วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บุญ


 

From: watchareewan_toy@hotmail.com
 
Subject:  บุญ
Date: Sat, 30 May 2009 17:38:47 +0700


 

>
>
>
>
>
> ----------------------------------------------------
> This e-mail is intended solely for the recipient(s) named above and any other use is prohibited.
> Any views or opinions presented in this e-mail are those of the author and are not necessarily endorsed by
> the Bank of Thailand (BOT). The BOT does not accept any responsibility for the contents of this message
> or the consequences of any actions taken on the basis of the information provided. The BOT accepts no liability
> for any damage caused by any virus transmitted by this e-mail.


What can you do with the new Windows Live? Find out

Hotmail® goes with you. Get it on your BlackBerry or iPhone.

ฝากแสดงความเห็นเพื่อปรับปรุงด้วยครับ


 

Date: Sun, 31 May 2009 09:26:36 +0700
Subject: ฝากแสดงความเห็นเพื่อปรับปรุงด้วยครับ
From: thaiappraisal@gmail.com
 

ผมเขียนบทความนี้ขึ้น จึงขอความกรุณาช่วยแสดงความเห็นเพื่อการปรับปรุงด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
แสดงความเห็นตาม link นี้ก็ได้ครับ: http://talk.mthai.com/topic/60636
 
 
 
=======================
 
 
 
อย่าหมิ่นพระพุทธเจ้า
.
โสภณ พรโชคชัย {1}
.
'สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน
กินกัดเนื้อเหล็กจน กร่อนขร้ำ
บาปเกิดแต่ตนคน เป็นบาป
บาปย่อมทำโทษซ้ำ ใส่ผู้บาปเอง' {2}
.
            ไม่แปลกที่พบคนนอกศาสนาหมิ่นพระพุทธเจ้าอยู่เนือง ๆ เพราะความไม่ศรัทธาซึ่งชาวพุทธคงต้องอธิบายเพื่อให้โลกได้เห็นความจริง  แต่ผู้หมิ่นพระพุทธเจ้า บิดเบือนคำสอนและบ่อนทำลายพุทธศาสนาอย่างร้ายกาจอาจเป็นชาวพุทธโดยเฉพาะผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอด เข้าทำนอง 'สนิมเกิดแต่เนื้อ ในตน' เสียเอง
.
            พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี เคยบรรยายธรรมเรื่อง 'หมิ่นพระพุทธเจ้าบาปเพียงใด' {3}  และผมก็ได้อ่านหนังสือประวัติพระพุทธเจ้าของท่านภิกษุ ติช นัท ฮันห์ ซึ่งแปลโดยคู่สามีภรรยาคุณรสนา โตสิตระกูลและคุณสันติสุข โสภณสิริ {4}  ได้พบว่า ทุกวันนี้ชาวพุทธหรือไม่หนอที่เป็นผู้หมิ่นพระพุทธเจ้าเอง  บทความนี้จึงมุ่งให้ชาวพุทธได้ฉุกคิดและร่วมทำนุพุทธศาสนาให้ถูกทาง
.

บิดเบือนให้กลายเป็นอื่น
.
            พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเพราะได้ศึกษาจนรอบรู้ทั้งศาสตร์และศิลปะอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง  ก่อนตรัสรู้ก็ศึกษาคัมภีร์ศาสนาอื่นจนหมดสิ้น น้อมใจเป็นศิษย์ในหลายสำนักโดยพำนักแห่งละ 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง จนพลังภาวนาและพลังสมาธิแก่กล้ายิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบหนทางที่แท้จริงได้ในช่วงแรก นี่แสดงชัดว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่บรรลุธรรมด้วยการศึกษาอย่างจริงจังต่อเนื่องจนรู้แจ้ง  ไม่ใช่เพียงแต่นั่งสมาธิและที่สำคัญไม่ได้อวตารมาจากไหน
.
            แต่ทุกวันนี้เรากลับพยายามทำให้พระพุทธเจ้ากลายเป็นอื่น เป็นส่วนหนึ่งของเทพ พรหม สวรรค์ ฯลฯ  พุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์กลับแยกกันแทบไม่ออก  ใครเป็นคนทำ ใครเป็นคนเสริมต่อ และใครได้ประโยชน์จากการนี้  ท่านภิกษุ ติช นัท ฮันห์ กล่าวสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเตือนสติชาวพุทธว่า 'บุคคลไม่สามารถข้ามพ้นจากอวิชชาโดยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชา'  ชาวพุทธจึงควรศึกษาธรรมะให้รู้เพื่อความหลุดพ้น ไม่ใช่ไปยึดติดกับเปลือกหรือกระพี้
.
            การพยายามแปลงให้พระพุทธเจ้าเป็นภาคอวตารมาจากสิ่งอื่น อาจเพื่อให้สอดคล้องกับผู้ปกครองในยุคสมัยแต่โบราณที่เป็นวรรณะกษัตริย์ ซึ่งมักต้องทำให้ตนดูศักดิ์สิทธิ์โดยการสื่อสารว่ากษัตริย์เป็นผู้อวตารมาจากสวรรค์  ดังนั้นในเมื่อพุทธศาสนาเป็นที่เคารพของประชาชน จึงต้องทำให้พระพุทธเจ้ามีลักษณะพิเศษไปด้วย
.

การขัดคำสอนพระพุทธเจ้า
.
            เร็ว ๆ นี้มีเจ้าอาวาสแห่งหนึ่งสั่งห้ามชาวบ้านกราบพระพุทธรูป {5}  กรณีนี้อาจดูแปลก  แต่หลายท่านคงเคยได้ยินพุทธพจน์ที่ว่า "ดูก่อนอานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงไว้ และบัญญัติไว้ด้วยดี นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนเราตถาคต เมื่อเราล่วงไปแล้ว" {6}  พระพุทธเจ้าให้ชาวพุทธยึดถือ (และปฏิบัติตาม) พระธรรมเป็นสำคัญ  ดังนั้นจึงไม่มีประวัติการสร้างพระพุทธรูปเลยในอีกนับร้อย ๆ ปีต่อมา  ในยุคนั้น ใครสร้างพระพุทธรูปอาจถือเป็นการล้อเลียนและไม่เคารพพุทธพจน์ {7}  จะเห็นได้ว่าในการเผยแพร่พุทธศาสนาในยุคต้น จึงมีการสร้างพระไตรปิฎกเป็นตัวแทนของพุทธศาสนาออกไปเผยแพร่
.
            แต่ในระยะหลังมา ชาวพุทธกลับมีพระพุทธรูปไว้กราบไหว้จำนวนมาก และได้รับการอ้างอิงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทั้ง ๆ ที่เราก็เคยได้ยินคำว่า 'พระอิฐ พระปูน' มานานแล้ว  นอกจากนี้เรายังก้าวเลยไปถึงการสร้างพระเครื่อง และรูปเหมือนของพระสงฆ์ต่าง ๆ  ทั้งที่ในสมัยพุทธกาลหรือแม้แต่พระภิกษุชั้นผู้ใหญ่หลังพุทธกาลก็ไม่มีใครสร้างเช่นนี้  ชาวพุทธควรทบทวนว่าการขัดพุทธพจน์นี้ทำให้เรายึดถือพุทธแต่เพียงเปลือกหรือไม่  ทำให้เราไม่ได้เน้นการเรียนธรรมะ เน้นการนิยมวัตถุ และเท่ากับทำให้พุทธศาสนาเสื่อมลงเพราะพวกเรากันเองหรือไม่
.
            บางท่านอาจแย้งว่า คนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจต้องมีพระพุทธรูปหรือพระเครื่องเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เพื่อนำพาไปสู่ธรรมะในที่สุด  แต่ข้อนี้ก็คงต้องมาประเมินกันให้ชัดว่า การนี้นำไปสู่ธรรมะหรือนำไปสู่พุทธพาณิชย์เป็นสำคัญ  และยิ่งทำให้ชาวพุทธยึดติดในการนิยมวัตถุหรือไม่
.
.
พระพุทธรูปมีผม!
.
            แปลกแต่จริง พระพุทธรูปส่วนมากมักมีมวยผมหรือเกล้าผม หรือมีบางสิ่งวางอยู่บนพระเศียร ไม่ใช่แค่มีผมธรรมดา ซึ่งไม่แปลกเพราะในสมัยพุทธกาลอาจไม่มีใบมีดโกนอย่างดี  แต่ในความเป็นจริงพระพุทธเจ้าโกนผมออกบวชและดำรงอยู่เช่นนี้จนปรินิพพาน  ในสมัยพุทธกาล องคุลีมาลก็ยังเคยตะโกนว่า "สมณะโล้น (พระพุทธเจ้า) หยุดก่อน ๆ" {8}
.
            กรณีนี้หลายท่านอาจไม่คิดมาก หรือคิดเพียงว่าเป็นการให้เกียรติ หรือให้พระพุทธเจ้ามีภาพลักษณ์ที่ดูงามดี  เราจึงมักเห็นพระพุทธรูปที่มีมวยผมหรือมีสิ่งอื่นบนพระเศียรตั้งอยู่ระหว่างรูปปั้นของพระอัครสาวกคือพระโมคคัลลานะและพระสาลีบุตรซึ่งมักโกนผม  แต่หากคิดให้จริงจัง การสร้างพระพุทธรูปเช่นนี้ถือเป็นการบิดเบือนอย่างร้ายแรงหรือไม่  พระพุทธเจ้าเป็นผู้บรรลุธรรมสูงส่ง ย่อมไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไร  แต่ถ้าเป็นบรรพชนของเราถูกบิดเบือน-หมิ่นเช่นนี้ ท่านก็คงเสียใจอยู่ไม่น้อย
.
            อย่างไรก็ตามบางท่านอาจมองในแง่ศิลปะของการสร้างพระพุทธรูปที่สืบทอดมานับพันปี  แต่ศิลปะที่สร้างให้ศาสดามีลักษณะผิดไปจากความจริง เป็นสิ่งที่ควรทบทวนหรือไม่  บางท่านอาจอ้างว่าพระพุทธเจ้าจะถูกปั้นแต่งอย่างไร ก็ไม่เป็นไร ขอถือพระธรรมเป็นใหญ่  ข้างต้นนี้เป็นเพียงคำแก้เกี้ยวที่แสดงว่าเราถูกเบื่อเมาจนมองเห็นการบิดเบือนเป็นเรื่องชินชาไปหรือไม่
.

Discredit พระพุทธเจ้า
.
            ในแวดวงพุทธศาสนา อาจมีขบวนการหรือความพยายามในการทำให้พระพุทธเจ้าดูด้อยลง (Discredit) อยู่หรือไม่  เรามักได้ยินคำกล่าวขานกันว่าในโลกนี้มีพระพุทธเจ้ามากมายหลายองค์  หมดยุคนี้ก็ไปยุคนั้น  เราไม่คิดกันบ้างหรือว่า การโฆษณาเช่นนี้เป็นการ Discredit พระพุทธเจ้า  เพราะดูคล้ายกับว่าเดี๋ยวก็พ้นยุคพระพุทธเจ้านี้แล้วและไปสู่ยุคพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป
.
            บ้างก็รอคอยพระศรีอริยเมตตรัย ซึ่งมีทั้งภาพวาด รูปปั้นและตำนานต่าง ๆ ที่กล่าวว่าจะมาเป็นศาสดาแทน (Replace) พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน  และในยุคหน้านี่แหละที่จะเกิดความสมบูรณ์พูนสุข (โดยนัยก็คือดีกว่าในยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้)  ข้อนี้ผิดแผกไปจากความเชื่อของศาสนาอื่นที่เชื่อว่า 'พระเจ้า' มีหนึ่งเดียวเท่านั้น  ผมก็ไม่เข้าใจว่าผู้เกี่ยวข้องในพุทธศาสนาปล่อยให้มีการโฆษณาถึงพระพุทธเจ้าองค์อื่นกันมากมายได้อย่างไร  เพราะนี่คือการ Discredit พระพุทธเจ้าโดยคนในพุทธศาสนาเองหรือไม่
.
.
กันพระพุทธเจ้าไปจากผู้คน
.
            ตามหนังสือของพระภิกษุ ติช นัท ฮันห์ พระพุทธเจ้ามุ่งสร้างความเท่าเทียมในหมู่ชน โดยแสดงออกด้วยการดื่มน้ำแก้วเดียวกับเด็กชายวรรณะจัณฑาลทั้งยังให้เด็กคนนั้นดื่มก่อน และยังรับคนจัณฑาลเข้ามาอยู่ในคณะสงฆ์  พระพุทธเจ้ายังเป็นผู้ไม่ถือตน โดยสมัยที่ลาจากวรรณะกษัตริย์มาบำเพ็ญเพียร เด็กชายวรรณะจัณฑาลให้หญ้ามาใช้ปูนั่ง ก็ยกมือไหว้ขอบคุณ  สมัยเป็นพระพุทธเจ้าก็พนมมือ น้อมกายเป็นการตอบรับ  พระพุทธเจ้าเคยช่วยเด็กวรรณะจัณฑาลตัดหญ้าด้วย หรือร่วมกับพระอานนท์ช่วยกันอุ้มภิกษุที่อาพาธขึ้นเตียงและเปลี่ยนจีวรให้ แล้วยังขัดถูพื้นกุฏิและซักจีวรที่เกรอะกรังดินของภิกษุดังกล่าว เป็นต้น
.
            เป็นไปได้ไหมที่มีกระบวนการทำให้พระพุทธเจ้าแปลกแยก (Alienated) ไปจากผู้คน  เรามักใช้คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า  ทั้งที่พระพุทธเจ้าไม่ประสงค์จะอยู่ในวรรณะกษัตริย์ แต่ประสงค์จะใช้คำพูดธรรมดา และแม้แต่ภาษาก็ยังให้ใช้ภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ประชาชนส่วนใหญ่ใช้กันในสมัยนั้น  ดังนั้นการใช้คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า แม้ในแง่หนึ่งถือเป็นการแสดงความเคารพสูงสุด  แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นการไม่นำพาต่อความตั้งใจของพระพุทธเจ้าในการสละวรรณะนี้ การใช้คำราชาศัพท์ก็เท่ากับการผูกพันพระพุทธเจ้าไว้กับวรรณะเฉพาะ
.
.
            โดยสรุปแล้ว อาจกล่าวได้ว่า การโอนอ่อนไปตามทางโลกโดยถึงขนาดขัดกับหลักการของศาสนาอย่างชัดเจนนั้น อาจเป็นเพราะการคล้อยตามอำนาจรัฐที่ปกครองมาแต่ในอดีต  ในอีกแง่หนึ่งการโอนอ่อนอาจมองเป็นกุศโลบายหวังชักจูงให้คนเข้าหาศาสนาในทางอ้อม แต่การนี้อาจเป็นความสูญเปล่าเพราะไม่อาจชักจูงให้คนเข้าหาแก่นแท้ของศาสนา กลับไปติดอยู่แต่เปลือกตลอดไป  และอาจเป็นการทำร้ายพุทธศาสนา  ทำให้พุทธศาสนาผิดเพี้ยน เข้ารกเข้าพงมากยิ่งขึ้น

            ข้างต้นนี้จึงเป็นข้อปุจฉาและวิสัชนาเพื่อให้ชาวพุทธได้ตระหนักถึงสถานะของศาสนาที่ถูกบิดเบือน  และชาวพุทธควรยึดถือในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าให้ยึดถือไว้เหนือเหนือยศ-ศักดิ์ เหนือชาตินี้-ชาติหน้า เหนือการนิยมวัตถุ เหนือพุทธพาณิชย์ หรือเหนือสิ่งอื่นใด เพื่อให้หลุดพ้นไปจากความทุกข์และประสบแต่ความสุขมีมงคลต่อชีวิตและสังคม ตามบทประพันธ์ของท่านพุทธทาสที่ว่า
.
            "กรรมดี ดีกว่ามงคล สืบสร้าง กุศล ดีกว่า นั่งเคล้า ของขลัง
พระเครื่อง ตะกรุด อุทกัง ปลุกเสก แสนฉมัง  คาดมั่ง แขวนมั่ง รังรุง
            ขี้ขลาด หวาดกลัว หัวยุ่ง กิเลส เต็มพุง มงคล อะไร ได้คุ้ม
อันธพาล ซื้อหา มาคุม เป็นเรื่อง อุทลุม นอนตาย ก่ายเครื่อง รางกอง
            ธรรมะ ต่างหาก เป็นของ เป็นเครื่อง คุ้มครอง เพราะว่า เป็นพระ องค์จริง
มีธรรม ฤามี ใครยิง ไร้ธรรม ผีสิง ไม่ยิง ก็ตาย เกินตาย
            เหตุนั้น เราท่าน หญิงชาย เร่งขวน เร่งขวาย  หาธรรม มาเป็น มงคล
กระทั่ง บรรลุ มรรคผล หมดตัว หมดตน พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย
            บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใจกาย อุปัทวะ ทั้งหลาย ไม่พ้อง ไม่พาน สถานใด
เหนือโลก เหนือกรรม อำไพ กิเลสา- สวะไหน ไม่อาจ ย่ำยี บีฑา ฯ {9}
.
.
อ้างอิง
{1} ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ดูรายละเอียดได้ที่: http://www.thaiappraisal.org/Thai/contact/Default_Dr.Sopon.htm Email: sopon@thaiappraisal.org
{2} โคลงโลกนิติ โปรดดูที่ http://www.st.ac.th/bhatips/loganit.html
{3} โปรดดูจากเว็บบอร์ดอกาลิโก http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=15775
{4} โปรดอุดหนุนและอ่านหนังสือของมูลนิธิโกมลคีมทอง 3 เล่ม ชุดนี้ได้ที่ http://www.komol.com/autopage/show_page.php?t=1&s_id=18&d_id=18
{5} โปรดอ่านข่าวและความเห็นได้ที่ http://www.phrathai.net/node/1365 และ http://webboard.mthai.com/52/2008-07-26/402940.html
{6} พระพุทธเจ้าให้ยึดพระธรรม โปรดดูในพระไตรปิฎก http://www.84000.org/tipitaka/picture/f76.html
{7} เกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูป เช่น http://www.bhodhiyalaya.com/forum/viewthread.php?tid=317
{8} ดูเรื่องเกี่ยวกับองคุลีมาลได้ที่ http://www.larnbuddhism.com/ongkulymal/ongkuly05.html
{9} โปรดดูรายละเอียดได้ที่ http://watnuamkhanon.igetweb.com/index.php?mo=3&art=242669


Hotmail® goes with you. Get it on your BlackBerry or iPhone.

ความถ่อมตน

วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11404 มติชนรายวัน


ความถ่อมตน


คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก




พฤกษาสู่กิ่งยามมีผลดก

ยามฝนจะตกเมฆคล้อยลงต่ำ

สัตบุรุษผู้ทรงธรรมไม่หยิ่งเพราะศฤงคาร

ยิ่งมีมากยิ่งให้ทานช่วยเหลือคนอื่น

ข้อเปรียบเทียบนี้ได้ภาพพจน์ดี คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนนั้นทำตัวไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ผลดกโน้มกิ่งลง ไม่เย่อหยิ่ง จองหอง "น่าเตะ" เหมือนคนกระด้างถือตัว พูดถึงคนประเภทหลังนี้ทำให้นึกเห็นภาพแมลงป่องที่ "ชูแต่หางเองอ้าอวดอ้างฤทธิ์" ทั้งที่ไม่มี "ฤทธิ์" อะไรจะอวด

โลกมันไม่พอดีครับ คนที่ไม่มีอะไรก็มักอยากอวดว่าตัวมีอะไรมากมาย ส่วนคนที่เขามีพร้อมทุกอย่างมักจะไม่อวด ดูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง

พระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมสูงสุดด้วยตนเอง เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครสอน กระนั้นพระองค์ก็ยังทรง "ถ่อมพระองค์" ยกธรรมให้เป็นใหญ่ ทรงเคารพพระธรรม เวลาสาวกสวดธรรมหรือแสดงธรรม พระพุทธองค์ทรงฟังด้วยความเคารพ

พระองค์ทรงสอนว่า ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอุดมมงคล หรือเป็นสิ่งที่นำพาชีวิตไปสู่ความเจริญงอกงามอย่างหนึ่ง

ความถ่อมตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความกระด้าง (ภาษาบาลีว่า ทัปปะ) ความกระด้างหรือความเย่อหยิ่งจองหองของปุถุชนมักมาจากเรื่องชาติ โคตร ทรัพย์ เป็นสำคัญ ถ้าเกิดในตระกูลสูง โคตรเหง้าเหล่ากอมีชื่อเสียง แถมมีเงินเป็นถุงเป็นถัง โอกาสที่จะเย่อหยิ่งผยองก็มีมากขึ้น

ถ้าเป็นลูกตาสีตาสาไร้การศึกษา แถมยากจนอีกต่างหาก (ตาสีตาสาที่ร่ำรวยไม่ค่อยมีอยู่แล้ว) ไม่ต้องร้อง "คนจนมีสิทธิไหมครับๆ" ให้เมื่อยปาก ไม่มีสิทธิมาสะเออะหน้าโอ้อวดใครอยู่แล้ว ทางที่ดีให้อ่อนน้อมถ่อมตน ทำตนให้น่าสงสารเข้าไว้

ไม่เพียงชาติ โคตร ทรัพย์ เท่านั้น ความรู้หน้าที่การงานยศศักดิ์อัครฐาน เป็นต้น ก็เป็นสาเหตุให้คนกระด้างถือตัวได้ง่ายเช่นกัน เช่น มีตำแหน่งสูงส่งระดับรัฐมนตรี รัฐมนโท ก็มักจะลืมว่า คนอื่นที่ด้อยฐานะโอกาสกว่าตัวก็เป็นคนเหมือนกัน ถือตัวว่าเหนือกว่า ดีกว่า ถูกกว่าคนอื่น ใครไปตอแยเข้าอาจโดนเตะตกเรือนเอาง่ายๆ

ที่พูดนี้ก็ใช่ว่า คนที่มีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาดี มีหน้าที่การงานสูง ฯลฯ จะเป็นคนเย่อหยิ่งจองหองทุกคนก็หาไม่ คนที่มีข้อได้เปรียบทางสังคมเหล่านี้มากมายที่ยิ่งมีมากยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน น่าเคารพนับถือจริงๆ

คนที่ไม่มีอะไรเลย ใช่ว่าจะไม่เย่อหยิ่งจองหองก็หาไม่อีกเช่นกัน ประเภทหลังนี้ก็มี "ตัวดี" มิใช่ย่อย ทั้งที่ไม่มีอะไรมากนี่แหละ แกก็หาเรื่องอวดโม้จนได้ ลงคนจะคุยโม้โอ้อวดถือตัวแล้ว ไม่ต้องถึงเป็นรัฐมนตรีดอก แค่เลขาฯรัฐมนตรี หรือคนถือกระเป๋าตามหลังรัฐมนตรี แกก็วางฟอร์มใหญ่โตคับฟ้าได้

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า คนที่หยิ่งเพราะชาติ หยิ่งเพราะโคตร หยิ่งเพราะทรัพย์ ดูถูกคนอื่นแม้กระทั่งญาติของตนก็ไม่เว้น ย่อมประสบหายนะ ดุจเดียวกับพวกศากยะพระประยูรญาติของพระองค์

พวกศากยะพระประยูรญาติของพระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีทิฐิมานะสูง ถือตัวว่ามีสายเลือดบริสุทธิ์ ไม่ยอมให้สายเลือดระคนปนกับคนต่างเผ่าพันธุ์ จึงแต่งงานกันเองระหว่างพี่น้อง

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารหลังจากตรัสรู้ไม่นานและได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธนั้น พระพุทธบิดาทรงส่งคณะทูตไปกราบทูลอัญเชิญเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ตั้งหลายครั้ง พระองค์ก็มิได้เสด็จจนกระทั่งสุดท้ายส่งกาฬุทายีอำมาตย์ไป พระพุทธองค์จึงทรงรับอาราธนา

ผู้แต่งพุทธประวัติตอนนี้เล่าว่า คณะทูตที่ไปพอได้ฟังพระธรรมเทศนาก็เลื่อมใสกราบทูลขอบวช ลืมคำสั่งพระเจ้าสุทโธทนะหมดสิ้น นั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่ง

เหตุผลอีกอย่างหนึ่ง น่าจะเป็นเพราะทิฐิมานะของพวกศากยะเองก็ได้ พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า ถ้าพระองค์รีบเสด็จนิวัติกรุงกบิลพัสดุ์ทันทีที่ตรัสรู้ พวกศากยะคงไม่ยอมรับ อาจแสดงความดูหมิ่นต่างๆ นานา ล่วงล้ำก้ำเกินพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ รอให้โลกยอมรับนับถือพระองค์อย่างกว้างขวางแล้วค่อยเสด็จกลับเมืองมาตุภูมิ ทิฐิมานะของพวกศากยะอาจคลายลง เมื่อทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะนั้นเดี๋ยวนี้มิใช่ธรรมดาแล้ว เป็นถึงพระศาสดาเอกในโลก ขนาดพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล ยังถวายตนเป็นสาวก ซึ่งก็จริงดังนั้น เมื่อพระองค์เสด็จไปจริงๆ พระประยูรญาติทั้งหลายก็ยอมรับพระพุทธองค์ ยอมถวายบังคมและฟังธรรมเทศนา มีบ้างบางคนที่แสดงความกระด้างกระเดื่องในตอนแรก แต่ที่สุดก็คลายทิฐิมานะ

คราวหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงอยากเป็นพระญาติสนิทกับพระพุทธองค์ทางสายเลือด จึงทรงส่งคนไปขอขัตติยกัญญาจากเผ่าศากยะเพื่อภิเษกสมรส พวกศากยะไม่อยากให้สายเลือดอันบริสุทธิ์ของพวกเขาระคนกับคนต่างเผ่า จึงส่งธิดานางทาสีอันเกิดแต่เจ้ามหานามศากยะไปให้ ความลับถูกเปิดเผยในภายหลัง พระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังจะยกทัพมาบดขยี้พวกศากยะอยู่พอดี พระพุทธองค์เสด็จไปห้ามไว้ เกือบไปแล้วครั้งหนึ่ง

ครั้งที่สอง เจ้าชายวิฑูฑภะที่เกิดจากนางทาสีนั่นแหละ เมื่ออายุได้ประมาณ 7 ขวบได้กลับไปเยี่ยมพระเจ้าตาที่เมืองกบิลพัสดุ์ ได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากพวกญาติๆ ขนาดหนัก กระทั่งสั่งให้เอาน้ำนมมาล้างที่เจ้าชายน้อยประทับนั่ง ว่ากันว่าล้างเสนียดจัญไร ว่าอย่างนั้น ความข้อนี้รู้ถึงเจ้าชายน้อยเข้าทรงผูกพยาบาทว่า "ได้เป็นใหญ่มาเมื่อใด กูจะเอาเลือดในลำคอของพวกมันล้างตีนกูให้ได้ ตอนนี้ปล่อยให้มันเอาน้ำนมล้างที่นั่งกูไปก่อน"

ครับ บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ เมื่อเจ้าชายเติบใหญ่ขึ้นก็ได้ปฏิวัติยึดราชสมบัติจากเสด็จพ่อ ยกทัพไปหมายล้างแค้นให้สาแก่ใจ พระพุทธเจ้าเสด็จมาห้ามไว้ถึงสามครั้งสามครา ในที่สุด พระองค์พิจารณาเห็นว่ากรรมเก่าของพวกศากยะตามทันไม่สามารถห้ามได้ จึงปล่อยให้ไปตามกรรม พวกศากยะถูกกองทัพพระเจ้าวิฑูฑภะทำลายล้างจนหมดสิ้น (ที่เหลือรอดชีวิตจากสงครามคราวนั้นอาจมีบ้าง แต่ที่แน่ๆ หลังสงครามล้างโคตรครั้งนั้น ประวัติศาสตร์ไม่ได้พูดถึงพวกศากยะอีกเลย)

พระพุทธองค์ตรัสในภายหลังว่า พวกศากยะกระด้างเพราะชาติ โคตร และทรัพย์ ดูหมิ่นแม้กระทั่งญาติของตน จึงประสบหายนะดังที่เห็น นี่คือผลของกรรมใหม่ที่พวกศากยะกระทำในชาตินี้

ส่วนกรรมเก่านั้น พวกศากยะเคยเอายาพิษเบื่อปลาตายเกลี้ยงสระ ผลกรรมจึงตามทัน

บุญ-บาป มีจริงครับ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า เห็นๆ กันในชาตินี้มากมาย

หน้า 6

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01310552&sectionid=0121&day=2009-05-31

เหตุหวนคืนมะเร็งเต้านม

เหตุหวนคืนมะเร็งเต้านม

ข่าววันที่ 31 พฤษภาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

                 ฟลอริดา  -  ที่ประชุมโรคมะเร็งในรัฐฟลอริดา  สหรัฐฯ  แถลงผลการศึกษาวิจัย

 ครั้งใหม่  ระบุว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมและรักษาจนหาย สามารถมีความเสี่ยงที่จะกลับ

 มาป่วยด้วยโรคดังกล่าวอีกครั้ง หากรับประทานยาบรรเทาอาการซึมเศร้า ควบคุ่กับยาทาม

 อกซิเฟน ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับป้องกันโรคมะเร็ง ทั้งนี้ จากการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง
500,000  คน พบว่า การใช้ยาดังกล่าวร่วมกัน จะส่งผลให้ผู้ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มี

 โอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกครั้งสูงมากขึ้นกว่าปกติ

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=54&nid=39149

พม่าจวกยับนานาชาติ "แทรกแซงกิจการภายใน"กรณีไต่สวนซูจี

พม่าจวกยับนานาชาติ "แทรกแซงกิจการภายใน"กรณีไต่สวนซูจี

ข่าววันที่ 31 พฤษภาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

                 พม่า   -  คดีไต่สวนซูจียังหลอนรัฐบาลหม่องไม่หยุด  ล่าสุดบิ๊กกลาโหมออกมาฟาด

 งวงฟาดงาใส่นานาชาติ ระบุสอบผู้นำฝ่ายค้านถือเป็นเรื่องในพม่า พร้อมประกาศกร้าวต่าง

 ชาติห้ามจุ้น   

                สำนักข่าวต่างประเทศรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของ    พล.ต.อะเย   มยินต์  

 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของพม่าว่า  การไต่สวนดำเนินคดีต่อนางออง  ซาน  

 ซูจี  หัวหน้าพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่า  

 ถือเป็นเรื่องกิจการของพม่า และเป็นการดำเนินการภายใต้ระบบกฎหมายของพม่า

                   ทั้งนี้  การเปิดเผยของ พล.ต.อะเย มยินต์ ข้างต้น มีขึ้นเพื่อตอบโต้ต่อกรณีที่นานา

 ชาติ รวมทั้งกลุ่มชาติมหาอำนาจตะวันตก และกลุ่มสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียง

 ใต้หรืออาเซียน ออกมาคัดค้านการไต่สวนพิจารณาของรัฐบาลทหารพม่าต่อนางซูจี ในข้อหา

 ฝ่าฝืนกฎหมายของพม่า  ที่ห้ามผู้ที่คุมขังหรือกักบริเวณ  พบปะกับบุคคลภายนอก ซึ่งหากศาล

 พิจารณาว่า นางซูจีมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา ก็จะถูกจำคุกระหว่าง 3 - 5 ปี

                  พร้อมกันนี้    รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของพม่า   ยังตำหนิต่อบรรดา

 ประเทศที่ออกมาประณามและคัดค้านการไต่สวนพิจารณาคดีนางซูจีครั้งนี้ว่า   แทรกแซงกิจ

 การภายในของพม่า  และยังตำหนิต่อกรณีที่มีการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศต่างๆ  

 ด้วยว่า อาจจะส่งผลกระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงภายในภูมิภาค

                นอกจากนี้  พล.ต.อะเย  มยินต์  ยังกล่าวถึงนางซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่าด้วยว่า  

 ได้ปกปิดความจริงต่อกรณีที่นายจอห์น  เยียตตอว์ ชายชาวสหรัฐฯ ลักลอบว่ายน้ำเข้าไปหา

 เธอถึงในบ้านพักริมทะเลสาบของนครย่างกุ้ง  รวมทั้งการที่ชายชาวสหรัฐฯ  รายนี้ พำนัก

 อยู่ภายในบ้านของเธอหลายวัน ก่อนหน้าที่จะถูกเจ้าหน้าที่จับกุม

                ขณะที่   บรรดานานาชาติยังคงเดินหน้ากดดันให้รัฐบาลทหารพม่า  ปล่อยตัวนางซูจี  

 โดยล่าสุดทางการอังกฤษ ก็ได้ประชุมหารือเรื่องดังกล่าว   

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=54&nid=39144