วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"กลับสู่ต้นน้ำ" เดินทวนกระแส หาสุขแท้...จากสามศาสดา

วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11418 มติชนรายวัน


"กลับสู่ต้นน้ำ" เดินทวนกระแส หาสุขแท้...จากสามศาสดา





วิทยากรจาก 3 ศาสนา ร่วมพูดคุยให้ความรู้แก่เยาวชน

การใช้ร่างตัวเองป้องกันผู้อื่นให้รอดพ้นจากการถูกสัมผัสจาก "หมูและหมา" อาจเป็นวีรกรรมพื้นๆ สำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับ "กัส" วนัสนันท์ หมัดมณี กลับเพียงพอแล้วที่จะเอ่ยว่า "เป็นความประทับใจ" ได้อย่างเต็มปาก

"นอกจากมุสลิมจะห้ามกินและโดนตัวหมู หมาก็ห้ามโดนเหมือนกัน จะผิดหลักศาสนา เพื่อนคนอื่นพอรู้ว่าศาสนาเรามีข้อห้ามเหล่านี้ เขาก็จะเอาตัวมาป้องกันเรา ทั้งๆ ที่เขาเองก็กลัวมันกัด รู้สึกประทับใจมาก จากตอนแรกที่ไม่กล้าจะพูดคุยอะไร ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น" กัส นักเรียนจากโรงเรียนท่าอิฐศึกษา โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม เล่าย้อนถึงความรู้สึกดีๆ หลังผ่านการใช้ชีวิตในค่ายร่วมกับเพื่อนๆ นักเรียนจากต่างโรงเรียน เมื่อไม่นานมานี้

โครงการออกค่าย "กลับสู่ต้นน้ำ" จัดขึ้นโดยเครือข่ายพุทธิกา ร่วมกับกองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเป็นโครงการที่ให้เยาวชนหลากศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม ได้มาร่วมทำกิจกรรมตลอดระยะเวลา 5 วัน นับตั้งแต่เดินทางด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯไปถึงที่หมายภาคเหนือ โดยเริ่มจากการเดินทางขึ้นเหนือเพื่อใช้ชีวิตกับคนในชุมชน เดินสู่ต้นน้ำในหมู่บ้านปกากะญอ ที่บ้านแม่นิงนอก ต.แม่ศึก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เพื่อเรียนรู้ปลูกฝังให้เยาวชนเข้าใจถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เสมือนการย้อนรอยของศาสดาของแต่ละศาสนา กลับสู่แก่นแท้ของศาสนาตัวเองจากชีวิตจริง

จับมือกันไว้ ไปด้วยกัน



เยาวชนนักเรียนผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะถูกอาจารย์แต่ละโรงเรียนคัดสรรจากการเป็นผู้ที่เคารพและเคร่งครัดในศาสนาของตัวเองเป็นทุนเดิมก่อนแล้ว เพราะจะได้ต่อยอดและเข้าใจในวัตถุประสงค์ของโครงการ รวมถึงกลับมาเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน

พระมหาปรกฤษณ์ กนฺตสีโล หรือหลวงพี่กบ แห่งวัดดุสิตาราม หนึ่งในคณะกรรมการและวิทยากรผู้ร่วมโครงการ เล่าว่า กระบวนการทั้งหมดของค่ายกลับสู่ต้นน้ำเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติ ซึมซับเอาความรู้สึก ก่อนนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาไตร่ตรองวิเคราะห์บนฐานของจิตวิญญาณ (ศาสนา) ที่ศาสดาในศาสนาของศาสนิกต่างๆ เป็นผู้ชี้แนวทางให้ปฏิบัติ

"กิจกรรมต่างๆ ล้วนนำไปสู่ความเข้าใจในหลักธรรม เข้าถึงแก่นของศาสนา เช่น กิจกรรมเดินย้อนไปสู่ต้นน้ำที่มาจากลักษณะสำคัญของพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ ด้วยการพัฒนาตนเอง เพื่อนำไปสู่การพ้นจากความทุกข์ ผู้จัดจึงออกแบบกิจกรรมกระบวนการเรียนรู้ที่นำไปสู่ความเข้าใจ และเล็งเห็นความสำคัญของหลักธรรม วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ในระหว่างการเดินทวนกระแสน้ำเพื่อไปสู่ต้นน้ำ หรือการจัดให้เยาวชนศาสนาละ 1 คน ได้พักในบ้านของปกากะญอหลังเดียวกัน และไปทำงานร่วมกันกับเจ้าของบ้าน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความทุกข์ ความเจ็บปวดเหมือนกัน การอยู่ร่วมกันต้องอาศัยความรัก ความเมตตา การรู้จักลดตัวตนของตนเองเป็นต้น

น้องกัส (ซ้าย) และเพื่อน



"การเดินทวนน้ำเปรียบได้อีกอย่างกับการเดินทวนกระแสนิยม ผู้ที่เกิดจำเป็นต้องมีสติ มีสมาธิอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นอาจถูกกระแสน้ำหรือกระแสนิยมเหล่านั้นพัดพาไปได้" หลวงพี่กบอธิบาย

และหากมองในมุมของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังการผ่านกิจกรรมต่างๆ ของ "กัส" บอกว่า "ที่เกิดขึ้นทันทีคือการเปลี่ยนทัศนคติ จากที่มองว่าคนต่างศาสนามีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสนิทสนมได้ ก็ค่อยๆ หมดไป เราเคยมองว่าคนศาสนาอื่นมักชอบมองว่าพวกอิสลามเป็นคนรุนแรง เพราะสิ่งที่พวกเขารับรู้มาเป็นแบบนั้น พอได้พูดคุยกันก็รู้ว่าที่ผ่านมาเราคิดผิด ทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้และคิดไปต่างๆ นานา"

เด็กสาวมุสลิมยังเล่าย้อนถึงความประทับใจว่า "อย่างที่หมู่บ้านที่ไปอยู่เขาจะเลี้ยงหมู เลี้ยงหมา โดยไม่ได้กั้นคอกไว้ เลยพากันเดินไปมา เราก็กลัว เพื่อนก็กลัว แต่เขาก็ยังเอาตัวมาบังๆ ให้เรา เขาบอกว่าถ้าเขาโดนก็แค่เจ็บตัว แต่เรานี่โดนแล้วจะผิดหลักศาสนาเลย ตรงนี้รู้สึกประทับใจมาก"

ขณะที่ "เมย์" ทนิตา เปลี่ยนพันธ์ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ บอกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่า ที่เห็นได้ชัดที่สุดเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านการใช้จ่าย จากเดิมที่ใช้เงินมาก ต้องขอค่าขนมจากผู้ปกครองเพิ่มเติมระหว่างอาทิตย์บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่ง่ายๆ ของชาวบ้าน ทั้งการกิน การนอน จึงรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง เกิดการยับยั้งใจที่จะใช้จ่ายเงิน

ส่วนเรื่องมุมมองทางศาสนานั้น "เมย์" มองว่า "การได้ทำกิจกรรมร่วมกันในครั้งนี้ ทำให้รู้สึกยอมรับในความต่างและเปิดใจรับรู้เรื่องราวของคนอื่นๆ มากขึ้น"

สอดรับกับแง่มุมมองถึงความสำเร็จของโครงการ ซึ่ง "หลวงพี่กบ" สะท้อนว่า "จากผลการประเมินภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมไปแล้ว 1 และ 2 เดือน พบว่าเยาวชนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในลักษณะที่มีการนำเอาหลักธรรมต่างๆ มาปรับใช้บ้าง โดยมีพฤติกรรมเด่นชัดในเรื่องที่เยาวชนผู้นั้นได้หยิบยกมาไตร่ตรองด้วยตนเอง"

หน้า 7
 

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

McAfee เผย 10 คำค้นสุดอันตราย ส่งเรื่องราวดีดีมาให้คุณอ่าน

คุณ McAfee เผย 10 คำค้นสุดอันตราย ได้เข้าเวบ www.oknation.net และส่งเรื่องราวดีดีมาให้คุณอ่าน : อ่านเรื่อง คลิ๊กที่นี่ http://www.oknation.net/blog/aumpradya/2009/05/30/entry-1 ....................................................................... ผู้ส่ง McAfee เผย 10 คำค้นสุดอันตราย

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

10เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดี

10เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดี


      ปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องยอดฮิตติดปากของคนไทยทุกวันนี้แล้ว  เห็นได้จากการทำบุญไหว้พระ  คำว่า  "ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง"  กลายเป็นคำอธิษฐานมาแรงแซงหน้าในยุคปัจจุบัน  จึงเป็นเหตุผลให้ผู้คนมากมายในสังคมมองหาหนทางรักษาสุขภาพของตัวเอง  เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยอันนำมาซึ่งความเสียหายและปัญหาอื่นๆ  ตามมามากมาย
     ล่าสุด  นิตยสาร  H  to  H  Magazine  ได้รายงาน  "10  ทิปเพื่อการมีสุขภาพดี"  โดยสนับสนุนข้อมูลจากโรงพยาบาลเปาโล  เมโมเรียล  เราจึงนำมาบอกต่อเพื่อให้คุณๆ  ได้ลองพิจารณา  เพราะไม่ใช่เรื่องยากเลย
     1.แอปเปิลวันละผล..คำพูดที่ว่า  an  apple  a  day,  keeps  doctor  away  เป็นจริงเสมอ  จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอนพบว่า  การรับประทานแอปเปิลวันละผลจะทำให้การทำงานของปอดดีขึ้น  จากแอนติออกซิเดนต์และสารในแอปเปิลที่เรียกว่า  quercetin  ซึ่งช่วยทำให้ปอดแข็งแรงและทำงานได้อย่างเป็นระบบ
     2.หายใจลึกๆ..เราควรหายใจให้ลึกเพื่อขยายการทำงานของปอด   และทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ   แต่ทุกวันนี้เรามักหายใจสั้นๆ   เนื่องจากการทำงานในที่อับทึบ  หรือเพราะความไม่รู้  เพราะฉะนั้นในแต่ละวันลองหายใจลึกๆ  ให้ได้อย่างน้อยวันละ  10  ครั้ง  และต้องเป็นแบบหายใจเข้า  ท้องป่อง  หายใจออก  ท้องแฟบด้วย  จึงจะเรียกว่าถูกวิธี
     3.หลีกเลี่ยงการนำผักเข้าไมโครเวฟ..จากการวิจัยของสเปนพบว่า  การทำผักให้สุกในไมโครเวฟจะทำให้สารอาหารหายไปได้ถึง  97  เปอร์เซ็นต์  เพราะฉะนั้นทางเลือกที่เราควรจะเลือกคือ  การรับประทานผักสดๆ  หลีกเลี่ยงผักแบบไมโครเวฟ  แม้อาหารกล่องอาจให้รสอร่อย  แต่จงรู้ไว้ว่าสารอาหารนั้นไม่มีเหลือแล้ว
     4.ขยับตัวเสมอ..สังเกตไหม   คนที่ขยับตัวอยู่เสมอจะมีระบบย่อยอาหารที่ดีกว่าคนที่เอาแต่นั่ง  วิธีนี้ช่วยป้องกันอาการท้องผูก  รวมไปถึงโรคกระดูกพรุนด้วย
     5.ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว..น้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง  มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน  เช่น  โพแทสเซียม  เหล็ก  โซเดียม  แคลเซียม  ฟอสฟอรัส  กรดอะมิโน  และวิตามินบี  แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที  มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  และมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกาย  เป็นต้น
     6.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง..ในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง   เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น  การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลต่อการเกิดอาการชักได้
     7.กินส้มช่วยแก้อาการเบื่อหน่ายได้..การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง  จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย  และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ  ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดได้ดีออกมาด้วย
     8.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม..อาหารมื้อเช้าช่วยต่อต้านการแข็งตัวของเลือด   เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ   จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดจะอุดตันมากขึ้น  สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง  สมองจึงค่อยๆ  เสื่อม
     9.ดาร์กช็อกโกแลตต่อต้านอนุมูลอิสระ..รู้ไหมว่า  ช็อกโกแลตชนิดอื่นๆ  แทบไม่มีส่วนผสมของโกโก้เลย  มีเพียงดาร์กช็อกโกแลตเท่านั้นที่เป็นช็อกโกแลตแท้ๆ  และยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย  เพราะมีสารเฟลวานอยด์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนระบบหลอดเลือด  โดยปริมาณที่เหมาะสมคือ  ในแต่ละวันให้รับประทานช็อกโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์
     10.สมการความสุข  y=b+c..y  คือ  ความสุข  b  คือ  ความรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะมีความสุข  อาทิ  มีความเข้าใจชีวิตว่าเป็นอย่างไร  รู้จักองค์ประกอบของชีวิต  เป็นต้น  c  คือ  ความอยากในชีวิต  หากมีความอยากมากกว่าความรู้ที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข  คนคนนั้นก็มีความสุขที่ติดลบ.
 
http://www.thaipost.net/x-cite/100609/5973


What can you do with the new Windows Live? Find out

วิธีป้องกันวัชพืชขึ้นเยอะจนทำให้ต้นไม้ดูไม่สวยงาม


 
 

วันที่ 10 มิถุนายน 2552 เวลา 00:00 น.
วิธีป้องกันวัชพืช
ใครที่กำลังประสบกับปัญหาวัชพืชขึ้นเยอะจนทำให้ต้นไม้ดูไม่สวยงาม วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีป้องกันวัชพืชมาฝาก...
วัชพืชหรือหญ้าที่ขึ้นมาเป็นตัวแย่งอาหารจากต้นไม้ ทำให้ต้นไม้ไม่สวยงาม และยังเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งสะสมของโรคแมลงบางชนิด
การป้องกัน
1. ควรใช้เมล็ดพืชปลูกที่ปราศจากเมล็ดวัชพืชปน เพราะจะไม่ทำความเสียหายให้พืชปลูก นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องป้องกันการระบาดของวัชพืชเป็นอย่างดี
2. ควรระมัดระวังการใช้ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสดอย่าใช้ปุ๋ยคอกที่ยังใหม่ โดยยังไม่ได้หมัก เพราะการหมักจะทำลายการงอกของเมล็ดวัชพืชได้ ส่วนปุ๋ยพืชสดควรใช้ขณะพืชนั้นยังไม่มีเมล็ด
3. ดินที่ใช้ควรปราศจากเมล็ด เหง้า หรือหัววัชพืช เครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตรควรสะอาดไม่มีส่วนต่าง ๆ ของวัชพืช หรือเมล็ดวัชพืชติดอยู่
4. หมั่นดูแลแปลงเพาะปลูก ควรถอนวัชพืชเมื่อยังเป็นต้นอ่อน เพราะรากหยั่งดินยังไม่ลึก ง่ายต่อการถอนและไม่มีการแพร่กระจาย เพราะยังไม่มีเมล็ด
5. การเลือกเวลาปลูกเป็นการป้องกันวิธีหนึ่งเมล็ดวัชพืชมักอยู่ตามหน้าดินหรือระดับตื้น ๆ เมื่อได้ฝนต้นฤดูการเพาะปลูกพืช เมล็ดเหล่านั้นจะงอก ควรเก็บวัชพืชออกเสียก่อน แล้วจึงปลูกพืชที่ต้องการ แม้การปลูกพืชจะล่าช้าออกไป แต่ก็ช่วยให้ปริมาณวัชพืชลดลง
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากให้ต้นไม้ดูสวยงาม ก็ควรป้องกันวัชพืชตั้งแต่ปลูกต้นไม้จะดีกว่า.
 http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=74853&NewsType=2&Template=1


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

See all the ways you can stay connected to friends and family

'มะพร้าว'...พืชสารพัดประโยชน์ อุดมด้วยคุณค่า

วันที่ 9 มิถุนายน 2552 เวลา 00:00 น.
 
 
'มะพร้าว'...พืชสารพัดประโยชน์ อุดมด้วยคุณค่า
มะพร้าว...พืชชนิดหนึ่งที่เรารู้จักกันดี เราใช้ประโยชน์จากมะพร้าวได้หลายทาง เช่น น้ำและเนื้อมะพร้าวอ่อนใช้  รับประทาน เนื้อในผลแก่นำไปคั้นกะทิได้ กากที่เหลือจากคั้นกะทิยังสามารถนำไปทำอาหารสัตว์ได้ ยอดอ่อนของมะพร้าวนำมาทำอาหารได้ ใยมะพร้าวนำไปยัดฟูกหรือนำไปใช้ในการเกษตร กากมะพร้าวบดนำไปหีบหรือต้มเป็นน้ำมันมะพร้าว นำไปใช้  ในการปรุงอาหารหรือนำไปทำเครื่องสำอางก็ได้ และในปัจจุบันยังมีการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าวอีกด้วย กะลามะพร้าวนำไปประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ เช่น กระบวย โคมไฟ ฯลฯ ก้านใบหรือทางมะพร้าวใช้ทำไม้กวาด หรือนำไปสานเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจได้อีกมากมาย นอกจากนี้แล้วมะพร้าวยังจัดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ตามความเชื่อท่านบอกว่าให้ปลูกมะพร้าวไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล
 
สำหรับประเทศไทยปลูกมะพร้าวกันทั่วประเทศ โดยปลูกมะพร้าวมากเป็นอันดับ 6 ของโลก มีผลผลิตปีละประมาณ 1,500,000 ตัน ซึ่งจังหวัดที่ปลูกมากที่สุดคือชลบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร นครปฐม และชุมพร แต่ผลผลิตมะพร้าวน้ำหอมมีที่จังหวัดสมุทรสาครมากที่สุด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ให้ผลผลิตแล้วเป็นส่วนใหญ่
 
มะพร้าวถือเป็นพืชที่ปลอดสารพิษชนิดหนึ่ง เนื่องจากเกษตรกรมีการใช้สารเคมีในการ ปลูกมะพร้าวน้อยมาก น้ำมะพร้าวอ่อนมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ได้แก่ แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี บี 2 บี 5 และบี 6 กรด โฟลิก กรดอะมิโน และฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง มีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย
 
น้ำมะพร้าวมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่นและชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย น้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายจึงช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้    จึงจัดเป็น "สปอร์ต ดริ๊งค์" สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ในประเทศไต้หวันและจีน ยังนิยมดื่ม        น้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย
 
นอกจากนั้น น้ำมะพร้าวอ่อน
ตามตำราแพทย์แผนไทยใช้เป็นยา มีสรรพคุณช่วยลดอาการไข้สูง ปวดหัวตัวร้อน ให้บรรเทาลงได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นยาบำรุงกำลังคนไข้ให้มีเรี่ยวแรงดีขึ้น
 
แต่ปัจจุบัน...ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับผลผลิต เนื่องจากพื้นที่ในการผลิตลดลงอย่างมาก เพราะเกษตรกรจำนวนมากหันไปปลูกพืชอย่างอื่นแทน เพราะการบริโภคมะพร้าวและการแปรรูปมะพร้าวยังไม่ค่อยกว้างขวางเท่าที่ควร อีกทั้งการใช้มะพร้าวเป็นพลังงานทางเลือกก็ยังไม่แพร่หลาย ทำให้ผลผลิตมะพร้าวตกค้างสต๊อกตาม "ล้ง" (คนกลางผู้รวบรวมมะพร้าว) ต่าง ๆ มีปริมาณสะสมมากจนเกิดปัญหาผลมะพร้าวเริ่มงอกเป็นต้น จำหน่ายไม่ได้ น้ำและเนื้อมะพร้าวที่แก่เกินต้องถูกทิ้งไปโดยเสียเปล่า ทำให้ปลูกแล้วไม่คุ้มกับต้นทุน ดังนั้นการแก้ปัญหาให้เกษตรกรที่หลาย ๆ หน่วยงานเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะได้ผลดีที่สุดคือ นอกจากจะต้องกระตุ้นการบริโภคมะพร้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวแล้ว   ยังจำเป็นต้องส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จาก      มะพร้าวที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานทั้งในระดับครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรม
 
เป็นที่น่ายินดีที่มีเอกชนรายหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาครนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ใช้ความร้อนและความดันสูงมาใช้ในการบรรจุและการเก็บรักษาเพื่อถนอมคุณค่าทางอาหารของน้ำมะพร้าวและน้ำสมุนไพรอื่น ๆ อีกหลายชนิดให้เก็บไว้ได้นานถึง 6 เดือนโดยไม่ต้องใช้วัตถุกันเสียและได้มีการลงทุนเพื่อผลิตในเชิงอุตสาหกรรม ในรูปแบบถ้วย      ปิดสนิทที่สะดวกและราคาไม่แพง ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากในท้องถิ่นแล้ว ยังได้รับน้ำมะพร้าวใหม่ ๆ สด ๆ จากเกษตรกรชาวสวนใน อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร โดยตรงทุกวัน ซึ่ง อ.บ้านแพ้วถือว่าเป็นที่หนึ่งในหลาย ๆ แหล่งที่ปลูกมะพร้าวอ่อนที่ดีที่สุดของไทย ซึ่งทางเอกชนดังกล่าวมีการวางจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมีการวางเป็นเครื่องดื่มรับรองแบบไทย ๆ ในห้องรับรองของสายการบินหลายสาย นับเป็นตัวอย่าง   ที่ดีอันหนึ่งที่ผนวกความสามารถเชิงพาณิชย์     ของภาคเอกชนมาประสานประโยชน์ให้กับภาคเกษตรกรรมได้อย่างลงตัว...และคงจะดีไม่น้อยถ้าได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังและกว้างขวางยิ่งขึ้นจากภาครัฐ
 
น้ำมะพร้าว...น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสมกับคนไทยที่หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น นอกจากจะอร่อยสดชื่น และดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยส่งเสริมค่านิยมการกินอยู่อย่างไทย เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ และที่สำคัญที่สุด เป็นการช่วยเพิ่มรายได้ของแรงงานไทยในท้องถิ่น และต่อลมหายใจให้กับเกษตรกรไทยชาวสวนมะพร้าวให้อยู่รอดอีกทางหนึ่งด้วย.
 
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=201491&NewsType=1&Template=1


What can you do with the new Windows Live? Find out

ยันสายสีเขียวรฟม.ไม่สะดุด

วันที่ 10 มิถุนายน 2552 เวลา 08:57 น.
 

 
ยันสายสีเขียวรฟม.ไม่สะดุด
รายงานข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) แจ้งว่า สนข.เตรียมรายงานผลการประชุมการย้ายศูนย์ซ่อมบำรุงในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ซึ่งในการออกแบบรายละเอียดเดิม จะมีศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า (เดปโป้) ที่บริเวณพื้นที่ด้านใต้สนามบินดอนเมือง ช่วงซอยพหลโยธิน 50 ไปอยู่ในโครงการส่วนต่อขยายจากสะพานใหม่-ลำลูกกา โดยใช้พื้นที่ใกล้กับบริเวณสถานีคูคต แทน โดยการปรับย้ายศูนย์ซ่อมบำรุง จะไม่กระทบแผนดำเนินโครงการ ก่อสร้างรถไฟฟ้า ที่ขณะนี้ในส่วนต่อขยายจากหมอชิต-สะพานใหม่ ที่มี  เดปโป้รวมอยู่ด้วยนั้นได้สรุปการออกแบบรายละเอียดไปแล้ว โดยจะตัดส่วนของการก่อสร้างเดปโป้ออกไป ส่วนของเส้นทางและสถานีอื่น ๆ ยังคงรูปแบบเดิมทั้งหมด แต่จะต้องปรับในรายละเอียดการเสนอก่อสร้างโครงการ โดยยืดเส้นทางเป็นหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต หรือ จากหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต-ลำลูกกา โดยจะรายงานการเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้ให้กระทรวงคมนาคม และครม.รับทราบตามลำดับ เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการต่อไป เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว ส่วนเหนือจากสะพานใหม่-ลำลูกกา และส่วนต่อขยายส่วนใต้จาก สมุทร ปราการ-บางปู ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดของบริษัทที่ปรึกษานั้น จะเป็นโครงการที่รัฐบาลได้บรรจุในแผนงานโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ปี 2553-2555 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ครม.ว่าจะเห็นควรให้ดำเนินการอย่างไร
 
สำหรับการออกแบบรายละเอียดเดปโป้ที่พื้นที่ใหม่บริเวณสถานีคูคต จะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ในขณะที่โครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ที่ได้ส่งมอบให้ รฟม.แล้วนั้น ขณะนี้รฟม.ยังไม่ได้เรียกบริษัทที่ปรึกษามาหารือในรายละเอียดการจัดทำเอกสารประกวดราคา และขณะนี้โครงการรถไฟฟ้าสายดังกล่าวยังอยู่ระหว่างกระทรวงการคลังพิจารณาจัดหางบประมาณ ซึ่งการออกแบบเดปโป้ใหม่จะแล้วเสร็จก่อนแน่นอน ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบจาก ครม.โครงการก็สามารถดำเนินการได้ตามแผนไม่มีสะดุดแต่อย่างใด.
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=201689&NewsType=1&Template=1

See all the ways you can stay connected to friends and family

ผลงานเจลทดสอบกรุ๊ปเลือด ชุดประหยัด

วันที่ 10 มิถุนายน 2552 เวลา 00:00 น. |
 
 
ฝีมือคนไทย
บริษัท อินโนว์  (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัลเหรียญทองงานไฮเทค 09 ซึ่งเป็นงานสิ่งประดิษฐ์นานาชาติของประเทศมาเลเซีย ผลงานเจลทดสอบกรุ๊ปเลือด ชุดประหยัด
แรงบันดาลใจจากงานวิจัยของ รศ.ดร.อมรรัตน์ ร่มพฤกษ์ นักวิจัยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น    เจลทดสอบกรุ๊ปเลือดนี้มีความถูกต้องแม่นยำ รวดเร็ว และต้นทุนถูกกว่าชุดทดสอบที่นำเข้าจากต่างประเทศ ขณะนี้มีใช้จริงที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น จะวางจำหน่ายทั่วประเทศภายในเดือนมิถุนายน เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
 
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=201602&NewsType=1&Template=1


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

แม้ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง...แต่มะเร็งก็ไม่เว้น

วันที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11413 มติชนรายวัน


แม้ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง...แต่มะเร็งก็ไม่เว้น





รศ.นพ.วิชัย
ผู้หญิงหลายคนอาจจะรู้จักโรคมะเร็งปากมดลูกกันมาบ้างแล้ว แต่ก็คิดว่าคงเป็นเรื่องไกลตัว!! เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่ความจริงแล้วผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นได้

นางวรรณา เหลืองชัยชาญ เธอไม่เคยคิดว่าจะตกเป็นเหยื่อมะเร็ง เพราะเติบโตในครอบครัวที่อบอุ่น รักนวลสงวนตัว รักและแต่งงานอยู่กินกับสามีเดียวเมื่ออายุ 23 ปี จนประมาณ 10 ปี วันหนึ่งเกิดอาการตกขาวมามากผิดปกติ จึงได้หาแพทย์ พบว่าเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกขั้น 1B ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ในทันที แต่ต้องทำคีโมนานถึง 2 เดือน

เธอว่า เจอโรคนี้ตอนอายุ 32 ปี ไม่เคยคิดว่ามีความเสี่ยง ทำให้ตกใจมากตอนที่รู้ผลตรวจ ยังดีที่ร่างกายแสดงปฏิกิริยาออกมาให้เห็นก่อน ไม่เช่นนั้นมะเร็งคงลุกลามไปมากกว่านี้

"หลังจากผ่าตัดแล้ว ช่วงปีแรกๆ ต้องไปตรวจทุก 2 เดือน จนปัจจุบัน 8 ปีแล้วต้องตรวจทุก 6 เดือน กลัวตลอดเวลาว่ามันจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ หลังผ่าตัดมะเร็งสิ่งที่ตามมาคือเกิดถุงน้ำบริเวณที่ผ่าตัด บางครั้งมีขนาดใหญ่ถึง 11 เซนติเมตร แล้วไปกดทับเส้นประสาท เจ็บหลังมาก เลยต้องไปเจาะออก" เธอเล่าถึงความรู้สึกอันแสนทรมานจากมะเร็งปากมดลูก

รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ หัวหน้าหน่วยมะเร็งนรีเวช ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝากถึงผู้หญิงว่า มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่ทำให้ผู้หญิงไทยเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 โดยโรคนี้มักไม่ค่อยแสดงอาการจน 10-15 ปีแล้ว หรือแสดงอาการเมื่อก้าวไปเข้าระยะที่ 2 หรือ 3 ไปแล้ว สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อ Human Papilloma Virus หรือ "เอชพีวี" ซึ่งชอบอยู่บริเวณผิวที่มีความชุ่มชื้น เช่น ซอกเล็บ ปาก และบริเวณอวัยวะเพศ ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสติดไวรัสชนิดนี้ แต่คนที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ซึ่งมีโอกาสที่จะมีคู่นอนหลายคน จะมีความเสี่ยงสูงมากกว่าคนอื่น

"ปัจจุบันผู้ป่วยโรคนี้มีแนวโน้มอายุน้อยลงมาก ล่าสุด พบเด็กหญิงอายุ 12 ปี เป็นมะเร็งปากมดลูกแล้ว ทางป้องกันที่สำคัญคือ อย่าอายที่จะไปพบหมอเพื่อตรวจเป็นประจำทุกปี, ลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย การมีคู่นอนหลายคน การสูบบุหรี่ และถ้าสามารถฉีดวัคซีนป้องกันเอชพีวีร่วมกับการตรวจ Pap Smear ก็จะได้ผลดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก" หมอทิ้งท้าย

หน้า 25
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad02090652&sectionid=0115&day=2009-06-09

ชาดอกบัว

วันที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11413 มติชนรายวัน


ชาดอกบัว





คนงานกำลังแกะเกสรออกจากดอกบัวเพื่อนำไปทำชาดอกบัว ใกล้ทะเลสาบตะวันตกในกรุงฮานอย เมืองหลวงเวียดนาม เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ทั้งนี้การที่เกสรดอกบัวนำไปผสมกับชาจะทำให้ชามีรสชาติดีเยี่ยม (เอพี)

หน้า 18

เจาะปูม"วงเวียน"ดังทั่วกรุง มีดีมากกว่าที่กลับรถ

เจาะปูม"วงเวียน"ดังทั่วกรุง มีดีมากกว่าที่กลับรถ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มิถุนายน 2552 17:04 น.
       โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินที่วงเวียนใหญ่
       หลายคนคงเคยสัมผัสกับ "วงเวียน" ซึ่งหมายถึงอุปกรณ์การเรียนหรือการวาดเขียนวงกลมให้กลมดิก ไม่บูดไม่เบี้ยว และคงจะเคยรู้จักกับ "วงเวียน" ในแง่ที่ใช้เรียกสถานที่ซึ่งมีถนนหลายสายมารวมกัน และจุดที่ถนนเหล่านั้นมาบรรจบกันจะแบ่งพื้นที่เป็นรูปวงกลมตรงกลาง และมีถนนรอบวงกลม พร้อมทั้งกำหนดให้รถวิ่งทางเดียวรอบวงเวียนนั้น
       
       วงเวียนที่ฉันกำลังจะพูดถึงนี้ไม่ใช่วงเวียนในความหมายแรก แต่เป็นวงเวียนในความหมายที่สองที่อยู่บนถนนหลายๆสาย และในกรุงเทพฯนั้นก็มีวงเวียนอยู่หลายแห่งด้วยกันที่มีความเป็นมาที่น่าสนใจ พูดอธิบายมากไปชักจะเกิดอาการวิงเวียน เพราะฉะนั้นไปดูเลยดีกว่าว่ามีวงเวียนอะไรกันบ้าง
       
       วงเวียนที่สำคัญๆในกรุงเทพฯนั้นก็มีหลายแห่งด้วยกัน ซึ่งส่วนมากก็จะมีอนุสาวรีย์อยู่กลางวงเวียนนั้น หรือบางแห่งอาจไม่มีอนุสาวรีย์ แต่ก็มีความเป็นมาที่น่าสนใจไม่น้อย มาเริ่มกันที่วงเวียนแห่งแรกที่ "วงเวียนใหญ่" ศูนย์กลางที่สำคัญในย่านฝั่งธนฯ โดยบริเวณกลางวงเวียนใหญ่เป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 2496 หรือในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม
       
       พระบรมราชานุสาวรีย์นี้เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวฝั่งธนบุรีและคนทั่วไป ลักษณะของอนุสาวรีย์เป็นพระรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเครื่องกษัตริย์และทรงพระมาลา ประทับอยู่บนหลังม้า หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่จังหวัดจันทบุรี พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบชูออกไปเหนือพระเศียร พระหัตถ์ซ้ายทรงบังเหียนม้าในลักษณะนำเหล่าทหารรุกไล่ข้าศึก
       
       ทุกวันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี จะมีพิธีถวายบังคมพระบรมราชาอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และมีพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณของพระองค์ เนื่องจากในวันนี้เป็นวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนหลังจากการเสียกรุงครั้งที่สอง ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี

วงเวียนเล็ก ที่ไม่ได้คงสภาพเป็นวงเวียนแล้ว
       มีวงเวียนใหญ่แล้วก็ต้องมี "วงเวียนเล็ก" ซึ่งก็อยู่ไม่ห่างจากวงเวียนใหญ่นัก เพียงวิ่งลงจากสะพานพระปกเกล้ามาทางฝั่งธนฯ ก็จะถึงบริเวณวงเวียนเล็กแล้ว หลายคนอาจไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนว่าแถวนี้ก็มีวงเวียนอยู่ด้วย นั่นก็เพราะว่าปัจจุบันนี้วงเวียนเล็กเหลือเพียงแต่ชื่อ ไม่ได้มีสภาพเป็นวงเวียนเหมือนเมื่อก่อน โดยแต่เดิมนั้นวงเวียนเล็กจะมีหอนาฬิกาขนาดย่อมๆตั้งตระหง่านอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนศึกษานารี แต่หลังจากที่มีการสร้างสะพานพระปกเกล้าขึ้นในภายหลังทำให้วงเวียนเล็กถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ภายหลังจึงได้ยกเลิกวงเวียนแห่งนี้ไปเสีย ส่วนหอนาฬิกาที่เคยตั้งอยู่กลางวงเวียนนั้นก็ได้ย้ายมาตั้งไว้ทางด้านถนนสมเด็จเจ้าพระยาที่จะมุ่งหน้าไปยังคลองสาน ในบริเวณนั้นยังเป็นที่ตั้งของตลาดพระเครื่องวงเวียนเล็ก และมีร้านอาหารอร่อยๆ อยู่หลายร้าน ทำให้ชื่อของวงเวียนเล็กยังคงคุ้นหูคุ้นปากของผู้คนอยู่จนปัจจุบัน

วงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แหล่งพลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
       วงเวียนอีกแห่งหนึ่งที่คนมักจะนึกถึงมากที่สุดก็คงจะเป็น "วงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ" วงเวียนขนาดใหญ่กลางกรุงเทพฯ ที่เมื่อก่อนยังเป็นเพียงสี่แยกสนามเป้า แต่หลังจากที่มีกรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่มีความขัดแย้งกันในเรื่องการเรียกร้องดินแดนที่ไทยต้องเสียไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 คืนจากฝรั่งเศส แต่รัฐบาลฝรั่งเศสปฏิเสธข้อตกลง จนมีการปะทะกันเกิดขึ้นและมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ทั้งหมด 59 คน จึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่เสียชีวิตไป สี่แยกสนามเป้าจึงกลายเป็นวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปด้วยประการฉะนี้
       
       บริเวณรอบๆวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินั้นนอกจากจะพลุกพล่านไปด้วยยานพาหนะนานาชนิดบนถนนแล้ว ความพลุกพล่านของผู้คนก็มากมายไม่แพ้กัน เพราะที่นี่ถือเป็นชุมทางการคมนาคมที่สำคัญแห่งหนึ่ง มีทั้งรถประจำทาง รถไฟฟ้า รวมทั้งรถตู้โดยสารหลายเส้นทางคอยให้บริการอยู่ อีกทั้งยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ในช่วงเย็นๆ ของแต่ละวันอีกด้วย

วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
       มาที่ "วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย" กันบ้าง วงเวียนแห่งนี้เป็นจุดตัดระหว่างถนนราชดำเนินกลางกับถนนดินสอ โดยการก่อสร้างนั้นก็เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั่นเอง
       
       ฉันว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนี้น่าจะเป็นอนุสาวรีย์ที่ถูกทาสีบ่อยที่สุดแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสีเหลืองเข้ม เหลืองอ่อน เหลืองซีด หรือเหลืองส้ม ก็เคยผ่านมาหมดแล้ว แม้จะเปลี่ยนสีไปบ่อยๆ แต่รูปร่างลักษณะของอนุสาวรีย์ก็ยังคงเดิมคือมีลักษณะเป็นรูปหล่อลอยตัว ตรงกลางเป็นรูปเล่มรัฐธรรมนูญในสมุดไทยประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า ล้อมรอบด้วยแท่งปูน 4 แท่ง ลักษณะคล้ายปีกอยู่ทั้ง 4 ทิศ อีกทั้งรอบอนุสาวรีย์ยังมีปืนใหญ่โบราณจำนวน 75 กระบอก ฝังดินไว้ โผล่ท้ายกระบอกปืนใหญ่ขึ้นมาเป็นเสาคล้องโซ่เชื่อมต่อกันเป็นรั้ว และความสำคัญอีกอย่างหนึ่งของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้นก็คือ ที่นี่ยังเป็นหลักกิโลเมตรที่ 0 ของเมืองไทย ที่ใช้วัดระยะทางไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วย

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่วงเวียนหลักสี่
       ที่ "วงเวียนหลักสี่" ในย่านบางเขน ก็มีความเป็นมาที่น่าสนใจ โดยแต่เดิมบริเวณนี้ได้สร้างเป็นวงเวียนมาแต่เดิม มีชื่อเรียกว่าวงเวียนหลักสี่ แต่ด้วยการจราจรที่ติดขัดเหลือเกิน ทางกรมโยธาธิการจึงได้ทุบวงเวียนทิ้ง และสร้างเป็นสี่แยกแทน และต่อมาเมื่อมีการก่อสร้างอุโมงค์ลอดสี่แยกบนถนนพหลโยธินขึ้น จึงได้มีการปรับเปลี่ยนการจราจรอีกครั้ง ทำถนนให้กลับเป็นวงเวียนอย่างเดิม
       
       บริเวณกลางวงเวียนหลักสี่นี้มี "อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ" ตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวงเวียนหรือเป็นสี่แยก อนุสาวรีย์นี้ก็ไม่ได้ถูกทำลายหรือเคลื่อนย้ายไป โดยที่มาของอนุสาวรีย์นี้ก็มาจากเหตุการณ์กบฏบวรเดช ซึ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 แล้ว ก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยในการกระทำนั้น และได้รวมกลุ่มกันต่อต้านโดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเป็นผู้นำกองทัพมาปะทะกันที่บางเขน จนเมื่อฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ชนะ โดยมีทหารฝ่ายรัฐบาลเสีย ชีวิตลง 17 นาย จึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรกรรมและบรรจุอัฐิของผู้เสียชีวิตไว้ โดยลักษณะของอนุสาวรีย์นั้นก็เป็นแท่งเสาสูงยอดเรียว บนยอดมีพานรองรัฐธรรมนูญลักษณะเดียวกันกับพานรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ฐานด้านล่างด้านหนึ่งจารึกชื่อผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์กบฏบวรเดช โคลงสยามานุสติ และรูปครอบครัวชาวนา มีผู้ชายถือเคียวเกี่ยวข้าว ผู้หญิงถือรวงข้าว และเด็กถือเชือก

วงเวียนโอเดียน งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน
       ดูวงเวียนใหญ่ๆ กันไปหลายแห่งแล้ว คราวนี้มาดูวงเวียนเล็กๆ ในย่านเยาวราชกันบ้างดีกว่า ที่บริเวณหัวมังกร หรือหัวถนนเยาวราชนั้น เป็นที่ตั้งของ "วงเวียนโอเดียน" วงเวียนขนาดย่อมๆ ที่มีประวัติความเป็นมาคู่กับถนนเยาวราช แต่เดิมเคยเป็นวงเวียนน้ำพุ และใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนในแถบนั้น และเนื่องจากพื้นที่ตรงนี้อยู่ใกล้กับโรงภาพยนตร์โอเดียน จึงได้ชื่อว่าวงเวียนโอเดียน แม้ปัจจุบันจะไม่มีโรงหนังอีกแล้วก็ตาม
       
       แต่ปัจจุบันนี้วงเวียนโอเดียนดูโดดเด่นเป็นสง่ากว่าเดิม เพราะเป็นที่ตั้งของซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ที่ชาวไทยเชื้อสายจีน บริษัท ห้างร้าน หน่วยงานราชการและประชนชนได้ร่วมใจกันจัดสร้างซุ้มประตูแห่งนี้ขึ้นเพื่อถวายเป็นราชสดุดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ในปี พ.ศ.2542
       
       เนื่องจากตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าเป็น "ไชน่าทาวน์" ซุ้มประตูแห่งนี้จึงมีความงดงามด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมแบบจีน และกลายเป็นสัญลักษณ์ของไชน่าทาวน์เยาวราชไปในที่สุด

วงเวียน 22 กรกฎาคมในย่านเยาวราช
       ในย่านเยาวราชนี้ยังมีวงเวียนเล็กอยู่อีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ "วงเวียน 22 กรกฎาคม" ที่ไม่ได้มีสัญลักษณ์ใดๆ เป็นพิเศษเหมือนวงเวียนอื่นๆที่กล่าวมา เป็นแต่เพียงวงเวียนน้ำพุที่เกิดจากถนน 3 สายตัดกัน คือ ถนนไมตรีจิตต์ ถนนมิตรพันธ์ และถนนสันติภาพ แต่ใครที่ได้ยินชื่อวงเวียนแห่งนี้แล้วก็เป็นต้องเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า 22 กรกฎาคมนั้นหมายถึงอะไรกันแน่
       
       ขอเฉลยแก้ความสงสัยให้ด้วยการเล่าความเป็นมาให้ฟังว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แต่เดิมที่ซึ่งเป็นวงเวียนนี้เคยเป็นชุมชนที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่น และเคยเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ต่อมาจึงได้มีการตัดถนนขึ้น 3 สายเพื่อความเป็นระเบียบของบ้านเมืองบริเวณนี้ และบริเวณจุดตัดของถนนนั้นก็ได้สร้างเป็นวงเวียนขึ้น
       
       รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานนามให้ถนนทั้ง 3 สายนั้นว่า 22 กรกฎาคม ซึ่งก็หมายถึงวันที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ.2460 โดยประกาศสงครามกับกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะ ส่งผลให้เมื่อสิ้นสุดสงคราม ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ และการทหาร รวมทั้งสามารถเรียกร้องแก้ไขและยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ของชาติมหาอำนาจที่เคยทำไว้กับประเทศไทย
       
       และต่อมาจึงได้พระราชทานชื่อถนนทั้งสามให้ใหม่เพื่อไม่ให้เป็นการสับสน โดยมีชื่อคล้องจองกันว่า ถนนไมตรีจิตต์ ถนนมิตรสัมพันธ์ และถนนสันติภาพ ส่วนชื่อวงเวียนนั้นให้คงชื่อไว้เช่นเดิมว่า "วงเวียน 22 กรกฎาคม" จนถึงปัจจุบัน
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000064906

Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

รวมพลจัดทัพสู้โรคข้อ! 'รูมาตอยด์' ภัยเงียบ 'นักทรมาน'

วันที่ 5 มิถุนายน 2552 เวลา 00:00 น.

รวมพลจัดทัพสู้โรคข้อ! 'รูมาตอยด์' ภัยเงียบ 'นักทรมาน'
ระยะนี้มีข่าวคราวการเจ็บไข้ได้ป่วยของคนไทยแบบแปลก ๆ ปรากฏออกมาค่อนข้างถี่ บ้างก็เพราะโรคที่คนไทยพอจะคุ้นกันอยู่ อย่างมะเร็ง แต่เป็นที่ดวงตา และบ้างก็เพราะโรคประหลาด ๆ ซึ่งที่น่าเห็นใจมากก็คือคนที่เป็นข่าวป่วยไข้แปลก ๆ ระยะนี้มักเป็นเด็ก มีทั้ง... หลับแล้วหยุดหายใจ, สมองหด-ประสาทถดถอย ฯลฯ
 
ทั้งโรคแปลก-ทั้งโรคไม่แปลก...รุมคุกคามคนไทย
 
และกับ "โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์" นี่ก็ยังร้าย !!
 
"สำหรับประเทศไทย แม้ยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการ แต่การประมาณการจากการสำรวจขั้นพื้นฐานในหัวข้อการสำรวจธรรมดา พบว่า ทุก ๆ 1,000 คนจะมีผู้เป็นโรครูมาตอยด์ประมาณ 2-3 คน แต่ตัวเลขเบื้องต้นทั้งประเทศน่าจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 คน โดยช่วงอายุที่เป็นมากที่สุดคือช่วง 30-40 ปี และจะเป็นในเพศหญิงถึง 80-90% เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนสำคัญ ขณะที่จำนวนหมอในประเทศไทยที่เชี่ยวชาญโรคนี้มาก ๆ มีอยู่ประมาณ 100 คน ส่วนสมาชิกของสมาคมมีอยู่ประมาณ 200 คน" ...นี่เป็นการระบุของ พญ.รัตนวดี ณ นคร นายกสมาคมรูมาติส ซั่มแห่งประเทศไทย ซึ่งบ่งชี้ถึงสถานการณ์โรคนี้
 
"รูมาตอยด์" คือ "โรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง" ที่มีลักษณะเด่นคือจะมีการงอกของเยื่อบุข้ออย่างมาก และเยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและ "ทำลายกระดูกและข้อ" ในที่สุด ซึ่งโรคนี้สามารถเป็นได้กับทุกข้อของร่างกาย แต่ที่พบได้บ่อยคือ... ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า อย่างไรก็ตาม โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะกับข้อเท่านั้น พิษภัยของมันยังอาจทำให้มีอาการทางระบบอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ
 
อาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์นั้น ระยะแรกผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดตามข้อ มีอาการฝืดขัดข้อเป็นเวลานานในตอนเช้า และเมื่อถึงระยะมีอาการชัดเจนข้อจะมีการบวม ร้อน และปวด ทั้งนี้อาการข้ออักเสบมักเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ในบางรายก็อาจรุนแรงเฉียบพลันได้ บางรายอาจมีไข้ เบื่ออาหาร และน้ำหนักลดร่วมด้วย และในรายที่อาการรุนแรงอาจมีอาการทางระบบตา ปอด และมีปุ่มขึ้นตามตัว
 
"สาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่จากการศึกษาพบว่าโรคนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อบางอย่าง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมด้วย" ...เป็นข้อมูลจากสมาคมรูมาติสซั่มฯ
 
ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันวิทยาการการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จะมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะโดยการใช้ยา หรือการผ่าตัด แต่จะอย่างไรก็ตามการรู้เท่าทันโรคนี้และการป้องกันก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ ไม่ควรมองข้าม เพราะโรคนี้เป็นอีกหนึ่ง "นักทรมานตัวฉกาจ" ผู้ที่ป่วยจะทรมานมากและอาจประสบปัญหาอื่นอีกหลายด้าน
 
ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2551 ที่ผ่านมาได้มีฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรวมตัวกันจัดตั้ง "ชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์" ขึ้น ซึ่งก็มีการจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้อย่างต่อ เนื่อง และในวันอาทิตย์ที่ 7 มิ.ย. 2552 นี้ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.15 น. โดยประมาณ ก็จะมีการสัมมนาหัวข้อ "อยู่อย่างเป็นสุขกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทางเลือกใหม่...สู่ชีวิตที่ดีขึ้น" ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ชั้น 12 โรงพยาบาลราชวิถี โดยความร่วมมือกันของ 4 ฝ่ายหลักคือ... 1.คนไข้ คือชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์, 2.แพทย์เฉพาะทาง คือสมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย, 3.กระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง วิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข จะเป็นประธานในพิธีและ 4.ภาคเอกชน คือบริษัท ไวเอท (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งสนับสนุนการจัดกิจกรรม
 
งานสัมมนาดังกล่าวนี้จะมีกิจกรรมหลายอย่าง เช่น นิทรรศการความรู้ คลินิกเคลื่อนที่-ให้คำปรึกษาแนะนำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สัมมนา เสวนา กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ "สู้รูมาตอยด์" ซึ่งก็จะมีแพทย์ทั้งจากโรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลรามาธิบดี กรมแพทย์ทหารเรือ เข้าร่วมงาน
 
"จะเป็นศูนย์กลางให้กับผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลประสบการณ์ซึ่งกันและกัน รวมถึงคุณหมอที่ดูแลโรคนี้ด้วย เพื่อให้รับทราบว่าผู้ป่วย-ญาติผู้ป่วยต้องดูแลตนเอง-ดูแลกันอย่างไร เพราะโรคนี้อาจจะไม่ถึงกับเสียชีวิตแต่ทรมาน บางครั้งอาจเหมือนโรคสำออย ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจจะไม่ทราบ"...ประธานชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์ ไพบูลย์ เอี่ยมแสงชัยรัตน์ ระบุ และว่า... การจัดงานครั้งนี้จะเป็นนิมิตหมายที่ดีของผู้ป่วยในอีกหลาย ๆ โรคด้วย จากการที่ทั้ง 4 ส่วนได้มาร่วมมือกันและอยู่บนพื้นฐานที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
 
ด้าน น.ส.นฤมล สหะวงศ์วัฒนา กรรมการชมรมเรียนรู้สู้รูมาตอยด์ เสริมว่า... งานนี้จะได้ประโยชน์อย่างมากในการเรียนรู้และบำบัดรักษาโรครูมาตอยด์จากทุก ส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและญาติ ๆ ที่อยู่รอบข้างดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ที่ต้องการติดต่อกับทางชมรม เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เพื่อสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิต ก็สามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-5675-6472
 
ทั้งนี้ นี่ก็เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับการ "รวมพล-จัดทัพสู้...โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์" อีกหนึ่งโรคที่ชื่อเรียกยาก และการรักษาให้หายขาดยังมิใช่ง่าย แม้มิใช่โรคใหม่ ดังนั้นคนไทยอย่าได้ประมาทกับโรคนี้ ซึ่งถ้าใครคิดว่านี่ก็แค่โรคปวดข้อทั่ว ๆ ไป ก็ขอเตือนทิ้งท้ายด้วยการระบุของนายกสมาคมรูมาติสซั่มฯ ที่ว่า.....
 
"โรคนี้หากรักษาตั้งแต่เริ่มต้นหรือระยะแรก ๆ ก็จะสามารถรักษาหรือควบคุมได้ถึง 60-85% แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้หลังจากเป็นไปมากแล้ว ทำให้โอกาสหายขาดมีไม่เกิน 10% ...
 
โรคนี้ถือว่าเป็น...เพชฌฆาตเงียบ
 
ที่ทรมานผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง !!!".

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=74627&NewsType=2&Template=1



check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

'เศร้า' สวนทางแพนด้า 'ชะตาช้างไทย' เคราะห์ซ้ำๆ กรรมใคร?

วันที่ 4 มิถุนายน 2552 เวลา 00:00
 น. 
'เศร้า' สวนทางแพนด้า 'ชะตาช้างไทย' เคราะห์ซ้ำๆ กรรมใคร?
เมืองไทยระยะนี้มีข่าวลูกหมีแพนด้าตกลูกในไทยออกมาให้คนไทยที่รักสัตว์ได้ อมยิ้ม-ได้ดีใจกัน แต่ก็น่าเสียดายที่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันคนรักสัตว์ก็ต้องน้ำตาซึม-เศร้าใจ กับข่าวเกี่ยวกับสัตว์ของไทยเองแท้ ๆ ที่มีความสำคัญต่อการสร้างชาติ-การดำรงความเป็นชาติไทยมาแต่โบราณกาล และก็เป็นข่าวเศร้าที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
 
"ช้างไทย" ยุคปัจจุบันต้องเผชิญชะตากรรมเลวร้ายซ้ำ ๆ
 
มีทั้งกรณีถูกฆ่าเอางา-ชิงลูก...มีทั้งบาดเจ็บ-ล้มตาย...ซ้ำ ๆ
 
ทั้งนี้ กับเรื่อง "ช้างไทย" ในภาพรวม ไม่เฉพาะเจาะจงกรณีช้างตายเพราะกินยาฆ่าแมลง ถูกใช้งานหนัก พลัดตกเขา หรือช้างบาด เจ็บเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ระหว่างถูกขนย้าย ที่มีข่าวเกิดขึ้นติด ๆ กันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ต่อให้ไม่เกิดกรณีทำนองนี้ขึ้นซ้ำ ๆ อีก ว่ากันเฉพาะที่เคยเกิดแล้วในอดีต ซึ่งมีอีกหลากหลายกรณีน่าเศร้า เช่น ช้างเหยียบกับระเบิด ถูกรถชน ตกคลอง ตกท่อ ฯลฯ ก็ต้องถือว่าช้างไทย "น่าห่วงมาก" อยู่แล้ว
 
จากข้อมูลของมูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย ปัจจุบันชนิดของช้างที่เหลืออยู่ในโลก มี 2 ชนิดหลัก ๆ คือ ช้างแอฟริกา และ ช้างเอเชีย ทั้งนี้ ช้างในไทยนั้นเป็นช้างเอเชียพันธุ์ย่อยอินเดีย โดยที่เป็น "ช้างป่า" ที่เรียกเป็น "ตัว" นั้น พบได้ตามอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แต่แหล่งที่พบได้ไม่ยากนั้นก็มีไม่กี่แห่งแล้ว
 
ด้านข้อมูลจากสถาบันคชบาลแห่งชาติ "ช้างไทย" เป็นหนึ่งในสามสายพันธุ์ย่อยของช้างเอเชีย ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "สัตว์ป่าชนิดที่ถูกคุกคาม มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์" และถูกจัดให้อยู่ในบัญชีแนบท้าย อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญ พันธุ์ หรือไซเตส หมายเลข 1 ซึ่งหมายถึง "ห้ามมีการค้าขายช้างหรือซากช้าง" ระหว่างประเทศสมาชิกอนุสัญญา อย่างเข้มงวด
 
อย่างไรก็ตาม ในไทยยังมีช้างไทยในส่วนที่เป็น "ช้างบ้าน" หรือ "ช้างเลี้ยง" ที่เรียกเป็น "เชือก" ด้วย ซึ่งอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สัตว์พาหนะ ที่ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย ทำให้มีสถานะเดียวกับวัว ควาย ม้า ลา ล่อ
 
"ช้างป่า" ถูกคนลักลอบล่าเอางา ลูกช้าง อวัยวะเพศ
 
"ช้างบ้าน" ถูกคนใช้เพื่อหาประโยชน์อย่างไม่เหมาะสม
 
"ช้างป่าถูกปลอมเป็นช้างบ้าน" ก็มีมานานและยังมีอยู่ !!!
 
ประมาณว่าในประเทศไทยยังมีช้างป่าเหลืออยู่ราว 2,000 ตัว (ข้อมูลบางแหล่งประมาณว่ามีเพียง 1,000-1,500 ตัว) และมีช้างบ้านอีกประมาณ 3,000 เชือก รวมแล้วก็ประมาณ 5,000 ชีวิต ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ก็เป็นเพียงการประมาณ ตัวเลขที่ชัดเจนยังยากจะระบุ...ว่าช้างไทยเหลืออยู่เท่าไหร่แน่ ??
 
"ตัวเลข 5,000 อาจจะดูไม่น้อย แต่ก็นับว่าไม่ได้มากมายแต่ อย่างใด เมื่อช้างเหล่านี้ยังมีภัยคุกคามทำให้ต้องบาดเจ็บล้มตายลงไปใน ทุก ๆ ปี อย่างน้อยปีละ 2% และตราบใดที่ภัยคุกคามเหล่านี้ยังไม่ได้รับ การแก้ไข อนาคตของช้างในเมืองไทยก็คงจะมืดมนลงไปเรื่อย ๆ" ...เป็นการระบุ และเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดกลุ่มคนรวมตัวกันเป็นมูลนิธิคนรักช้าง  ซึ่งปัจจุบันคือมูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย
 
ขณะที่ข้อมูลจากสถาบันคชบาลฯ ก็ระบุว่า... "สถานภาพช้างไทยในวันนี้น่าวิตก เมื่อพิจารณาจากสถิติการลดจำนวนลงของช้าง ทำให้นักวิชาการคาดการณ์กันว่าถ้าไม่รีบลงมือแก้ไข อีกไม่เกิน 50 ปี ช้างไทยอาจ เหลือเพียงตำนาน" ซึ่งสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จ พระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ก็เป็นตัวจักรหนึ่งในการแก้ปัญหาที่เกิดกับช้างไทย
 
อย่างไรก็ตาม ชะตากรรมอันเลวร้ายที่เกิดกับช้างไทยนั้นรุนแรงและขยายตัวอย่างรวดเร็วเหลือ เกิน รวดเร็วอย่างที่ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยถึงสถานการณ์ช้างไทยเมื่อไม่นานมานี้ว่า...  "ปัจจุบันจำนวนช้างป่าและช้างบ้านอยู่ในภาวะที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะนี้มีอยู่ไม่ถึง 5,000 แล้ว และมีการประเมินว่าหากไม่มีการเร่งดำเนินการช่วยเหลือช้างไทย อาจจะสูญพันธุ์ภายใน 14 ปี !!"
 
ทั้งนี้ เมืองไทยมีการกำหนดให้ "วันที่ 13 มี.ค." ของทุกปี เป็น "วันช้างไทย" โดยมติ ครม. ตั้งแต่ปี 2541 หรือกว่า 11 ปีมาแล้ว และปัจจุบันก็อยู่ในช่วงเวลาของ "แผนแม่บทการอนุรักษ์ช้างแห่งชาติ" (พ.ศ. 2546-2555) ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า "คนคู่ช้าง ช้างคู่ไทย ช้างยิ่งใหญ่ ไทยยั่งยืน" มีการกำหนดพันธกิจ ทั้งกับช้างบ้าน ช้างป่า คนที่เกี่ยวข้องกับช้าง มียุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
 
นอกจากนี้ เมืองไทยยังมีมูลนิธิ มีองค์กรเอกชน มีเอ็นจีโอ มีคนที่เห็นความสำคัญของช้างไทย เห็นปัญหาของช้างไทย ที่สงสารช้างไทย ดำเนินการช่วยเหลือช้างไทยในรูปแบบต่าง ๆ อีกหลายกลุ่ม
 
แต่...ปัญหาของสัตว์ใหญ่อย่างช้างไทยก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนตัว ช้าง หากคนไทยโดยรวมแค่คิดสงสาร แต่ก็ไม่ได้ช่วยกันพร้อมเพรียง เช่น สนับสนุนหน่วยงานรัฐ เอกชน เอ็นจีโอ ที่ทำงานด้านช้าง, ไม่สนับสนุนคน ที่ใช้ช้างหากินอย่างไม่เหมาะสม ผิดธรรมชาติของช้าง ทรมานช้าง, เป็นหูเป็น ตาให้เบาะแสเจ้าหน้าที่ในการเอาผิดกับคนที่กระทำผิดต่อช้างในลักษณะต่าง ๆ ปัญหาของช้างไทยก็คงไม่อาจจะบรรเทาเบาบางลงไปได้ง่าย ๆ
 
"เคราะห์ของช้าง" ที่เกิดซ้ำ ๆ ส่วนใหญ่ก็เพราะ "คนทำ"
 
"ทำบาป-ทำกรรมกับช้าง" เรื่องน่าเศร้าแบบนี้เกิดไม่หยุด
 
คนไทยโดยรวมต้องไม่แค่คิดสงสาร...จึงจะช่วยช้างได้ !!!.

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=74587&NewsType=2&Template=1


check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

"ลูก" เครื่องมือในการต่อรอง?/มังกรซ่อนกาย

“ลูก” เครื่องมือในการต่อรอง?/มังกรซ่อนกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2552 16:23 น.
       จากคราวที่แล้วที่ผมได้เขียนเรื่องค่าเลี้ยง ดูกับค่าเลี้ยงชีพในกรณีหย่าร้างกัน ก็มีผู้ให้ความสนใจและสอบถามเข้ามาหลายท่าน แต่มีประเด็นเรื่องเกี่ยวกับการฟ้องหย่า การใช้อำนาจปกครอง และค่าอุปการะเลี้ยงดูที่น่าสนใจและเป็นประเด็นที่ควรนำมาเล่าสู่กันฟัง ตามข้อเท็จจริงที่สอบถามเข้ามาก็คือ
       
       นายมั่น กับนางหมายเป็นสามีภรรยาที่จดทะเบียนกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย นายมั่นประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ส่วนนางหมายเป็นข้าราชการครู ซึ่งนายมั่นก็มีรายได้มากกว่านางหมายเล็กน้อย ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ เด็กชายปอง ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่และนางหมายกำลังตั้งครรภ์อยู่อีกหนึ่งคน คู่สามีภรรยาคู่นี้ทำงานอยู่ในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงได้ส่งเด็กชายปองไปให้ปู่กับย่าเลี้ยงดูที่อยุธยามา ตลอดโดยนายมั่นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กชายปองแต่เพียงผู้ เดียว
       
       ปัญหา ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นของสามีภรรยาคู่นี้ก็คือเดิม นายมั่นให้นางหมายเป็นผู้บริหารเงินที่ทำมาหาได้ด้วยกันแต่ผู้เดียว แต่ในระยะหลังนางหมายกลับส่งเงินไปให้ญาติของตนใช้จ่ายและพยายามก่อหนี้สิน เกินตัว เช่น ต้องการซื้อที่ดินโดยจะไปกู้เงินของผู้อื่นมาหรือเอาที่ดินที่มีอยู่ไปจำนอง ไปขายฝากต่างๆนานาโดยนายมั่นไม่ได้เห็นชอบด้วย และทนไม่ได้กับพฤติกรรมการใช้เงินของนางหมายจึงไม่ยอมให้นางหมายเป็นผู้ บริหารเงินอีกต่อไป สร้างความไม่พอใจให้กับนางหมายอย่างมาก
       
       นางหมายจึงบีบบังคับนายมั่นโดยขู่ว่าถ้าไม่ยอมตามจะฟ้องหย่าและนำ เด็กชายปองมาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว แต่เด็กชายปองตั้งแต่เกิดก็อยู่กับปู่ย่ามาโดยตลอดซึ่งปู่กับย่าก็รักและหวง หลานปองอย่างมาก
       
       จึงขอตั้งประเด็นข้อสงสัยของนายมั่นมาให้ท่านผู้อ่านลองช่วยกันคิดว่านายมั่นจะทำประการใดกับเรื่องที่เกิดขึ้นดี คือ
       
       - ถ้านายมั่นฟ้องหย่านางหมายแล้วจะขอเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กชายปองได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ใครจะเป็นผู้มีโอกาสได้ลูกมาเลี้ยง
       - ปล่อยให้นางหมายเป็นฝ่ายฟ้องหย่าก่อนดี หรือนายมั่นจะชิงฟ้องเรื่องสิทธิปกครองบุตรก่อนดี
       - ถ้านายมั่นปล่อยให้นางหมายเป็นคนเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคน คือทั้งเด็กชายปองและบุตรอีกคนที่อยู่ในครรภ์ นายมั่นจะต้องเสียค่าเลี้ยงดูอีกหรือไม่ ในเมื่อนางหมายเป็นผู้ที่ต้องการเอาลูกไปเลี้ยงเอง

       
       จากข้อสงสัยของนายมั่น การที่สามีภรรยาจะฟ้องหย่ากันได้จะต้องพิจารณาก่อนว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายมี ประพฤติอันเป็นเหตุหย่าตามกฎหมาย (ปพพ. มาตรา 1516) อีกฝ่ายหนึ่งถึงจะอ้างเอาเป็นเหตุในการฟ้องหย่าได้ ในกรณีของนายมั่นการกระทำของนางหมายยังไม่เข้าข่ายเป็นการประพฤติชั่ว (ปพพ. มาตรา 1516(2))
       
       เพราะการกู้ยืมเงินการเอาที่ดินไปจำนองเป็นนิติกรรมทางแพ่งทั่วไปที่ สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย นางหมายไม่ได้ไปฉ้อโกงใครอื่นมาซึ่งนเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายแม้จะไม่ ถูกใจนายมั่น นายมั่นก็มีแต่เพียงสิทธิที่จะไม่ยินยอมก่อหนี้ด้วยกันกับนางหมายซึ่งการไม่ ยินยอมของนายมั่นนี้แม้นางหมายจะไม่พอใจก็ไม่เป็นเหตุให้นางหมายไปฟ้องหย่า นายมั่นได้ หรือการที่นางหมายขู่จะหย่าแล้วเอาลูกไปเลี้ยงเองเพื่อต่อรองกับนายมั่นก็ ไม่ถือเป็นเหตุที่นายมั่นจะอ้างเพื่อฟ้องหย่าได้เช่นกัน
       
       แม้ การขู่จะเอาเด็กชายปองไปเลี้ยงเองจะเป็นการโต้แย้งสิทธิการใช้อำนาจปกครอง บุตรก็เป็นอีกประเด็หนึ่งต่างหากจากเรื่องการฟ้องหย่า ดังนั้นทั้งนายมั่นและนางหมายไม่มีเหตุอันใดตามข้อเท็จจริงที่กล่าวมาฟ้อง หย่าอีกฝ่ายหนึ่งได้ เว้นแต่นายมั่นและนางหมายจะสมัครใจหย่าขาดจากกันเอง
       
       การที่ทั้งคู่ไม่อาจอ้างเหตุฟ้องหย่ากันและกันได้แล้วจะมีการอ้างการ ถูกโต้แย้งสิทธิในการใช้อำนาจปกครองบุตรเพื่อนำบุตรไปเลี้ยงดูแต่ฝ่ายเดียว ได้หรือไม่นั้น ตามปพพ มาตรา 1566 บัญญัติว่า “บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา” ซึ่งหมายความว่าโดยหลักแล้วบุตรผู้เยาว์ต้องอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของทั้ง บิดามารดาถ้าทั้งสองฝ่ายยังคงมีชีวิตอยู่แต่อำนาจปกครองบุตรอาจตกไปอยู่กับ บิดาหรือมารดาแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ โดยคำสั่งศาลหรือการที่บิดามารดาตกลงกันเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองบุตร (ปพพ.มาตรา 1566 (5) – (6))
       
       ดังนั้นนายมั่นหรือนางหมายจึงอาจนำเด็กชายปองมาเลี้ยงดูอยู่กับตนเอง ได้แม้ทั้งคู่จะฟ้องเพื่อหย่าขาดจากกันไม่ได้ แต่ทั้งคู่อาจโต้แย้งสิทธิในการใช้อำนาจปกครองบุตรได้โดยการขอให้ศาลมีคำ สั่งให้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์อยู่กับตนฝ่ายเดียวโดยยื่นคำร้องต่อศาล เยาวชนและครอบครัวเพื่อให้ศาลฯไต่ส่วนและมีคำสั่งให้
       
       ส่วนในประเด็นว่าแล้วใครจะมีโอกาสได้ลูกมาเลี้ยงมากกว่ากันนั้นก็ เป็นเรื่องดุลพินิจของศาล โดยศาลจะพิจารณาดูจากความเหมาะสมหลายๆประการ เช่น ความสามารถในการเลี้ยงดู พฤติกรรมของผู้ใช้อำนาจปกครอง สภาพสังคม สิ่งแวดล้อม การให้การศึกษาแก่บุตร และความต้องการของบุตร และเหตุอื่นๆ โดยศาลจะถือเอาผลประโยชน์ของบุตรเป็นหลัก ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดจะสามารถนำสืบแสดงเหตุผลต่างๆที่เป็นผล ประโยชน์แก่เด็กให้ปรากฏต่อศาลได้มากกว่ากัน
       
       ส่วน ถ้านายมั่นจะยกให้นางหมายเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กชายปองและบุตรในครรภ์เพียงคน เดียวตามที่นางหมายต้องการ นายมั่นก็ยังคงต้องมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองจนกว่าบุตรจะบรรลุ นิติภาวะ ดังนั้นนายมั่นก็ยังคงมีหน้าที่ที่จะต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและการ จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนี้นายมั่นก็ต้องจ่ายให้นางหมายเนื่องจากนางหมาย เป็นผู้เลี้ยงดูบุตรโดยจะต้องจ่ายจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะตามความเหมาะสม ของรายได้ที่นายมั่นมี
       
       สุดท้ายการที่ใครจะฟ้องใครก่อนนั้นดีกว่ากันก็ไม่มีใครดีกว่าใครขึ้น อยู่กับว่าปู่ย่าจะยอมให้นางหมายเอาเด็กชายปองไปเลี้ยงหรือไม่ ถ้าไม่ยอมนางหมายก็ต้องไปร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ตนเป็นผู้ใช้ อำนาจปกครอง หรือถ้านางหมายเอาเด็กชายปองไปจากปู่ย่าได้แล้วแต่นายมั่นไม่ยอมนายมั่นก็ ต้องไปร้องต่อศาลเพื่อจะได้เป็นผู้ปกครองดูแลบุตรต่อไป
       
       มังกรซ่อนกาย Hiddendragon2552@gmail.com

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9520000062578

มะเร็งคร่านักวิทย์จีน ผู้โคลนนิงวัวตัวแรกของสหรัฐฯ ด้วยวัยเพียง 49

มะเร็งคร่านักวิทย์จีน ผู้โคลนนิงวัวตัวแรกของสหรัฐฯ ด้วยวัยเพียง 49
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กุมภาพันธ์ 2552 15:25 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
หยาง เซี่ยงจง หรือที่เพื่อนๆ เรียกว่า เจอร์รี่ หยาง นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนสัญชาติอเมริกัน ผู้โคลนนิงวัวได้สำเร็จครั้งแรกในสหรัฐฯ เสียชีวิตด้วยมะเร็งต่อมน้ำลาย ในวัยเพียง 49 ปี

นักวิทย์จีนสัญชาติอเมริกันผู้โคลนนิงวัวได้ครั้ง แรกของสหรัฐฯ จากโลกนี้ไปด้วยวัย 49 ปี หลังต่อสู้กับโรคมะเร็งต่อมน้ำลายมากว่า 10 ปี แม้จะพยายามศึกษาหาทางสร้างสเต็มเซลล์เพื่อรักษาโรคร้าย รวมถึงมะเร็ง แต่ก็ยังไม่สำเร็จทันการณ์
       
       หยาง เซี่ยงจง (Xiangzhong Yang) หรือ เจอร์รี่ หยาง แห่งมหาวิทยาลัยคอนเน็คติกัต (University of Connecticut) ผู้สร้างชื่อให้โลกรู้จักด้วยการโคลนนิงสัตว์สำหรับการกสิกรรมได้ครั้งแรกใน สหรัฐอเมริกา เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวันที่ 6 ก.พ.52 ที่ผ่านมา ด้วยวัยเพียง 49 ปี ตามแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยอันเป็นต้นสังกัดของเขา
       
       "เอมี" (Amy) ลูกวัวโคลนนิงของหยาง จากห้องแล็บของมหาวิทยาลัยคอนเน็คติกัต สหรัฐฯ ได้ปรากฎสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในปี 2542 ไล่หลังจากแกะดอลลี่ (Dolly) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่โคลนนิงสำเร็จตัวแรกของโลกในเกาะอังกฤษเพียงแค่ 3 ปี
       
       ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยคอนเน็กติกัต ได้ออกแถลงการณ์ว่า หลังจากประสบความสำเร็จจากเอมี หยางก็เดินหน้าทดลองโคลนตัวอ่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นความหวังว่าจะสร้างสเต็มเซลล์ ที่นำไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายภายในร่างกาย รวมทั้งปลูกเป็นอวัยวะและนำไปปลูกถ่ายทดแทน หรือแม้แต่การใช้รักษาโรคร้ายทางพันธุกรรมต่างๆ
       
       ทว่า ก่อนประสบความสำเร็จจากการโคลนนิงลูกวัว 3 ปี (ในปี 2539) หยางได้ตรวจพบมะเร็งที่ต่อมน้ำลาย และเสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ โรงพยาบาลบริงแฮม ยัง วีเม็น เซ็นเตอร์ (Bringham Young Women's Center hospital) ในเมืองบอสตัน มลรัฐเมสซาชูเซ็ตต์
       
       สำหรับหยาง เขาเป็นชาวแดนมังกรเกิดเมื่อปี 2502 ในชนบทห่างไกลบนแผ่นดินจีน และสามารถรอดวิกฤติการขาดแคลนอาหารมาได้ในช่วง 2 ขวบปีแรก หลังจากเติบโตขึ้นจนสิ้นสุดยุคปฏิวัติวัฒนธรรม เขาทิ้งฟาร์มที่เฝ้าเลี้ยงหมูเพื่อเป็นหนทางสู่มหาวิทยาลัยการเกษตรแห่ง ปักกิ่ง (Beijing Agricultural University) และหันไปสอบแข่งขันเข้าเรียนที่วิทยาลัย และต่อมาเขาก็ได้คำตอบรับให้ไปเรียนระดับปริญญาตรีที่สหรัฐฯ ในปี 2526
       
       หยางจบการศึกษาระดับปริญญาเอก (Ph.D) ที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล (Cornell University) และทำงานตำแหน่งแรกที่คอร์แนล เป็นนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อน (embryologist ) ซึ่งมีผลงานโดดเด่น จนกระทั่งปี 2539 ย้ายมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยคอนเนคติกัต และในปี 2544 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ชีววิทยากรสร้างอวัยวะใหม่ (Center for Regenerative Biology) ของมหาวิทยาลัย
       
       หยางแต่งงานกับเถียน ซีวชุน (Xiuchun (Cindy) Tian) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยคอนเน็กติกัต หลังย้ายมาพบรักที่นี่ และภรรยาเป็นผู้ดูแลตลอดเวลาหลังจากพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำลาย
       
       ทั้งนี้ ผลงานของหยางได้ช่วยทางการสหรัฐฯ ในการพิจารณาว่าสัตว์โคลนนิงที่ใช้ในการกสิกรรม อาทิ วัว หมู แกะ นั้นปลอดภัยต่อการบริโภค และยังช่วยอธิบายถึงกระบวนการที่เซลล์ผู้ใหญ่กลับไปเป็นเซลล์อ่อนอีกครั้ง เมื่อผ่านกระบวนการนำไปฝังลงในตัวอ่อนลงหรือไข่ที่ถอดพันธุกรรมออกแล้ว ซึ่งก็คือเทคนิคการเพาะตัวอ่อนสำหรับการโคลนนิงที่ใช้สร้างแกะดอลลี่ หรือเอมีของหยางนั่นเอง

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000015232

ฮอร์โมนรักษาหญิงวัยทอง เพิ่มโอกาสตายเพราะมะเร็งปอด

ฮอร์โมนรักษาหญิงวัยทอง เพิ่มโอกาสตายเพราะมะเร็งปอด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2552 11:32 น.
แพทย์กำลังดูผลการ รักษามะเร็งปอดจากภาพเอ็กซ์เรย์ ล่าสุดนักวิจัยพบว่าฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยหมดประจำเดือนทำให้ผู้ใช้มีความ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยมะเร็งปอดมากขึ้นถึง 60% หากเป็นโรคดังกล่าวอยู่แล้ว (ภาพประกอบจาก เอเอฟพี)
       ผลวิจัยชี้หญิง วัยทองกินฮอร์โมนทดแทน มีโอกาสเสี่ยงตายเพราะมะเร็งปอดมากขึ้น หากเป็นโรคดังกล่าวอยู่แล้ว เผยโอกาสเสี่ยงสูง 60% นักวิจัยระบุต้องระมัดระวังให้มากหากใช้ฮอร์โมนทดแทน พร้อมแนะไม่ควรสูบบุหรี่ร่วมด้วยขณะกินฮอร์โมน
       
       ครั้งหนึ่งนักวิทยาศาสตร์เคยเข้าใจว่า การบำบัดด้วยฮอร์โมน หรือเรียกว่า เอชอาร์ที (hormone therapy: HRT) ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน จะช่วยป้องกันโรคเรื้อรังบางชนิดได้ เช่น โรคหัวใจ แต่มาวันนี้ผลวิจัยกลับชี้ว่าเอชอาร์ทีมีส่วนทำให้ผู้ป่วยบางราย ที่มีอาการมะเร็งปอดร่วมด้วย มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่ไม่ใช้ฮอร์โมนบำบัด
       
       ดร.โรแวน เชลโบว์สกี (Rowan Chlebowski) ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและเนื้องอก ศูนย์การแพทย์ฮาร์เบอร์-ยูซีแอลเอ (Harbor-UCLA Medical Center) ในนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เปิดเผยในรอยเตอร์ว่า ผู้ที่ใช้ฮอร์โมนทดแทน เอสโตรเจน/โพรเจสติน (estrogen/progestin) ไม่ควรใช้ฮอร์โมนดังกล่าวร่วมกับการสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด เพราะมีโอกาสเสียชีวิตจากมะเร็งปอดมากกว่าคนที่ไม่ได้ใช้ฮอร์โมนนี้ถึง 60%
       
       นักวิจัยได้ศึกษาข้อมูลที่ดับเบิลยูเอชไอ (Women's Health Initiative: WHI) ได้ทำการศึกษาในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจำนวน 16,608 คน ทั้งที่ได้รับยาเพรมโพ (Prempro) และยาหลอก โดยยาเพรมโพนั้นเป็นยาเม็ดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโพรเจสติน ที่ผลิตโดยบริษัทวายเอธ (Wyeth)
       
       ผลการศึกษา นักวิจัยไม่พบความแตกต่างของจำนวนเซลล์มะเร็งปอดมากนัก ในผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดและใช้ยาเพรมโพรเป็นเวลา 5 ปี และติดตามผลหลังจากนั้นอีกมากกว่า 2 ปี แต่กลับพบว่าในจำนวนนี้มีผู้ที่เสียชีวิตด้วยมะเร็งปอดถึง 46% ขณะที่มีผู้ที่ได้รับยาหลอกเสียชีวิตเพราะมะเร็งปอดเพียง 27% เท่านั้น โดยในการศึกษานักวิจัยพุ่งเป้าไปที่มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (non-small cell lung cancer) ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบโดยทั่วไป
       
       ดร.เชลโบว์สกี หัวหน้าทีมวิจัยให้ข้อเสนอแนะว่า หญิงวัยหมดประจำเดือนที่เคยใช้ฮอร์โมนดังกล่าวมาแล้ว ควร ปรึกษาแพทย์เพื่อให้ใช้ฮอร์โมนในระดับต่ำที่สุดและในระยะเวลาสั้นที่สุดเท่า ที่เป็นไปได้ และไม่ควรใช้ฮอร์โมนร่วมกับการสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด
       
       "นี่เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ฮอร์โมนบำบัดหรือ ฮอร์โมนทดแทน ควรใช้ด้วยความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ" ดร.ริชาร์ด สคิลสกาย (Dr. Richard Schilsky) ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง จากมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) และประธานสมาคมเนื้องอกวิทยาคลินิกอเมริกัน (American Society of Clinical Oncology) กล่าวแสดงความเห็นในระหว่างที่มีการนำเสนอผลวิจัยดังกล่าว ในการประชุมด้านเนื้องอกวิทยา ในมลรัฐฟลอริดา ดังที่เอพีรายงาน
       
       อย่างไก็ตาม ดร.เลน ลิชเทนเฟลด์ (Dr. Len Lichtenfeld) จากสมาคมมะเร็งอเมริกัน (American Cancer Society) แสดงความเห็นว่า ในการศึกษาวิจัยดังกล่าว มีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดในขณะที่ใช้ฮอร์โมนบำบัดเพียง 106 คนเท่านั้น ซึ่งน้อยเกินไปที่จะสรุปว่าฮอร์โมนดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ป่วย มะเร็งปอด
       
       ด้าน ดร.โจเซฟ แคมาร์โด (Dr. Joseph Camardo) จากวายเอธ กล่าวเสริมว่า สตรีส่วนใหญ่ที่ใช้ยาเม็ดฮอร์โมนเอสโตรเจน/โพรเจนติน ก็ไม่ได้ใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานขนาดนั้น ซึ่งในปัจจุบันสตรีที่เริ่มใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน/โพรเจนตินทดแทน จะมีอายุระหว่าง 51-54 ปี และใช้ต่อเนื่องเฉลี่ยนาน 2 ปี ขณะที่สตรีที่อยู่ในการศึกษาดังกล่าวมีอายุเฉลี่ย 63 ปี และใช้ฮอร์โมนทดแทนนานถึง 5 ปี จึงได้รับยาในขนาดที่มากเกินไป

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000061467

30 ปีกระทรวงวิทย์โชว์ 14 นวัตกรรม "สร้างงาน สร้างเงิน สร้างคุณภาพชีวิต"

30 ปีกระทรวงวิทย์โชว์ 14 นวัตกรรม "สร้างงาน สร้างเงิน สร้างคุณภาพชีวิต"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2552 09:47 น.
ครบรอบ 30 ปี "คุณหญิงกัลยา" นำทีมกระทรวงวิทย์โชว์ 14 ผลงาน "สร้างงาน สร้างเงิน สร้างคุณภาพ" จาก 14 หน่วยงาน ทั้งเชื่อมวิทยาศาสตร์กับภาคอุตสาหกรรมเพื่อ "สร้างเงิน" และเชื่อมชนบท "สร้างคุณภาพชีวิต"
       
       ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงข่าวนำผลงานเด่นจากหน่วยงานในสังกัดมานำเสนอภายใต้หัวข้อ "สร้างงาน สร้างเงิน สร้างคุณภาพ - ผลงานกระทรวงวิทย์ฯ คิดเพื่อคนไทย" เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.52 ณ ห้องโถงอาคารพระจอมเกล้า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
       
       รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวถึงที่มาของคัดเลือกผลงานภายใต้กระทรวงมานำเสนอว่า 30 ปีกระทรวงวิทยาศาสตร์ มีผลงานมากมาย ขณะเดียวกันทั่วโลกก็กำลังประสบภาวะวิกฤต และนายกรัฐมนตรีก็มีแนวคิดว่าอยากให้เชื่อวิทยาศาสตร์เข้ากับอุตสาหกรรมเชิง พาณิชย์ซึ่งเป็นการสร้างเงิน และเชื่อมวิทยาศาสตร์เข้ากับชนบทเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต
       
       ดร.คุณหญิงกัลยากล่าวว่า ส่วนตัวเป็นเด็กบ้านนอกจึงอยากให้ชาวชนบทมีโอกาสใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างคุณภาพชีวิต โดยนำวิทยาศาสตร์ไปผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น และคิดว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมน่าจะเป็นหนทางสร้างชาติ และทำให้คนไทยมีความสุขและคุณภาพชีวิต
       
       สำหรับผลงานที่นำมาเสนอนั้น แบ่งเป็นผลงานด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี 10 เรื่อง และผลงานด้านสร้างความตระหนักทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอีก 4 เรื่อง ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ได้เก็บภาพผลงานของหน่วยงานต่างๆ มาฝาก
       
       อย่างไรก็ดี สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) ซึ่งมีโครงการเครือข่ายปฏิบัติการน้ำชุมชนและได้เข้าไปช่วยบริหารจัดการน้ำ ในชนบท จนช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวบ้าน ไม่ได้นำผลงานมานำเสนอ เช่นเดียวกับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ที่มีผลงานเด่นด้านดารผลิตสื่อช่วยสอนและเผยแพร่ความรู้ดาราศาสตร์ อาทิ แผนที่ดาว นาฬิกาแดด กล้องดูดาวอย่างง่าย เป็นต้น


     
คุณ หญิงกัลยานำชมผลงานเด่นจากหน่วยงานในสังกัด และทดลองชิมของกินจากธัญพืชแปรรูปที่พัฒนาโดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ (ภาพกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ) 3 อาจารย์จากโรงเรียนเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ อ.พานทอง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นโครงการนำร่องในสถาบันอาชีวะศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยา ศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ซึ่งก่อตั้งเมื่อ ก.พ.51 โดยโครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมือมหาวิทยาลัยของรัฐในการสอนฟิสิกส์ เคมีและชีววิทยา โดยได้รูปแบบจากอินเดีย ซึ่งอนาคตมีแนวโน้มจะส่งเสริมให้สถาบันอาชีวะแห่งนี้เปิดสอนในระดับปริญญา ตรี องค์การ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) นำผลงานเด่น "คาราวานวิทยาศาสตร์" ที่ตระเวณสร้างความตระหนักวิทยาศาสตร์ให้กับเยาวชนทั่วประเทศมานำเสนอ
     
สถาบัน มาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) นำโครงการผลิตช่างตรวจสอบเครื่องจักรกลซีเอ็นซีมานำเสนอ โดยเครื่องจักรดังกล่าวเป็นเครื่องกัด 3 แกนที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต อาทิ อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วน ซึ่งโรงงานในไทยมีเครื่องจักรกล่าวกว่า 100,000 ชิ้น แต่ปัญหาคือช่างส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าเครื่องจักรดังกล่าวมีปัญหาหรือทำงานผิด พลาดไปจากเมื่อครั้งซื้อมาใหม่ๆ ไปเท่าไหร่ มว.จึงจัดอบรมขึ้น สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) นำโครงการผลิตโปรตีนไหมมานำเสนอ สำนัก งานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ นำเทคโนโลยีผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์เป็นพลังงานทดแทน ซึ่งได้ถ่ายทอดให้กับชุมชนในหลายพื้นที่ อาทิ เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ ลำปาง นครพนม มานำเสนอ
     
สำนัก งานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เสนอโครงการส่งเสริมศักยภาพและการใช้ไอทีสำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่อง เที่ยว โรงแรม รีสอร์ท ระดับ 1-3 ดาว เพื่อให้เกิดการขยายโฮกาสทางธุรกิจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั่วโลกได้อย่างรวด เร็ว กรมวิทยาศาสตร์บริการ นำอาหารแปรรูปจากธัญพืช มานำเสนอ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชูเครื่องล้างผักผลไม้อัลตราโซนิกส์
     
เทคโนโลยี สุญญากาศเพื่ออุตสาหกรรมจากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถรองรับอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีสุญญากาศ อาทิ อุตสาหกรรมผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ อุตสาหกรรมผลิตผงเหล็ก เป็นต้น สำ นักงานนวัตกรรมแห่งชาติ นำโครงการ C-AOSS ซึ่งเป็นการสร้างระบบแนวป้องกันการกัดเซาะพื้นที่ป่าชายเลนจากไม้ประกอบ พลาสติก เพื่อช่วยลดแรงปะทะของคลื่นทะเล และวัสดุดังกล่าวยังช่วยดักตะกอนทรายและดินไม่ให้ไหลลงสู่ทะเล
   

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000063543