วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อยากเปรี้ยวอย่างมีคุณค่า ต้องถามหา "จุลินทรีย์"

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลา 08:04:43 น.  มติชนออนไลน์

อยากเปรี้ยวอย่างมีคุณค่า ต้องถามหา "จุลินทรีย์"

คนรุ่นใหม่อย่างเราๆ คงทราบกันดีว่า "นมเปรี้ยว" คืออะไร ถูกผลิตขึ้นมาอย่างไร แต่ถ้าใครยังไม่เคยรู้ถึงที่มาที่ไปของความอร่อยและคุณประโยชน์ของนมเปรี้ยวมาก่อนล่ะก็ จะสามารถพบคำตอบได้ที่นี่ "นมเปรี้ยว"เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำน้ำนมสัตว์ปกติ มาหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรคหรือเป็นอันตราย จุลินทรีย์ที่สำคัญในการหมักคือจุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลคติค โดยทำให้น้ำตาลแลคโตสในนมเปลี่ยนเป็นกรดแลคติค ทำให้นมมีรสเปรี้ยว ก่อนนำมาเติมแต่งปรุงรสชาติให้อร่อยด้วยน้ำผลไม้ เป็นนมเปรี้ยวแบบที่เราดื่มกันเป็นประจำทุกวัน

 

ประเภทของนมเปรี้ยว

 

1.นมเปรี้ยว (Fermented milk) หมายถึง ผลิตภัณฑ์นมที่ได้จากนม หรือผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเกิดจากการหมักบ่มด้วยจุลินทรีย์ ที่ทำให้เกิดกรดแลคติกเป็นหลัก เช่น แลคโตบาซิลลัส เดลบรูคิอิ ซับส์ บัลการิคัส (Lactobacillus delbrueckii  subsp bulgaricus) สเตรปโตค็อกคัส เทอร์โมฟิลัส (Streptococcus thermophilus) ไบฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) หรือจุลินทรีย์อื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตนมเปรี้ยว ทั้งจะมีจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมักบ่ม ที่มีชีวิตคงเหลืออยู่หรือไม่ก็ได้


2.โยเกิร์ต (Yoghurt) หมายถึง นมเปรี้ยวซึ่งมีจุลินทรีย์ใช้ในการหมักบ่ม ที่มีชีวิตคงเหลืออยู่


3.โยเกิร์ตปรุงแต่ง (Flavoured yoghurt or composite fermented milk) หมายถึง โยเกิร์ตที่ผ่านการปรุงแต่งกลิ่น รส สี หรือวัตถุอื่น ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ผลไม้ แยม เป็นต้น ซึ่งแยกชั้นในภาชนะบรรจุ (set yoghurt) หรือผสมรวมเข้าด้วยกัน (stirred yoghurt) และมีจุลินทรีย์ใช้ในการหมักบ่ม ที่มีชีวิตคงเหลืออยู่


4.นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม (fermented milk drink or drinking yoghurt) หมายถึง นมเปรี้ยวที่ผ่านการเจือจางและปรุงแต่งกลิ่น รส สี หรือวัตถุอื่นที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น น้ำผลไม้ น้ำผึ้ง เป็นต้น ผลิตภัณฑ์นี้มีไว้สำหรับดื่มโดยตรงและมีจุลินทรีย์ใช้ในการหมักบ่ม ที่มีชีวิตคงเหลืออยู่


5.นมเปรี้ยวพร้อมดื่มพาสเจอไรซ์ (pasteurized fermented milk drink or pasteurized drinking yoghurt) หมายถึง นมเปรี้ยวพร้อมดื่มที่ผ่านการทำลายจุลินทรีย์ด้วยความร้อนโดยกระบวนการพาสเจอไรซ์ และมีจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมักบ่มที่มีชีวิตจำนวนหนึ่ง


6.นมเปรี้ยมพร้อมดื่มยูเอชที (UHT fermented milk drink or UHT drinking yoghurt) หมายถึง นมเปรี้ยมพร้อมดื่มที่ผ่านการทำลายจุลินทรีย์ด้วยความร้อน โดยกระบวนการยูเอชที


ข้อแตกต่างระหว่างนมเปรี้ยมพร้อมดื่ม นมเปรี้ยวพร้อมดื่มพาสเจอไรซ์ และนมเปรี้ยมพร้อมดื่มยูเอชที คือ


- นมเปรี้ยมพร้อมดื่ม เป็นนมที่เน้นให้คนที่ดื่มได้รับประโยชน์ของเชื้อแบคทีเรีย ที่เติมลงไปมากกว่าประโยชน์จากนมสด เนื่องจากมีส่วนประกอบของนมผงขาดมันเนยเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น นมชนิดนี้มีอายุการรักษาที่อุณหภูมิตู้เย็นประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าสั้นที่สุดใน 3 ประเภท


- นมเปรี้ยวพร้อมดื่มพาสเจอไรซ์ ด้วยกระบวนการาสเจอไรซ์ทำให้อายุการเก็บรักษายาวนานขึ้น คือสามารถเก็บไว้ได้ในอุณหภูมิตู้เย็นประมาณ 1 เดือน แต่เนื่องจากกระบวนการนี้ต้องผ่านความร้อน จึงทำให้เอ็นไซม์กาแลคโตชิเอสและแบคทีเรียถูกทำลายไปหมด ประโยชน์ที่ได้จึงเป็นเรื่องของปริมาณน้ำตาลแลคโตส ที่ลดลง


- นมเปรี้ยมพร้อมดื่มยูเอชที คือ นมเปรี้ยวพร้อมดื่มที่ผ่านการฆ่าเชื้อแบบยูเอชที สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้นานกว่า 6 เดือน สำหรับประโยชน์ที่ได้รับ จะเหมือนกับนมเปรี้ยวพร้อมดื่มพาสเจอไรซ์


"จุลินทรีย์" สิ่งที่ดีที่สุดในนมเปรี้ยว


- จุลินทรีย์ช่วยรักษาสมดุลของระบบการทำงานของลำไส้ ซึ่งในลำไส้ของเรามีจุลินทรีย์อยู่หลายชนิด ทั้งมีประโยชน์และให้โทษ ซึ่งเมื่อเราอยู่ในช่วงสุขภาพไม่แข็งแรง ระบบการทำงานของลำไส้จะเกิดปัญหา เพราะจุลินทรีย์ที่ให้โทษจะขยายตัวมากขึ้นจนมีมากกว่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย การดื่มจุลินทรีย์ที่มีชีวิตในนมเปรี้ยวจะช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้กลับสู่ภาวะสมดุล


- จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวมีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยผลิตสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น กรดแลคติกและกรดอะมิโน


- จุลินทรีย์ช่วยระบบการย่อยอาหาร ซึ่งส่งผลดีต่อระบบการขับถ่าย


- จุลินทรีย์ช่วยยับยั้งมะเร็งและกำจัดสารก่อมะเร็งบางชนิด เพราะเชื้อแลคโตบาซิลัสสามารถจับสารก่อมะเร็ง โลหะหนักและกรดน้ำดี ซึ่งมีพิษ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรท ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง


ข้อควรรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยี่ห้อต่างๆ


- "บีทาเก้น" สูตรนมพร่องมันเนย เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณจุลินทรีย์ที่มีชีวิตมากที่สุด เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวยี่ห้ออื่นจากการทดลองโดยนิตยสารฉลาดซื้อ โดยบนฉลากระบุว่า ใช้จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ


- จุลินทรีย์ แอล. คาเซอิ ชิโรต้า เป็นชนิดของจุลินทรีย์ที่พบเฉพาะใน "ยาคูลล์" เท่านั้น ชื่อนี้มีที่มาจาก ดร.ชิโรตะ คาเซอิ, แลคโตบาซิลลัส บัลแกริคัส, สเตร็ปโทค็อกคัส เทอร์โมฟิลัส, บิฟิโดแบคทีเรียม อะนิมาลิส-ดีเอ็ม 173010 และเลคโตบาซิลัส เดลบรีคคิโอซัมสปีชีส์ บัลแกริคัส


- ดานอน แอคทีเวีย นมเปรี้ยวโยเกิร์ต กลิ่นสตอร์เบอรี่ เป็นยี่ห้อที่พบปริมาณแคลเซียมมากที่สุด ซึ่งมากกว่ายี่ห้ออื่นเกือบเท่าตัว


- ปริมาณน้ำตาลที่พบในนมเปรี้ยมจากการทดสอบครั้งนี้ ทุกยี่ห้ออยู่ในระดับใกล้เคียงกัน เฉลี่ย 14 - 15 กรัม หรือ 4 ช้อนชา ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน คือ ไม่เกิน 6 ช้อนชา ดังนั้นการรับประทานนมเปรี้ยวจึงไม่ช่วยทำให้ผอมลงอย่างแน่นอน สาวๆ ที่ยังเข้าใจผิดต้องรีบเปลี่ยนความคิดโดยด่วน


 
 

ที่มา นิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับที่ 99 เขียนโดย กองบรรณาธิการ  (ติดต่อ "ฉลาดซื้อ" ได้ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 4/2 ซ.วัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 โทรศัพท์ 0-2248-3734-7 โทรสาร 0-2248-3733 อีเมล webmaster@consumerthai.org)
 

ธรรมะบำบัด : สุขสุดท้ายก่อนจากไปอย่างสงบ

ธรรมะบำบัดหมายถึงการนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ในด้านสุขภาพ มาฝึกอบรมจิตของคนไข้และญาติที่รุ่มร้อนกระวนกระวายด้วยทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บที่มาเบียดเบียน ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์จากความเสื่อมของร่างกาย ทำให้แก่ เจ็บป่วย และจากไป หากได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับรู้ไว้ล่วงหน้าบ้าง ว่าวันหนึ่งจะต้องประสบแน่ จะช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ผ่อนคลายลดลง
   
รพ.ศูนย์บุรีรัมย์ อยู่ภาคอีสานตอนใต้ ห่างกรุงเทพฯ ราว 650 กม. ขนาด 700 เตียง มีเรื่องเด่นทางด้านการบริการและวิชาการหลายเรื่อง ที่อยากจะคุยวันนี้คือ ธรรมะบำบัด ด้วยมีทีมงานที่เข้มแข็ง ร่วมมือร่วมใจกันทำงานด้วยความเสียสละ ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์โดยแท้ ได้รับเสียงชมจากผู้มาเห็นและผู้รับบริการมาก
   
นพ.พิเชฐ อังศุวัชรากร ผอ.รพ.ศูนย์บุรีรัมย์ พญ.แสงดาว มยุระสาคร เป็นผู้สนับสนุนให้เกิดโครงการนี้ เกื้อจิตร แขรัมย์, พวงเพชร มีสวัสดิ์, เครือวัลย์ กฐินใหม่ และอีก 40 ท่าน เป็นทีมงานที่เข้มแข็ง ทำกันมาตั้งแต่ปี 2549 แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ระยะแรกใช้สมาธิบำบัดกับคนไข้และญาติในโรงพยาบาล โดยได้จัดกิจกรรม ศูนย์สมาธิบำบัด ทุกวันพฤหัสฯ ช่วงเช้า ทำมา 1 ปี มีผู้มารับบริการ 1,024 คน ต่างพอใจและนำไปทำต่อที่บ้าน และในปี 2551 จนถึงปัจจุบันได้มาเพิ่ม การดูแลคนไข้ในระยะสุดท้าย เป็นเรื่องที่จะได้คุยในวันนี้
   
แกนนำของทีมงานต่างมีแรงบันดาลใจอย่างมากให้ทำเรื่องนี้ สำหรับ คุณเกื้อจิตร มีคนใกล้ชิดในครอบครัวต้องจากไปถึง 3 ท่าน ทำให้เข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ต้องสูญเสียอย่างดีว่าเป็นอย่างไร และทุกคนก็ได้ไปอบรมธรรมะกันมา   มีความรู้ความต้านทานสูงพอที่จะถ่ายทอดไปยังคนไข้และญาติด้วยความจริงใจ ทำให้ผู้รับฟังซาบซึ้งเข้าใจง่ายและให้ความร่วมมืออย่างดี ผลที่ได้คนไข้ระยะสุดท้ายสบายใจและสงบขึ้นมาก
   
คนไข้ระยะสุดท้าย ได้แก่ โรคเอดส์ มะเร็ง ผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรุนแรง รวมไปถึงผู้ที่สูญเสียอวัยวะของร่างกายด้วย จุดประสงค์ต้องการให้ญาติและคนไข้ยอมรับการเจ็บป่วย ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยฟัง มาโรงพยาบาลมีความรู้สึกอย่างเดียวจะต้องรักษาหาย การพูดคุยจะอธิบายถึงความจริง ความเป็นไปได้ ให้กำลังใจ ให้คลายความวิตกกังวล เรื่องของโรคก็ดำเนินไปด้วยการรักษาของแพทย์อย่างเต็มที่อยู่แล้ว
   
หลักการบำบัด มุ่งเน้นการดูแลแบบองค์รวม ยึดคนไข้เป็นศูนย์กลางทั้งร่างกายและจิตใจ สังคมและจิตวิญญาณเพื่อช่วยให้เขายอมรับความจริง ยอมรับการสิ้นสุด เพื่อให้ผ่าน วาระสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบ ธรรมะที่ใช้เป็นหลักสมถกรรมฐาน ของหลวงพ่อเทียน ด้วยการเคลื่อนไหว ถามคนไข้ที่เอามือไปสัมผัสตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายว่ารู้สึกหรือไม่ เบนความสนใจจากความเจ็บปวด ความกังวลและความกลัวมาที่ร่างกาย ให้จิตอยู่ในตัวหรืออยู่ในบ้านไม่คิดฟุ้งปรุงแต่งไปนอกตัว ความผ่อนคลายจะค่อย ๆ เกิดขึ้น
   
คนทั่วไปมักคิดคล้าย ๆ กัน รู้ว่าทุกชีวิตต้องตายแน่ แต่ว่าตอนนี้แม้วัยจะถึงกำหนดแล้ว ก็ยังไม่ใช่ฉัน ทำไมจะต้องเป็นฉัน ฉันก็ทำความดีมามาก ฉันควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก  คณะทำงานได้ตีบทนี้แตกสำเร็จ อธิบายให้คนไข้และญาติเข้าใจดี ฟังดูเธอมีจิตวิทยาสูงมาก ชมความดีของคนไข้ที่มีคนมาเยี่ยมมาก ลูกหลานเป็นคนดี มีอาชีพที่สุจริตดี พูดจาดี ล้วนเป็นกุศลที่   ทำให้จากไปดี อะไรที่คั่งค้าง คนรอบข้างรับอาสาทำแทนได้หมด อะไรที่คาใจให้พูดออกมา ทุกคนพร้อมอโหสิให้ทั้งสิ้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรต้องห่วง คนไข้เมื่อยอมรับ จะไม่ดิ้นกระสับกระส่าย ใบหน้าจะแจ่มใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ทีเดียว
   
นพ.วิชาญ ศรีสุพรรณ อดีตจักษุแพทย์ผู้มีชื่อเสียงของ รพ.ศูนย์บุรีรัมย์ บอกว่าในตัวผมมีหลายโรค เรื่องตายไม่กลัว แต่กลัวจะทรมานก่อนตาย รู้สึกภูมิใจที่ได้มีคนชมถึงผลงานเด่น ๆ ที่ได้ทำไว้ ทุกวันนี้มีความสุขดีที่มีครอบครัวอบอุ่น ภรรยา วิมลศรี ช่วยดูแล และมีหลาน ๆ รอบข้างไม่เหงาเลย
   
คุณติ๋วหลั่น สมัครประโคน หัวหน้าพยาบาล, คุณบุหลัน เปลี่ยน  ไธสง จัดโครงการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างแกนนำเครือข่ายมิตรภาพบำบัดโรคหัวใจและหลอดเลือดขึ้นในรพ.ศูนย์บุรีรัมย์ เมื่อ 16 มิ.ย. พอดี มีสมาชิกมาร่วมประชุมมาก ได้แลกเปลี่ยนความรู้เพื่อไปปฏิบัติและบอกต่อไปยัง ผู้เจ็บป่วยเรื่องนี้ รพ.นี้มีการฝึกอบรมเรื่องมิตรภาพบำบัดหลายโครงการ เรื่องโรคมะเร็งได้จัดไปแล้ว และยังมีเรื่องอื่น ๆ รออีก
   
ธรรมะบำบัดกับคนไข้ระยะสุดท้ายของ รพ.ศูนย์บุรีรัมย์ ช่วยให้คนไข้ได้ผ่อนคลายลดความกังวล ร่วมมือในการรักษาดีขึ้น และแม้จะต้องจากไปก็เป็นไปด้วยความสงบ เป็นที่พอใจแก่ญาติ ๆ มาก ข้อมูลเพิ่มเติม เกื้อจิตร 08-9286-9406, เครือวัลย์ 08-1999-4139.
 

'EQ ไม่ดีแก้ไขได้ไหม'

ในทางจิตวิทยาเชื่อว่า อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ เสนอแนะวิธีการพัฒนาอารมณ์ไว้ 5 ประการ ดังนี้
   
1.รู้จักอารมณ์ตนเอง
   
การรู้จักอารมณ์ตนเอง จะเป็นพื้นฐานในการควบคุมอารมณ์เพื่อแสดงออกอย่างเหมาะสม   การรู้จักอารมณ์ตนเองก็คือการรู้ตัว หรือการมีสติในทรรศนะของพุทธศาสนานั่นเอง ปกติเมื่อเราเกิดอารมณ์ใด ๆ ขึ้นมา เราจะตกอยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งใน 3 ภาวะ ดังต่อไปนี้
   
ถูกครอบงำ หมายถึง การที่เราไม่สามารถฝืนต่อสภาพอารมณ์นั้น ๆ ได้ จึงแสดงพฤติกรรมไปตามสภาพอารมณ์ดังกล่าว เช่น เมื่อโมโหก็อาจจะมีการขว้างปาข้าวของหรือส่งเสียงดังโดยไม่สนใจใคร
   
ไม่ยินดียินร้าย หมายถึง การไม่ยินดียินร้ายต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือทำเป็นละเลยไม่สนใจเพื่อบรรเทาการแสดงอารมณ์ เช่น ทำเป็นไม่ใส่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่จริง ๆ ก็รู้สึกโกรธ
   
รู้เท่าทัน หมายถึง การรู้เท่าทันต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น มีสติรู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุดในขณะที่เกิดอารมณ์นั้น ๆ เช่น โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่ก็สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ ระงับ อารมณ์โกรธได้ และหาวิธีจัดการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม
   
ทำอย่างไรให้รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง?
   
ทบทวน ถ้ารู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามีปัญหาในการแสดงอารมณ์ ลองให้เวลาทบทวนอารมณ์ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างตนเองว่าเรามีลักษณะอารมณ์อย่างไร เรามักแสดงออกในรูปแบบไหน แล้วรู้สึกพอใจ ไม่พอใจอย่างไร คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ต่อการแสดงอารมณ์ในลักษณะนั้น ๆ
   
ฝึกสติ ฝึกให้มีสติและรู้ตัวอยู่เสมอว่าขณะนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรกับตัวเองหรือต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  รอบ ๆ ตัว สบายใจ ไม่สบายใจ แล้วลองถามตัวเองว่าเราคิดอย่างไรกับความรู้สึกและความคิดนั้น ความรู้ สึกนั้นมีผลอย่างไรกับการแสดงออกของเรา
   
2.จัดการกับอารมณ์ตนเองได้
   
การจัดการกับอารมณ์ตนเองได้ หมายถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์และสามารถแสดงออกไปได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ แต่การที่เราจะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่เพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมอารมณ์
   
เทคนิคการจัดการกับอารมณ์ตนเอง
   
ทบทวน ว่ามีอะไรบ้างที่เราทำลงไป เพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้น และพิจารณาว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
   
เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกสั่งตัวเองว่า จะทำอะไรและจะไม่ทำอะไร
   
ฝึกรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือที่เราต้องเกี่ยวข้องในด้านดี ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เศร้าหมอง
   
สร้างโอกาสจากอุปสรรค หรือหาประโยชน์จากปัญหา โดยการเปลี่ยนมุมมอง เช่น คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือความท้าทายที่จะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้น เป็นต้น
   
ฝึกผ่อนคลายความเครียด โดยเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเอง เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ เดินจงกรม เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ เป็นต้น
   
3.สร้างแรงจูงใจให้ตนเอง
   
การมองหาแง่ดีของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดความเชื่อมั่นว่าสามารถเผชิญกับเหตุการณ์นั้นได้ และทำให้เกิดกำลังใจที่ก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
   
เทคนิคการสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง
   
ทบทวนและจัดอันดับสิ่งสำคัญในชีวิต โดยให้จัดอันดับความต้องการ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นทั้งหลายทั้งปวง แล้วพิจารณาว่าการที่เราจะบรรลุสิ่งที่ต้องการนั้นเรื่องไหนที่พอเป็นได้ เรื่องไหนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
   
ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เมื่อได้ความต้องการที่มีความเป็นไปได้แล้ว ก็นำมาตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อวางขั้นตอนการปฏิบัติที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายนั้น ๆ
   
มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความฝัน ความต้องการของตนเอง ต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์ใดมาทำให้เราเกิดความไขว้เขวออกนอกทางที่ตั้งไว้
   
ลดความสมบูรณ์แบบ ต้องทำใจยอมรับได้ว่าสิ่งที่เราตั้งใจไว้อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ หรือไม่เป็นดังที่เราคาดหวัง 100 เปอร์เซ็นต์ การทำใจยอมรับความบกพร่องได้จะช่วยให้เราไม่เครียด ไม่ทุกข์   ไม่ผิดหวังมากจนเกินไป
   
ฝึกมองหาประโยชน์จากอุปสรรคเพื่อ สร้างความรู้สึกดี ๆ ที่จะเป็นพลังให้เกิดสิ่งดี ๆ อื่น ๆ   ต่อไป
   
ฝึกสร้างทัศนคติที่ดี หามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ (แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้) มองปัญหาให้เป็นความท้าทายที่เราจะได้เรียนรู้สิ่ง  ใหม่ ๆ เพื่อสร้างพลังและแรงจูงใจให้ผ่านพ้นปัญหานั้น ๆ ไปได้
   
หมั่นสร้างความหมายในชีวิต ด้วยการรู้สึกดีต่อตัวเอง นึกถึงสิ่งที่สร้างความภูมิใจและพยายามใช้ความสามารถที่มี ทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กำลังใจตนเอง คิดอยู่เสมอว่าเราทำได้ เราจะทำและลงมือทำ
   
4.รู้อารมณ์ผู้อื่น
   
การรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และสามารถแสดงอารมณ์ตนเองตอบสนองได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกับคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยจะช่วยให้เราสามารถอยู่ร่วมหรือทำงานด้วยกันได้อย่างดีและมีความสุขมากขึ้น
   
เทคนิคการรู้อารมณ์ผู้อื่น
   
ให้ความสนใจในการแสดงออกของผู้อื่น โดยการสังเกตสีหน้า แววตา ท่าทาง การพูด น้ำเสียง ตลอดจนการแสดงออกอื่น ๆ
   
อ่านอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น จากสิ่งที่สังเกตเห็นว่า เขากำลังมีความรู้สึกใด โดยอาจตรวจสอบว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือไม่ด้วยการถาม แต่วิธีนี้ควรทำในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะมิฉะนั้นอาจ   ดูเป็นการวุ่นวาย ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นได้
   
ทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของบุคคล เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรจากสภาพที่เขาเผชิญอยู่
   
5.รักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
   
การมีความรู้สึกที่ดีต่อกันจะช่วยลดความขัดแย้ง และช่วยให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นพร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์
   
เทคนิคในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
   
ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น ด้วยการเข้าใจ เห็นใจความรู้สึกของผู้อื่น
   
ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ฝึกการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจในความรู้สึกของผู้ฟังด้วย
   
ฝึกการแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้และรับ
   
ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ รู้จักยอมรับในความสามารถของผู้อื่น
   
ฝึกการแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจซึ่งกันและกันตามวาระที่เหมาะสม
   
ข้อมูลจาก ข่าวสาร กรมสุขภาพจิต ISSN 0125-6475.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=4451&categoryID=518

'อึ' ให้ดี ไม่มีตกค้าง ?!

เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้เขียนได้รับอีเมลฉบับหนึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “อันตรายจากอุจจาระตกค้าง” ระบุว่า หากคนเราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ระบบดูดซึมเสีย ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 น. เช้า หรือ หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบ ให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด อุจจาระที่ค้าง ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่นไปเรื่อย ๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ ในกระเพาะและกดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ
 
เพื่อให้ผู้อ่านหายข้องใจ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบัน เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จะมาไขข้อข้องใจให้ทุกคนได้รับทราบ
 
นพ.กฤษดา อธิบายว่า เรื่องอุจจาระตกค้าง หรือ อึค้างเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ทุกคน เราอาจตรวจสัญญาณ   อึค้างในลำไส้ใหญ่ได้เองง่าย ๆ โดยการนอน หงายแล้วเอามือคลำท้องด้านซ้ายล่าง เลยสะดือไปทางซ้ายหน่อย แล้วเอานิ้วทั้ง 5 ลองกดดูจนลึกเต็มที่เลื่อนไปมา ถ้ามีอึค้างอยู่จะคลำได้เป็นลำคล้ายแท่งยาว ๆ อยู่ตามรูปลักษณ์ของ  ลำไส้ โดยลำไส้ใหญ่นี้จะยิ่งคลำได้ชัดในคนที่ผอม สำหรับคนเจ้าเนื้ออาจต้องใช้เทคนิคนอนแล้วแขม่วพุงช่วยแล้วค่อยคลำจะชัดขึ้น ที่จริงเรื่องการอึที่ดูเหมือนเป็นกิจวัตรธรรมดาไม่มีอะไรนั้น มันต้องมีการฝึกเข้าส้วมกันบ้างให้ติดเป็นนิสัย
 
กลุ่มคนที่มักมีปัญหาเรื่องอึค้าง ได้แก่ 

1.เด็กเล็กที่ให้กินนมแล้วนอนเลย ไม่พาอุ้มพาดบ่าลูบหลัง หรือไม่พาขยับตัวกลิ้งไปมาสักนิดหน่อยให้ไส้ได้บีบตัวบ้าง และในเด็กที่อึแข็งมาก อึนี่อาจแข็งถึงกับบาดรูก้นได้เป็นแผล แล้วครั้งต่อไปเด็กจะไม่อยากอึออกมาเพราะกลัวเจ็บ แผลแยก เลยยิ่งกลั้น  พอยิ่งกลั้นอึก็ยิ่งแข็งค้างไปเรื่อย

2.คนที่ผ่าตัดบ่อย จะมีพังผืดไปรัดลำไส้ข้างในนุงนังทำให้บีบตัวไม่ดีอาจมีอึค้างอยู่ตามซอกโน้นซอกนี้ในลำไส้ จนบางท่าน กลายเป็นลำไส้อุดตันไปได้ก็มี 3.ผู้สูงอายุและคนไข้นอนโรงพยาบาล ที่ไม่ค่อยได้ขยับตัวลุกเดิน

4.คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแถมกลั้นอึบ่อย โดยเฉพาะท่านที่ทำงานออฟฟิศต้องนั่งแปะอยู่กับที่นานหรืองานเข้าบ่อยต้องขอผลัดเข้าห้องน้ำไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ดีครับ

5.ท่านที่มีลำไส้ยาว คือยิ่งยาวก็ยิ่งเป็นไซโลเก็บอึไว้ได้นานขึ้น บางท่านจะสังเกตว่าผักก็กินเยอะแต่อึแค่สัปดาห์ละหนเท่านั้น 
 
สำหรับเทคนิค “อึให้ดี ไม่มีตกค้าง” มีดังนี้

1.อย่าอั้นอึตอนเช้า เพราะถ้าเลยเช้าไปแล้ว กว่าร่างกายจะส่งสัญญาณให้ปวดอีกอาจจะนานจนผิดเวลา

2.อึให้ตรงกับเวลาเดิม เหมือนเป็นการช่วย “โปรแกรม ลำไส้” ให้คอยบีบไล่อึออกมาสม่ำเสมอก็จะไม่ค้างครับ

3.รอจังหวะขณะอึ ถ้าขณะนั่งห้องน้ำถ่ายหนัก อยู่ ถ้าไม่ปวดอย่าเบ่งครับ ให้ลองจับสังเกตว่ามันจะ    “ปวดเป็นช่วง ๆ” แล้วก็คลายไปแล้วประเดี๋ยวก็ปวดบีบขึ้นมาอีก นั่นเป็นเพราะลำไส้คนบีบตัวเป็น ลูกคลื่นเหมือนงูเลื้อย ถ้ามันเลื้อยมาถึงตรงอึพอดีมันจึงปวดขึ้นมา ถ้าเบ่งตอนไม่ปวดจะเหมือนเป็นการ  “แกล้งลำไส้” ให้เกิดแรงดันขึ้นมาโดยใช่เหตุเกิดโป่งพองขึ้นมาได้ “ริดสีดวงทวาร” เป็นของแถม
 
4.นวดลำไส้ ถ้าในเด็กให้นวดรอบสะดือ ในผู้ใหญ่ให้นวดตรงท้องด้านล่างซ้ายเลยสะดือไป นวดเบา ๆ ไปมาแล้วทิ้งไว้สักพักจะรู้สึกปวดถ่ายขึ้นมา

5.เอามือกดท้องด้านซ้ายล่างขณะถ่าย หรือจะลุกขึ้นนั่งยองเอาหน้าขาเป็นตัวกดไล่อึออกมา เพราะที่จริงแล้วการอึที่ดีตามธรรมชาติของคนคือ   “นั่งยอง” เพราะจะได้มีแรงกดจากหน้าขาด้วย การที่ฝรั่งเอาส้วมแบบนั่งมาให้เราใช้เป็นการผิดธรรมชาติมนุษย์ที่จะไม่มีแรงเบ่งอึมากในท่านั่งห้อยขาทำให้คนเอเชียกลายเป็นทั้งริดสีดวงและท้องผูกมากเหมือนฝรั่งด้วย

6.ลุกขึ้นเดินไปมา จะทำให้ไส้บีบตัวดี สักพักไส้จะบีบรีดเอา “อึท้ายขบวน” ที่เหลือออกมาแล้วเราจะรู้สึกปวดเบ่งอีกที
 
ไม่ว่าใครก็ตามถ้าความถี่ในการอึน้อยกว่า  3  ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่า “ท้องผูก” นอกจากออกกำลังกายแล้วอาจใช้อาหารล้างลำไส้ช่วยได้ คือ

1. น้ำมะขามเปียกก้นครัว 

2.ลูกพรุนแห้งรับประทานทั้งผล เพราะจะได้กากด้วย ไม่ต้องแยกกินแต่น้ำ ยกเว้นถ้าเป็นเด็ก 

3.แอปเปิ้ลเขียว กินทั้งผลหรือปั่นทั้งกากก็ได้

4.ถั่วดำ จัดเป็นอาหารล้างพิษได้ด้วย

5.สับปะรดและมะละกอที่มีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ถูกย่อยไม่หมดและจะมีสภาพติดเป็นอุจจาระยางเหนียวสีดำคล้ายกับ  “จาระบี” 

6.ให้เลี่ยงการ  ดื่มน้ำเย็นในตอนเช้า โดยให้ดื่มน้ำปกติหรือน้ำอุ่นตอนเช้าขณะตื่นมาท้องว่างจะช่วยให้ไส้บีบรัดตัวได้ ชวนให้ปวดอึขึ้นมาได้ดีทีเดียว.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=518&contentID=3566

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ปัดฝุ่นสร้างอุโมงค์วงเวียน "ราชพฤกษ์-นครอินทร์" วงเงิน 790 ล้าน คาด 2 ปีเสร็จ

วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เวลา 12:09:20 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ปัดฝุ่นสร้างอุโมงค์วงเวียน "ราชพฤกษ์-นครอินทร์" วงเงิน 790 ล้าน คาด 2 ปีเสร็จ


กรมทางหลวงชนบทปัดฝุ่นโครงการสร้างอุโมงค์ ทางลอดบริเวณวงเวียน"ถนนราชพฤกษ์-ถนนนครอินทร์" ใหม่หลังยกเลิกช่วงวิกฤตน้ำมันแพง เผยได้ผู้รับเหมารายเดิม "ห.จ.ก.สามประสิทธิ์" วงเงินก่อสร้าง 790 ล้านบาท คาดเริ่มงานส.ค.-ก.ย.นี้ ใช้เวลาสร้าง 2 ปี ชี้ช่วยลดอุบัติเหตุได้อื้อ!!

อุโมงค์ทางลอดบริเวณวงเวียนถนนราชพฤกษ์-ถนนนครอินทร์ เป็นหนึ่งในโครงการเจอโรคเลื่อน หลังจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ยกเลิกผลการประกวดราคาเมื่อช่วงเกิดวิกฤตน้ำมันแพง ส่งผลกระทบให้ต้นทุนก่อสร้างผันแปรในปี 2551 ที่ผ่านมา

 

ล่าสุดผู้บริหาร ทช.ได้ตัดสินใจหยิบโครงการนี้เปิดประมูลอีกครั้ง หลังปรับปรุงค่าก่อสร้างใหม่ให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด ผลปรากฏได้ผู้ประกอบการเจ้าเดิม "ห.จ.ก.สามประสิทธิ์" เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง วงเงิน 790 ล้านบาท (วงเงินสูงขึ้นประมาณ 30-40 ล้านบาท) โดยกรมเตรียมจะลงนามสัญญาก่อสร้างเร็วๆ นี้ คาดว่าจะเริ่มงานได้ประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายน 2552 ตามสัญญาใช้เวลาก่อสร้าง 800 วัน หรือประมาณ 2 ปี

 

กล่าวถึง "ถนนราชพฤกษ์" เป็นถนนตัดใหม่ อยู่ในแนวเหนือใต้เชื่อมต่อระหว่างถนนรัตนาธิเบศร์ในทิศเหนือกับถนนเพชรเกษมในทิศใต้ มีขนาด 6 ช่องจราจร ความยาวประมาณ 18 กิโลเมตร ส่วน "ถนนนครอินทร์" อยู่ในแนวทิศตะวันตกและตะวันออกเชื่อมกับถนนกาญจนาภิเษก หรือถนนวงแหวนตะวันตกในด้านตะวันตกตัดผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานพระราม 5 เชื่อมกับถนนประชาราษฎร์และถนนติวานนท์ ขนาด 6 ช่องจราจร ความยาวประมาณ 12 กิโลเมตร

 

ปัจจุบันมีผู้ใช้เส้นทางจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณวงเวียนจุดตัดถนนราชพฤกษ์-ถนนนครอินทร์เป็นจุดที่มีปริมาณจราจรหนาแน่นทั้งในชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเช้าและเย็น จากการสำรวจและศึกษาของ ทช. พบว่ามีปริมาณจราจรที่มุ่งเข้าสู่วงเวียนจากทุกทิศทางมากถึง 9,900 คัน/ชั่วโมง มีปริมาณจราจรที่อยู่ภายในวงเวียนสูงสุดถึง 5,400 คัน/ชั่วโมง

 

แน่นอนว่าความคับคั่งของปริมาณจราจรดังกล่าวย่อมเกินขีดจำกัดความจุของวงเวียนที่ออกแบบให้รองรับปริมาณการจราจรได้เพียง 4,500 คัน/ชั่วโมง ที่สำคัญประเมินกันว่าภายในปี พ.ศ.2560 จะมีปริมาณจราจรภายในวงเวียนขยับสูงถึง 7,200 คัน/ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดอย่างต่อเนื่อง 

 

ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมายังมีรายงานการเกิดอุบัติเหตุในบริเวณดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง จากสถิติของสถานีตำรวจภูธร อ.บางกรวย จ.นนทบุรี พบว่าปี 2546 มีคดีอุบัติเหตุจราจรเกิดขึ้นจำนวน 13 ราย ปี 2547 จำนวน 98 ราย และปี 2548 จำนวน 112 ราย จะเห็นว่าเป็นสถิติที่มีแนวโน้มที่สูงขึ้นทุกปี

 

เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการเดินทางมากขึ้น ทช. จึงได้จัดทำโครงการเจาะอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกนี้ขึ้นมาในอนาคต นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาจราจรแล้ว ยังช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุและรองรับปัญหาการจราจรอีกด้วย

 

ทั้งนี้พิมพ์เขียวถนนราชพฤกษ์ในบริเวณพื้นที่โครงการจะถูกปรับปรุงให้มีอุโมงค์ลอดขนาด 6 ช่องจราจร ความกว้าง 31 เมตร ความยาว 681 เมตร ความสูงช่องลอด 5.10 เมตร โดยแนวอุโมงค์อยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ลอดใต้วงเวียนจุดตัดถนนราชพฤกษ์-ถนนนครอินทร์ มีช่องทางคู่ขนานขนาด 3 ช่องจราจรขนาบข้างของอุโมงค์ทั้ง 2 ฝั่งบนถนนราชพฤกษ์ เพื่อรองรับการจราจรที่จะเดินทางเข้า-ออกวงเวียน

 

เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ โครงการจะมีลักษณะเป็นอุโมงค์ทางลอดในการเดินทางแนวเหนือ-ใต้ และมีสะพานข้ามแยกในการเดินทางแนวตะวันออก-ตะวันตก ส่วนวงเวียนที่ใช้อยู่ในขณะนี้ยังคงสามารถใช้งานได้ตามปกติ แม้จะเริ่มงานก่อสร้างก็ตาม


http://www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?newsid=1245302060

โรคเท้าช้าง

วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6776 ข่าวสดรายวัน


โรคเท้าช้าง


คอลัมน์ที่ 13



ข่าวการพบหญิงสาวป่วยเป็นโรคประหลาด เท้าใหญ่โตผิดปกติ นิ้วเท้าก็ใหญ่ผิดรูป ที่จังหวัดระยอง

แพทย์ระบุว่าคล้ายกับโรคเท้าช้าง

โรคเท้าช้างเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง มียุงบางชนิดที่มีพยาธิตัวกลมอาศัยอยู่เป็นพาหะ พบได้มากในเขตร้อน

เป็นโรคที่กลับมาระบาดในประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากหายไปพักใหญ่

เนื่องจากมีการเดินทางไปมาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะแถบประเทศเพื่อนบ้านที่มีการระบาดอยู่ ทำให้พาเชื้อกลับเข้ามาใหม่

ประเทศที่พบโรคเท้าช้างมีทั้งสิ้น 73 ประเทศ มี 38 ประเทศในทวีปแอฟริกา 7 ประเทศในทวีปอเมริกา 4 ประเทศในแถบยุโรป 8 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 16 ประเทศในกลุ่มประเทศภาคพื้นแปซิฟิกฝั่งตะวันตก

ประเทศที่มีผู้ป่วยโรคเท้าช้างมากที่สุดคืออินเดีย คาดว่ามากถึง 45.5 ล้านคน

สำหรับประเทศไทยหากเป็นพื้นที่จังหวัดติดชายแดนพม่า จะเป็นเชื้อ Wuchereria bancrofti เกิดจากยุงรำคาญ ยุงลายบางชนิด

หากเป็นแถบจังหวัดภาคใต้ จะเกิดจากเชื้อ Brugia malayi เกิดจากยุงลายเสือ

พยาธิดังกล่าวจะอาศัยอยู่ในคนเท่านั้น โดยเชื้อจะเข้าท่อน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลือง และอยู่ในร่างกายคนได้ 4-6 ปี ออกลูกออกหลานเป็นล้านตัวเข้ากระแสเลือด

เมื่อยุงกัดคนที่เป็นและรับเชื้อไป แล้วไปกัดคนอื่นจะปล่อยเชื้อแพร่ออกไป

อาการของผู้ป่วย แบ่งเป็นหลายแบบ

อาการแบบเฉียบพลันจะมีการอักเสบของต่อมและทางเดินน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองบวมโต ปวด มีไข้ จะตรวจพบเชื้ออวัยวะต่างๆ ที่สำคัญได้แก่ บริเวณขา ช่องท้องด้านหลัง ท่อนำเชื้ออสุจิ แหล่งพักน้ำเชื้อและเต้านมผิวหนัง โดยผู้ป่วยส่วนมากมีอาการลมพิษด้วย

ตำแหน่งที่หลอดน้ำเหลืองอุดตันจะมีการเปลี่ยนแปลงคือ เกิดบวมแข็ง ผื่นแดง หลอดน้ำเหลืองจะโป่งมีน้ำเหลืองคั่งอยู่ คลำได้เป็นก้อนขรุขระ

อาการเรื้อรัง หากเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อ B. malayi จะมีอาการแสดงที่สำคัญ คือ ขาโต โดยมีพยาธิสภาพตั้งแต่ใต้เข่าลงไป และบางครั้งก็จะพบที่แขนตั้งแต่ใต้ข้อศอกลงไป

ส่วนผู้ที่ติดเชื้อ W. bancrofti จะเกิดพยาธิสภาพที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ได้ ถ้าเป็นผู้หญิงอาจจะพบอาการบวมของช่องคลอดและที่หน้าอก ส่วนในผู้ชายพบว่ามีการคั่งของน้ำเหลืองในอัณฑะ

รายที่เกิดภาวะเท้าช้างพบว่าร้อยละ 95 จะเป็นที่ขากับอวัยวะเพศ บริเวณที่พบน้อยรองลงไป ได้แก่ ที่แขนและเต้านม

อาการเท้าบวมที่เรียกว่าภาวะเท้าช้าง (elephantiasis) เกิดจากการตายของตัวพยาธิในท่อน้ำเหลือง ทำให้ร่างกาย ทำปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอม จนทำให้เกิดภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง

สามารถรักษาได้ด้วยการให้ยา และการผ่าตัด ท่อน้ำเหลืองที่อุดตัน

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยคือต้องตัดเล็บมือ เล็บเท้า ให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันรอยเกาถลอกที่ผิวหนังเมื่อเกิดอาการคัน ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับอวัยวะบวมโต นวดบริเวณที่บวมโตเพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียน และลดการคั่งของน้ำเหลือง

การป้องกันการติดเชื้อคือหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัดโดยนอนในมุ้ง สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด สุมไฟไล่ยุง หรือทายาป้องกันยุง คว่ำภาชนะและวัสดุที่มีน้ำขัง ใช้ฝาปิดภาชนะรองรับน้ำป้องกันยุงวางไข่

ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เพื่อป้องกันยุงวางไข่

เพียงเท่านี้ก็สามารถป้องกันโรคได้แล้ว

หน้า 6
 

ค า ร ว า ลั ย เ ส ภ า ค รู ส่งเรื่องราวดีดีมาให้คุณอ่าน

คุณ ค า ร ว า ลั ย เ ส ภ า ค รู ได้เข้าเวบ www.oknation.net และส่งเรื่องราวดีดีมาให้คุณอ่าน : อ่านเรื่อง คลิ๊กที่นี่ http://www.oknation.net/blog/wachira89/2009/06/18/entry-2 ....................................................................... ผู้ส่ง ค า ร ว า ลั ย เ ส ภ า ค รู

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กระทรวงสาธารณสุข เตือนระวัง 15 โรคติดต่อหน้าฝน สั่งทุกจังหวัดเข้ม 90 วันอันตราย

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552 11:51
กระทรวงสาธารณสุข เตือนระวัง 15 โรคติดต่อหน้าฝน สั่งทุกจังหวัดเข้ม 90 วันอันตราย

นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในฤดูกาลนี้ เป็นสาเหตุทำให้โรคหลายชนิด สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว ที่สำคัญ เช่น โรคไข้เลือดออก โรคฉี่หนู โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้มาลาเรีย โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคบิด โรคไข้สมองอักเสบเจอี โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง โรคปอดอักเสบ และโรคไข้หวัดนก ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกแห่ง จับตาเป็นพิเศษ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2552 เป็นช่วง 90 วันอันตราย ให้แพทย์ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโดยละเอียด และโรคที่ต้องติดตามต่อเนื่อง 2 โรคคือ โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ซึ่งเป็นโรคระบาดใหม่ที่ขณะนี้พบการระบาดในประเทศ และโรคไข้หวัดนกที่มีแหล่งแพร่ระบาดมาจากสัตว์ปีก โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนกไทยไม่พบติดเชื้อในคนมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี แต่ประมาทไม่ได้ เพราะหากเกิดขึ้นในฤดูฝน เชื้ออาจมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคนที่อยู่ในช่วงระบาดในฤดูฝนได้

ทางด้านนพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค ได้ออกประกาศเตือนประชาชนในการป้องกันโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน จัดส่งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกัน โดยมี 5 กลุ่ม รวม 15 โรค ได้แก่

1.กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ สาเหตุเกิดจากกินอาหารดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือกินอาหารสุกๆ ดิบๆ 2.กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อยคือ โรคเลปโตสไปโรซิส หรือไข้ฉี่หนู อาการเด่นคือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง

3.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม อาการเริ่มจากไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย

4.กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 3 โรค ได้แก่ ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน ไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญ มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนาเป็นตัวนำโรค และโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่า เป็นพาหะนำโรค ทั้ง 3 โรคนี้อาการเริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะโรคไข้สมองอักเสบ อาจทำให้พิการภายหลังได้ และ

5.โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา

นพ.ปราชญ์ กล่าวต่อว่า จากการเฝ้าระวัง 15 โรคดังกล่าว ตลอดเดือนพฤษภาคม 2552 พบผู้เสียชีวิตแล้ว 13 ราย โดยเสียชีวิตจากปอดบวม 8 ราย อุจจาระร่วงเฉียบพลัน 3 ราย และไข้เลือดออกและไข้สมองอักเสบ อย่างละ 1 ราย สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ นอกจากนี้ ในช่วงหน้าฝนต้องระวังอีก 2 เรื่อง คือ ปัญหาน้ำกัดเท้าที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนานๆ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดง ถ้าเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองออก และอันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมลงป่อง ที่หนีน้ำมาอาศัยในบริเวณบ้าน

ด้านนพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อาการนำของโรคติดเชื้อที่เป็นลักษณะเด่นหลักๆ คือ อาการไข้ ดังนั้นในช่วงนี้ หากมีไข้สูงและเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น หรือไข้ยังไม่ลดภายใน 3 วัน แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง เพื่อรับการตรวจรักษาที่ถูกกับโรค โดยเฉพาะถ้าเป็นกับเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือแพทย์ทันที

นพ.มล.สมชาย กล่าวต่อว่า ยาลดไข้ที่ต้องระมัดระวังในการใช้ คือยาจำพวกแอสไพริน ห้ามกินอย่างเด็ดขาด เพราะมีอันตรายกับบางโรค ที่สำคัญ 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้ฉี่หนู ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอยู่แล้ว หากได้รับยาแอสไพริน ซึ่งมีสารป้องกันเลือดแข็งตัวเข้าไปอีก จะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้นทำให้เสียชีวิตได้ง่ายขึ้น

ในการป้องกันโรคในฤดูฝน ขอให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สวมเสื้อผ้ารักษาร่างกายให้อบอุ่น เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะเด็กกับผู้สูงอายุควรดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพอากาศมีความชื้นสูง หนาวเย็น จะทำให้ร่างกายที่มีระดับภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าคนวัยอื่นๆ อยู่แล้ว ต่ำลงไปอีก จึงมีโอกาสติดเชื้อโรคทางเดินหายใจได้ง่าย ควรดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้ม รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม และล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ถ่ายอุจจาระลงส้วม หากในช่วงที่มีน้ำท่วมขัง และส้วมใช้การไม่ได้ ห้ามถ่ายอุจจาระลงน้ำ ขอให้ถ่ายอุจจาระลงในถุงพลาสติก แล้วปิดปากถุงให้แน่น

ประชาชนควรตรวจดูโอ่งน้ำหรือภาชนะเก็บน้ำอื่นให้มีฝาปิดมิดชิด และเปลี่ยนน้ำจานรองขาตู้ แจกันไม้ประดับทุก 7 วัน ปล่อยปลาหางนกยูงในอ่างบัว ทำลายแหล่งที่มีน้ำขัง เช่น กะลา กระป๋อง ยางรถยนต์เก่า เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ทั้งนี้ หลังเดินย่ำน้ำ ลุยน้ำแช่ขังหรือน้ำสกปรก ต้องล้างเท้าให้สะอาดทุกครั้ง แล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าที่สะอาด อย่าปล่อยให้อับชื้นเป็นเวลานาน แนะนำให้ใช้เครื่องป้องกันให้เป็นนิสัย เช่น ใส่รองเท้าบู๊ท หลีกเลี่ยงการสัมผัสพื้นที่ชื้นแฉะที่มีการเลี้ยงสัตว์ และสัมผัสปัสสาวะสัตว์ นอกจากนี้ ให้ดูแลความสะอาดบ้านเรือน ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์มีพิษ หรือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลง

http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=52204

ก้าวอีกขั้นวงการแพทย์ไทย ใช้สารเรืองแสงช่วยผ่าตัด 'มะเร็งสมอง'!!

 
 
อีกโรคร้ายที่มีความน่ากลัว “มะเร็ง” นอกจากจะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยแล้ว ในอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าวนี้แต่ละปียังพบว่ามีจำนวนไม่น้อย!!
   
นอกเหนือจาก มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งกระดูก ฯลฯ ที่มีความเคลื่อนไหวให้ติดตาม ในส่วนของ มะเร็งสมอง ก็เป็นอีกหนึ่งความเจ็บป่วยที่สร้างความทุกข์ทรมานความสูญเสีย และ แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่หาก  เริ่มเผชิญกับสัญญาณอันตราย   มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตาพร่ามัว แขนขาอ่อนแรง อีกทั้งบางรายอาจมีอาการชัก ความรู้สึกตัว ลดลง อย่านิ่งนอนใจควรรีบไปพบแพทย์เพราะหากได้รับการรักษาล่าช้าในสัญญาณอันตรายนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
   
จากความก้าวหน้าทางการแพทย์ของคณะแพทย์ไทย ล่าสุดโรงพยาบาลตำรวจได้พัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อใช้ในการรักษา ตลอดจนเทคนิควิธีการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์และมีความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้ป่วยมะเร็งสมอง นั่นคือความสำเร็จในการผ่าตัดผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวโดยใช้สารเรืองแสง
   
มะเร็งสมองเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย พ.ต.อ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นพ. (สบ4) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลตำรวจ  ให้ความรู้พร้อมบอกเล่าการผ่าตัดมะเร็งสมองโดยใช้สารเรืองแสงซึ่งเป็นแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกว่า เทคโนโลยีดังกล่าวที่นำมาใช้ในการผ่าตัดรักษามะเร็งสมองและเส้นเลือดโป่งพองในสมอง โดยใช้สารเรืองแสงนำทาง ที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้วซึ่งมีผู้เข้ารับการผ่าตัดรักษาหลายรายได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
   
“โรคมะเร็งสมองเป็นโรคที่มีความทุกข์ทรมาน มีอัตราการเสียชีวิตสูง หากไม่ได้รับการรักษา
อย่างทันท่วงที ซึ่งโดยปกติพบในวัยกลางคนขึ้นไป ในผู้ป่วยที่มารับการรักษาจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายรายมีภาวะปวดศีรษะมากจนทำให้มีการคลื่นไส้อาเจียน แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด ไม่เข้าใจภาษาในบางรายมีอาการชัก ตาพร่ามัว ฯลฯ”
   
โรงพยาบาลตำรวจได้นำอุปกรณ์ใหม่มาช่วยในการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งสมอง โดยอุปกรณ์ใหม่นี้ ติดตั้งกับกล้องจุลศัลยกรรมตรวจจับสารเรืองแสง (5-ALA หรือ 5 AMINO LEVULINIC ACID) ซึ่งมีลักษณะพิเศษสามารถเข้าจับก้อนมะเร็งและเปล่งแสงโดยให้สีที่แตกต่างจากเนื้อสมองปกติ ทำให้ประสาทศัลยแพทย์สามารถผ่าตัดนำก้อนมะเร็งในสมองออกมาได้มากที่สุด เป็นวิธีเดียวกับประสาทศัลยแพทย์จากสถาบันชั้นนำในยุโรปใช้ทำการผ่าตัดมะเร็งสมอง
   
“สารเรืองแสงที่นำเข้าไปในเซลล์เนื้อสมองหากเป็นก้อน มะเร็งชนิดที่มีความรุนแรงจะเห็นเป็นภาพสีแดง ก้อนเนื้อสมองปกติจะเป็นสีน้ำเงินซึ่งจะสามารถนำก้อนมะเร็งออกมาได้มากสุดเท่าที่จะมากได้ โดยไม่กระทบกระเทือนต่อเนื้อสมองที่ปกติบริเวณ ข้างเคียง อย่างผู้ป่วยรายหนึ่งมาด้วยอาการชักพูดไม่เข้าใจภาษา เนื้อที่ก่อให้เกิดโรคเมื่อใช้สารเรืองแสงนำทางก็สามารถผ่าตัดออกมาได้ทั้งก้อนซึ่งก็ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้นกว่าเดิม
   
จากที่มีการผ่าตัดให้กับผู้ป่วย สารเรืองแสงที่นำมาใช้นั้นก่อให้เกิดประโยชน์โดยเป้าหมายนั้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไข้ให้ดีขึ้น ลดภาวะการเสียชีวิตเฉียบพลันอันเนื่องจากก้อนมะเร็งกดทับ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และการวินิจฉัยของประสาทศัลยแพทย์”
   
โดยทั่วไปเวลาที่ผ่าตัดมะเร็งชนิดนี้นั้นค่อนข้างลำบาก เนื้อร้ายที่มองเห็นค่อนข้างเหมือนเนื้อสมองปกติ สารเรืองแสงที่ใช้เป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดงไม่มีความเป็นอันตราย เมื่อเข้าไปยังก้อนมะเร็งจะจับสารตัวนี้ได้มากกว่า พอใช้กล้องชนิดพิเศษเข้าไปก็จะช่วยในการรักษา โดยไม่แตะเนื้อดี ความพิการความสูญเสียจะลดน้อยลงซึ่งเป็นสิ่งดี อีกทั้งยังช่วยทำให้นำเนื้อมะเร็งออกมาได้มากและเมื่อรักษาด้วยเคมีบำบัด รังสีรักษาก็จะช่วยให้ตอบสนองดีขึ้น
   
ดังที่กล่าวมา นอกจากการผ่าตัดมะเร็งสมองโดยใช้สารเรืองแสงนี้ ในผู้ป่วยเส้นเลือด โป่งพองสารเรืองแสงยังสามารถนำมาใช้ตรวจสภาพเส้นเลือด ขณะทำการ ผ่าตัดหนีบเส้นเลือดแดงโป่งพองในสมอง แพทย์ท่านเดิมให้ความรู้เพิ่มเติมว่า เส้นเลือดโป่งพองในสมองมักพบใน ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันสูง ความดันโลหิตสูง ในผลการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวให้ผลที่ดี ผู้ป่วยได้กลับมาดำเนินชีวิตตามปกติช่วยให้ผู้ป่วยได้มีหนทางการรักษา แต่ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับอาการร่วมด้วย
   
ดังนั้นหากพบความผิดปกติเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น อาการปวดศีรษะรุนแรงเพิ่มขึ้น ตาพร่ามัว แขนขาอ่อนแรง หรือหากมีไขมัน ความดันโลหิตสูง ควรรีบพบแพทย์ก่อนสายเกินแก้ไข
   
ปัจจุบัน แม้วิวัฒนาการทางการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าไปไกล แต่ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ควรเอาใจใส่ดูแลรักษาสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ อีกทั้งรับประทานอาหารที่เหมาะสมและหลากหลาย ทั้งหมดนี้ไม่เพียงช่วยให้หลีกไกลจากโรคร้ายที่กล่าวมา แต่ยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพที่ดี หลีกพ้นจากความเจ็บป่วยทั้งปวงอีกด้วย.
 

พุทธเถรวาท จาก"เสมาหิน"

วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6772 ข่าวสดรายวัน


พุทธเถรวาท จาก"เสมาหิน"





อีกครั้งที่มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ มูลนิธิที่มุ่งเน้นศึกษาวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม จัดเสวนาน่าสนใจ และเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคน

ครั้งนี้เรื่อง "พุทธเถรวาทจากเสมาหิน" โดยมีอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีชื่อดัง เป็นวิทยากรเล่าถึงความเป็นมาของโบราณวัตถุ "เสมาหิน" เชื่อมโยงและสัมพันธ์กับ "พุทธศาสนา" สายเถรวาท อย่างไร

อาจารย์ศรีศักรเริ่มว่า จริงแล้วเรื่องพุทธศาสนาของคนไทย ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ศัพท์คำว่า "หินยาน" หรือ "มหายาน" หรือ "เถรวาท" ในความจริงแล้วมีความหมายต่างกัน จากหลักฐานสำคัญอันหนึ่งที่พบ คือ "เสมาหิน" เป็นหลักฐานทางโบราณคดีในพุทธศาสนาที่เข้ามาประเทศไทย

ก่อนจะขยายความในลำดับต่อมาว่า คำที่เรียกว่า "เถรวาท" ที่คนไทยนับถือเป็นแบบลังกาวงศ์ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาได้อิทธิพลมาจากประเทศศรีลังกา เคยเปรียบเทียบพุทธศิลป์ที่ได้จากหลักฐานที่พบในเสมาหิน ในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรคล้ายบาลี สันสกฤต

และเรื่องของพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ชาดก พระพิมพ์ที่มีรูปฤๅษี ชี ไพร ที่วัดถ้ำเสือ จ.ราชบุรี หรือพระนั่งเก้าอี้ มีความสัมพันธ์กับชาติไทยมาก่อนสมัยรัชกาลที่ 4 แล้ว อีกทั้งยังโยงไปถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อจะยืนยันว่ารัฐไทยไม่ไช่รัฐล้าหลัง มีศาสนาประจำชาติ ที่เป็นศาสนาเก่าแก่ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากที่ต่างๆ แล้วนำมาผสมผสานให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นๆ



ดังตัวอักษร เช่น บาลีและสันสกฤต เป็นตัวอักษรที่สามารถบ่งบอกการเป็นสังคมลายลักษณ์ ชาติที่มีอารยธรรม จะเห็นได้จากลายลักษณ์ ซึ่งโยงไปถึงรัชกาลที่ 4 ก็ระบุถึงเรื่องการนับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทในสยามประเทศว่า มีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18-19 และระบุถึงความเจริญของสยามประเทศ ที่รื้อฟื้นไปถึงเมืองนครปฐม ที่มีพระปฐมเจดีย์ขนาดใหญ่

อาจารย์ศรีศักร อธิบายว่า พุทธศาสนาที่บอกว่าเป็นเถรวาท เข้ามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 นั้น จริงๆ แล้วเข้ามา 2 ครั้ง คือ สมัยสุโขทัย ได้รับพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ และเผยแพร่ไปทั่ว นครศรีธรรมราช สุโขทัย อยุธยา ลพบุรี

ยุคที่ 2 เข้ามาโดยพระมหาธรรมราชา ยุคนี้ไม่ได้โดยตรงจากลังกา แต่ได้โดยตรงจากมอญ เข้าไปเชียงใหม่ และกลายมาเป็นพุทธศาสนาที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับเขมรและลาวด้วย

"หากพูดถึงพุทธศาสนาแบบเถรวาทในความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่มาจากลังกาแท้ๆ โดยเราพบหลักฐานพุทธศาสนาในดินแดนประเทศไทยเก่าแก่กว่าที่อื่นอีก แต่เป็นที่ไหนยังไม่มีการศึกษา หรือตีความไว้ชัดเจน เวลาศึกษาชอบลากอินเดียเข้ามาเสมอ ผมมองว่าตรงจุดนั้นคือตัวปัญหา เพราะไม่มีสังคมใดที่รับวัฒนธรรมจากที่อื่นมาโดยไม่มีการประยุกต์ หรือปรับให้เข้ากับสังคมท้องที่นั้นๆ"



อาจารย์ศรีศักรกล่าว ก่อนจะย้ำว่า จากหลักฐานที่พบ เถรวาทเข้ามาในประเทศไทยจริง แต่ไม่ได้เข้ามาทั้งหมดจากอินเดีย

ส่วนใหญ่นักวิชาการมักจะชอบพูดกันว่ามาจากอินเดีย โดยไม่มีการปรุงแต่งให้กับท้องถิ่นนั้นๆ เลย แต่จากหลักฐานแล้วพบว่าผสมกับของเก่าที่มีอยู่ จึงเกิดการผสมผสานกับท้องถิ่น ดังเช่น นับถือ "ผี" บ้าง หรือนับถือ "พุทธ" บ้าง

อาจารย์ศรีศักรขยายความตรงนี้ว่า พอถึงเวลามีเหตุการณ์อะไรสำคัญๆ พระมหากษัตริย์ก็จะทำสังคายนา ปรับ ใหม่ให้ถูกต้อง เราก็สังคายนามาหลายครั้งแล้ว และครั้งสุดท้ายจากหลักฐานที่พบ คือรัชกาลที่ 1 ที่สังคายนาพระไตรปิฎก และพูดถึงเรื่องกฎหมายของพระสงฆ์ด้วย

ส่วนเสมาหินนั้นสัมพันธ์กันอย่างไร อาจารย์ศรีศักรชี้ว่า จากหลักฐานโบราณคดีที่พบเสมาหินจำนวนมาก มีมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 11-12 ความเก่าแก่ของเสมาหิน ที่พบคือในภาคอีสาน เพราะมีระบบหินตั้งให้เห็นอยู่ การศึกษาประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนาทางภาคอีสานนี้ ย้อนให้เห็นความเจริญของบ้านเมืองสมัยเมื่อ 500 ปี ก่อนพุทธกาล ที่ดินแดนของประเทศไทยมีความเจริญแล้ว

จากหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีคลี่คลายว่า 500 ปีก่อนพุทธกาล ดินแดนเขตนี้มีรัฐเล็กๆ ที่มาจากการรวมตัวของหลายเผ่าพันธุ์ มีความเจริญทางเทคโนโลยีสูง เช่น การถลุงโลหะ หรือการขุดพบเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย มีคนนอกเดินทางเข้ามาค้าขายทั้งทางทะเลและทางบก

คนที่เข้ามามีหลากหลาย ทั้งพระ พราหมณ์ เข้ามาสัมพันธ์กับหัวหน้ารัฐ คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นนักปราชญ์ ราชครูจากอินเดียมาเป็นที่ปรึกษา การจะให้เป็นที่ยอมรับได้ ก็ต้องมีภาษากลางสื่อสาร ซึ่งในทางพุทธศาสนาก็มีภาษาบาลี และสันสกฤต และใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้

ก่อนจะอธิบายต่อว่า ดังโบราณวัตถุหลายแห่งในอีสาน เช่น เนินดิน หลุมศพ รวมทั้งสิ่งของที่อยู่บนตัวศพ กระดูก และมีหินตั้ง ปักไม่เป็นระเบียบ จะเห็นว่ามีการแบ่งเขตศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วย โดยเฉพาะภาคอีสาน

เสมาหินสลักเป็นรูปสัญลักษณ์พระสถูปเจดีย์ เป็นพุทธประวัติ หรือเป็นชาดก เป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาทั้งสิ้น และมีการปักอย่างเป็นระเบียบ 8 ทิศ

"หากดูโบสถ์ในเมืองไทยขณะนี้ การจะเป็นโบสถ์ต้องมีพุทธเสมาปัก 8 ทิศเช่นกัน มีนักวิชาการถกเถียงกันมานานว่ามาจากอินเดียบ้าง หรือลังกาบ้าง แต่จากที่ผมไปทั้ง 2 ที่ไม่พบ เผอิญผมไปสำรวจโบราณคดีในภาคอีสานมีลักษณะคล้ายๆ จึงเห็นว่าเสมาหินพัฒนาขึ้นในดินแดนประเทศไทยโดยตรง ในภาคอีสาน จึงเกิดภาพสลักเสมาหินขึ้น"

ก่อนที่อาจารย์ศรีศักรจะสรุปว่า พุทธศาสนาที่เรานำมานั้น ถูกปรับและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย และผสมผสานกับท้องถิ่นเข้าด้วยกัน

หน้า 6