทั้งการขึ้นลงบันไดบ่อยๆ ที่ไม่จำเป็น ผู้ที่มีการบริหารกล้ามเนื้อเข่าให้แข็งแรงจะช่วยให้การใช้งานข้อได้ดีขึ้น ในเรื่องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพนั้นควรเลือกให้เหมาะสม เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน หรือการออกกำลังกายในน้ำ โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก"

โรคข้อเสื่อมยังเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ได้อีก เช่น พันธุกรรม น้ำหนักตัว ลักษณะการใช้งานข้อที่ไม่ถูกต้อง อาชีพที่มีการใช้งานของข้อมาก และการได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อ ทั้งนี้ อัตราการเกิดโรคในเพศหญิงและชาย ก็ขึ้นอยู่กับช่วงอายุด้วย โดยพบว่าในช่วงอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป พบในเพศหญิงสูงกว่าเพศชาย อาจเป็นผลเนื่องจากวัยทองหรือช่วงวัยหมดประจำเดือนที่มีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน

ดังนั้น ไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ตาม ก็ควรเริ่มดูแลและรักษาตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันภาวะข้อเสื่อมที่อาจก่อให้เกิดการสูญเสียเพิ่มขึ้นในอนาคต หรือสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อมได้ที่ โทร. 0-2510-2023

หน้า 25
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROc1lXUXdNVEF6TURnMU1nPT0=&sectionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBd09TMHdPQzB3TXc9PQ==

--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นักวิจัย มก. แนะนำ "เสาวรส...ผลไม้มากคุณค่า

นักวิจัย มก. แนะนำ "เสาวรส...ผลไม้มากคุณค่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 สิงหาคม 2552 12:11 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เสาวรส หรือ กระทกรก กระทกรกฝรั่ง
เสาวรส เป็นผลไม้เขตร้อน ให้คุณประโยชน์ทางโภชนาการสูง มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตาปรับสมดุลในร่างกาย ให้สดชื่นนอกจากนี้ยังช่วยสมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสามารถนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ดีอีกด้วย
       
       ด้วยเหตุนี้ ช่อลัดดา เที่ยงพุก นักวิจัยฝ่ายกระบวนการผลิตและแปรรูป สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แนะนำว่า เสาวรส หรือ กระทกรก กระทกรกฝรั่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Passifora spp. พบครั้งแรกที่ประเทศเม็กซิโก และนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2498 มี 3 สายพันธุ์ คือ พันธุ์สีม่วง เมื่อผลสุกผิวมีสีม่วงเข้ม มีรสชาติหวาน กลิ่นหอม นิยมรับประทานสด , พันธุ์สีเหลือง เมื่อผลสุกผิวมีสีเหลืองเป็นมัน เปลือกหนา มีรสเปรี้ยว เหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นเครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้ชนิดต่างๆและ "พันธุ์ลูกผสมสีหลืองและสีม่วง"
       

       ช่อลัดดา นักวิจัย มก. กล่าวถึงคุณประโยชน์ที่ได้จากเสาวรส มีคุณค่าทั้งวิตามินเอ และวินตามินซี "คุณประโยชน์ของเสาวรสที่นำมาทำเป็นน้ำเสาวรสมีทั้งวิตามินเอ บำรุงสายตาช่วยรักษาสภาพเยื่อบุผิว มีวิตามินซี ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค นำไปปรุงแต่งกินประกอบอาหาร ขนมต่างๆ อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ใช้ทาหน้าก่อนนอน ลดรอยเหี่ยวย่น และช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับร่างกาย ลดอาการวิงเวียนคลื่นไส้ บรรเทาอาการจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ฟื้นฟูตับและไตที่อ่อนแอ กำจัดสารพิษในเลือด ลดไขมันในเลือด

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ลักษณะของเสาวรสจะมี ยอดอ่อน ที่สามารถรับประทานได้ มีรสชาติขมเล็กน้อย เนื้อหุ้มเมล็ด ในผล รับประทานสดได้ มีกากใยอาหาร ใบสด ใช้พอกแก้หิด ดอก ใช้ขับเสมหะ แก้ไอ ต้นสด ห้ามนำมารับประทานเพราะอาจถึงตายได้ เปลือก เป็นอาหารสัตว์ และนำมาทำปุ๋ยหมักได้ ส่วน เมล็ด มีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
       
       นอกจากนี้ในประเทศอิตาลีได้ผลิตน้ำมันจากเมล็ดของเสาวรส และนไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์กันแดด ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดการอักเสบของสิว ช่วยลดจุดด่างดำ เนื่องจากมีวิตามินซีสูงและวิตามินเอช่วยสมานผิวรักษษเยื่อบุผิวหนัง ซึ่งในทางอโรมาจัดว่า น้ำเสาวรสเป็นน้ำมันที่ให้ความผ่อนคลายในการนวดได้ดี และนิยมใช้นวดบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ดีอีกด้วย
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000087235

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://ilaw.or.th
http://www.pnac-th.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.thaisara.com
http://www.oknation.net/blog/aumpradya
http://www.oknation.net/blog/roungkaw
http://www.oknation.net/blog/pacm/2009
http://www.oknation.net/blog/summer
http://www.thaibreastfeeding.org

คลีนิคกทม.เมินรับยาต้านหวัด09 ร่วมแค่ 31 จาก 181 แห่ง แพทยสภาหวั่นถูกฟ้อง ห่วงจ่ายยาเด็กเล็ก

แฟ้มภาพ



วันที่ 02 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 17:39:48 น.  มติชนออนไลน์

คลีนิคกทม.เมินรับยาต้านหวัด09 ร่วมแค่ 31 จาก 181 แห่ง แพทยสภาหวั่นถูกฟ้อง ห่วงจ่ายยาเด็กเล็ก

คลีนิคเอกชนในกทม.เมินร่วมรับยาต้านไวรัสหวัด2009 สมัครเข้าโครงการเพียง 31 จากทั้งหมด 181 แห่ง แพทยสภาหวั่นถูกฟ้องหากรักษาผิดพลาด ผู้ป่วยไม่เข้าใจ ห่วงการจ่ายยาให้เด็กเล็ก แบ่งปริมาณไม่เหมาะสมกับน้ำหนักและอายุ เหตุไม่มีเครื่องละลาย แนะควรส่งเด็กที่ป่วยรักษาต่อในโรงพยาบาล

 

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.11) เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ขณะนี้ทั่วโลกกังวลกันมาก รัฐบาลไทยเองก็ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จุดหลักขณะนี้จะอยู่ระบบการกระจายยา และติดตามว่ามีผลกระทบต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อะไรหรือไม่ ส่วนมาตรการป้องกันกรณีที่อาจมีการแพร่ระบาดในระลอก 2 และ 3 เท่าที่ติดตามพบว่าสถานการณ์ใน กทม. น่าจะเริ่มเบาลง แม้จะไม่ชัดเจน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ขาขึ้น 
 

"ผมไม่ค่อยสบายใจ เพราะมีคนชอบไปพูดว่าเรามีปัญหามากที่สุดในโลก ที่จริงมันไม่ใช่ เพราะองค์การอนามัยโลก (ฮู) เลิกให้รายงานตัวเลขไปแล้ว หลายประเทศถือว่าเป็นโรคปกติธรรมดาไปแล้ว ตอนนี้ประเทศที่พบการติดเชื้อและการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากคือ ประเทศชิลี บราซิล ออสเตรเลีย แคนาดา และอังกฤษ ถึงขั้นบอกว่าบางวันอาจมีผู้เสียชีวิตเป็นร้อยคน ซึ่งผมหวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น และยังไม่อยากจะเชื่อ" นายอภสิทธิ์กล่าว
 

ด้านนพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธานประชุมการกระจายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ และจัดอบรมความรู้ในการวินิจฉัยโรคและการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้กับคลีนิคในพื้นที่ กทม.จำนวน 181 แห่ง ที่ สธ. โดยที่ประชุมได้แจกใบสมัครเข้าร่วมเป็นคลีนิคเครือข่ายของ สธ. มีให้เลือก 2 แนวทาง คือ
1. เข้าร่วมเฉพาะการคัดกรองผู้ป่วย และส่งต่อในโรงพยาบาลแม่ข่ายที่กำหนด
2.เข้าร่วมโครงการ และพร้อมจ่ายยาต้านไวรัสตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยคลีนิคใดตอบรับที่จะกระจายยาต้านไวรัส และมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ กองประกอบโรคศิลปะจะจ่ายยาต้านไวรัสให้ทันทีคลีนิคละ 50 เม็ด รักษาผู้ป่วยได้ 5 คน  และพร้อมที่จะใช้รักษาประชาชนตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป
 

นพ.สมยศ กล่าวว่า มีคลีนิคลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเป็นเครือข่ายคัดกรองและส่งต่อผู้ป่วย  39 แห่ง จากทั้งหมด 181 แห่ง  ในจำนวนนี้มีเพียง 31 แห่ง ที่สมัครใจรับยาต้านไวรัสสำรองในคลีนิค แต่ตัวเลขยังไม่นิ่งต้องรอให้ครบกำหนดคือวันที่ 5 สิงหาคมนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้าย แต่ต้องยอมรับว่ามีคลีนิคที่สมัครรับยาต้านไวรัสน้อย เพราะคลีนิคทั้ง 181 แห่ง ส่วนใหญ่หรือประมาณ 2 ใน 3 เป็นคลีนิครักษาโรคเฉพาะทาง เช่น ผิวหนัง โรคหัวใจ หู คอ จมูก เป็นต้น  ส่วนคลีนิคตรวจรักษาโรคทั่วไป เป็น 1 ใน 3 ของคลีนิคทั้งหมดในเขต กทม.
 

นพ.สมยศ กล่าวว่า ประชาชนที่เข้าใช้บริการที่คลีนิคที่ร่วมโครงการ จะได้รับการยกเว้นค่ายาเฉพาะยาต้านไวรัสโอเซลทาเวียร์อย่างเดียวเท่านั้น แต่บริการอื่นๆ คงต้องจ่ายตามปกติ เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก หรือยาแก้อักเสบ และอื่นๆ เป็นต้น และหากคลีนิคพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่มีอาการรุนแรง ให้ส่งตัวผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลในสังกัด สธ. ใน กทม.และปริมณฑล 6 แห่ง ได้แก่ เลิดสิน สถาบันโรคทรวงอก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ราชวิถี นพรัตนราชธานี และสถาบันบำราศนราดูร ตลอด 24 ชั่วโมง
 

นอ.(พิเศษ.) นพ.อิทธิพร คณะเจริญ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า การกระจายยาต้านไวรัสลงคลีนิคเอกชนนั้น ไม่กังวลเรื่องการรักษาเพราะแพทย์มีมาตรฐาน และมีแนวทางการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 อยู่แล้ว แต่เป็นห่วงในส่วนของประชาชน เพราะมีความรู้ ความเข้าใจโรคแตกต่างกัน และมีจำนวนมากที่ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง ว่าหากไปรักษาที่คลีนิคแล้วจะต้องได้รับยาต้านไวรัสทันที ซึ่งข้อเท็จจริงแล้ว หากไม่เป็นกลุ่มเสี่ยง ไม่มีอาการของโรค ก็จะไม่ได้รับยาต้านไวรัส ซึ่งจุดนี้อาจทำให้เกิดปัญหาได้ว่า ทำไมคนนี้ได้ยา คนนี้ไม่ได้ยา
 

“แพทย์จะต้องอธิบายทำความเข้าใจกับผู้ป่วยอย่างละเอียดว่า ทำไมจึงจ่ายยาให้ และทำไมจึงไม่จ่ายยาให้ ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาแพทย์ต้องอธิบายถึงผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะภูมิต้านทางแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากเกิดปัญหาความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดเกิดขึ้น อาจเป็นจุดที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยฟ้องร้องแพทย์ได้ ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก” นอ.(พิเศษ)นพ.อิทธิพร กล่าว
 

นอ.(พิเศษ)นพ.อิทธิพร กล่าวว่า ยังเป็นห่วง เรื่องคลีนิคจ่ายยาต้านไวรัสให้เด็กเล็ก จะต้องผ่านการะบวนการแบ่งยาเพื่อให้ได้ปริมาณยาที่เหมาะสมกับน้ำหนักและอายุ ซึ่งไม่สามารถใช้การหักยา ตัด หรือแบ่งยาเหมือนกันยาทั่วไปอื่นๆ ได้ ต้องใช้เครื่องทำละลายตัวยาโดยเฉพาะ และผสมกับน้ำให้เด็กทาน แต่ในคลีนิคจะไม่มีเครื่องละลายยา หรือไม่มีความเชี่ยวชาญพอ มีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด และอาจทำให้เด็กได้รับอันตรายได้ ดังนั้น หากมีผู้ป่วยเด็กเล็กควรส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลเด็กทันที
 

นายไพศาล บางชวด นายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข  กล่าวว่า สมาคมฯเห็นว่า สาเหตุสำคัญที่ สธ. ไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องมาจากยุทธศาสตร์การควบคุมและป้องกันโรคไม่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกของการพบว่ามีการแพร่ระบาด รัฐบาลให้น้ำหนักกับการควบคุมและป้องกันโรคน้อยกว่าที่ควรจะเป็น 
 

นายไพศาล กล่าวว่า ประเด็นสำคัญของการควบคุมโรคไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ที่ตรงจุดคือ การให้คนที่ป่วย หรือมีอาการสงสัยว่าจะป่วยให้อยู่บ้านเพื่อดูอาการ 5-7 วัน ซึ่ง ครม.ก็มีมติให้หยุดได้โดยไม่ถือเป็นวันลา กลับไม่ได้รับการเน้นย้ำเท่าที่ควร ทำให้มีผลอย่างมากในการแพร่ระบาด เพราะการที่ผู้ป่วยออกมาใช้ชีวิต หรือมาร่วมทำกิจกรรมกับคนทั่วไปตามที่ชุมชนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคแพร่ระบาดไปอย่างกว้างขวาง รวดเร็วจนน่าตกใจ
 

"เมื่อราววันที่ 30-31 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมเข้าไปประชุมที่ สธ. มีข้าราชการสังกัดสำนักงานหนึ่งใน สธ. 2-3 ราย เดินเข้ามาบอกผมว่าให้ไปดูที่ชั้น 3 ของตึกหนึ่งภายในสธ. เพราะเจ้าหน้าที่และข้าราชการต้องใส่หน้ากากอนามัยกันทั้งชั้น เนื่องจากมีแพทย์ป่วยเป็นไข้หวัด  ยังไม่ยอมหยุดพักอยู่บ้าน แต่กลับมาทำงานตามปกติ เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อให้แก่ผู้ร่วมงาน เป็นการสะท้อนว่าแม้แต่บุคลากรของ สธ. บางคนยังขาดจิตสำนึกและไม่ตระหนักในเรื่องนี้"นายไพศาลกล่าว และ ว่างบประมาณที่รัฐทุ่มเทลงไปในการต่อสู้กับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ให้น้ำหนักเรื่องการรักษา ด้วยการจัดซื้อยาและวัคซีนมากเป็นพิเศษ ทั้งที่เป็นประเด็นปลายเหตุ ไม่ใช่เป็นการป้องกันโรคแต่อย่างใด
 

นายไพศาล กล่าวว่า  สมาคมฯขอเสนอ 4 ข้อเพื่อเสริมมาตรการของ สธ. ได้แก่
1.ให้นำเรื่องการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทยเข้าร่วมควบคุม ป้องกัน โดยมีสธ. เป็นแกนกลาง 2.สธ.กำหนดบทบาทภารกิจของหน่วยงานในสังกัดให้ชัดเจน
3.ดูแลขวัญและกำลังใจบุคลากรของ สธ. และอสม. ที่ร่วมปฏิบัติภารกิจนี้ ในกรณีที่อาจจะได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 รัฐจะชดเชยค่าเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ให้อย่างไร และ
4.สมาคมฯ จะนำข้อเสนอแนะและปัญหาจากพื้นที่ๆที่เป็นรูปธรรม เป็นเอกสารเพื่อนำเรียนผู้บริหารระดับสูง เพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวต่อไป
 

                                              http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1249209754&grpid=00&catid=04

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://ilaw.or.th
http://www.pnac-th.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://dbd-52.hi5.com
http://www.thaisara.com
http://www.oknation.net/blog/aumpradya
http://www.oknation.net/blog/roungkaw
http://www.oknation.net/blog/pacm/2009
http://www.oknation.net/blog/summer