"กลับสู่ต้นน้ำ" เดินทวนกระแส หาสุขแท้...จากสามศาสดา
วิทยากรจาก 3 ศาสนา ร่วมพูดคุยให้ความรู้แก่เยาวชน |
"นอกจากมุสลิมจะห้ามกินและโดนตัวหมู หมาก็ห้ามโดนเหมือนกัน จะผิดหลักศาสนา เพื่อนคนอื่นพอรู้ว่าศาสนาเรามีข้อห้ามเหล่านี้ เขาก็จะเอาตัวมาป้องกันเรา ทั้งๆ ที่เขาเองก็กลัวมันกัด รู้สึกประทับใจมาก จากตอนแรกที่ไม่กล้าจะพูดคุยอะไร ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น" กัส นักเรียนจากโรงเรียนท่าอิฐศึกษา โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม เล่าย้อนถึงความรู้สึกดีๆ หลังผ่านการใช้ชีวิตในค่ายร่วมกับเพื่อนๆ นักเรียนจากต่างโรงเรียน เมื่อไม่นานมานี้
โครงการออกค่าย "กลับสู่ต้นน้ำ" จัดขึ้นโดยเครือข่ายพุทธิกา ร่วมกับกองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเป็นโครงการที่ให้เยาวชนหลากศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม ได้มาร่วมทำกิจกรรมตลอดระยะเวลา 5 วัน นับตั้งแต่เดินทางด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯไปถึงที่หมายภาคเหนือ โดยเริ่มจากการเดินทางขึ้นเหนือเพื่อใช้ชีวิตกับคนในชุมชน เดินสู่ต้นน้ำในหมู่บ้านปกากะญอ ที่บ้านแม่นิงนอก ต.แม่ศึก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เพื่อเรียนรู้ปลูกฝังให้เยาวชนเข้าใจถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เสมือนการย้อนรอยของศาสดาของแต่ละศาสนา กลับสู่แก่นแท้ของศาสนาตัวเองจากชีวิตจริง
จับมือกันไว้ ไปด้วยกัน |
เยาวชนนักเรียนผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะถูกอาจารย์แต่ละโรงเรียนคัดสรรจากการเป็นผู้ที่เคารพและเคร่งครัดในศาสนาของตัวเองเป็นทุนเดิมก่อนแล้ว เพราะจะได้ต่อยอดและเข้าใจในวัตถุประสงค์ของโครงการ รวมถึงกลับมาเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน
พระมหาปรกฤษณ์ กนฺตสีโล หรือหลวงพี่กบ แห่งวัดดุสิตาราม หนึ่งในคณะกรรมการและวิทยากรผู้ร่วมโครงการ เล่าว่า กระบวนการทั้งหมดของค่ายกลับสู่ต้นน้ำเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติ ซึมซับเอาความรู้สึก ก่อนนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาไตร่ตรองวิเคราะห์บนฐานของจิตวิญญาณ (ศาสนา) ที่ศาสดาในศาสนาของศาสนิกต่างๆ เป็นผู้ชี้แนวทางให้ปฏิบัติ
"กิจกรรมต่างๆ ล้วนนำไปสู่ความเข้าใจในหลักธรรม เข้าถึงแก่นของศาสนา เช่น กิจกรรมเดินย้อนไปสู่ต้นน้ำที่มาจากลักษณะสำคัญของพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ ด้วยการพัฒนาตนเอง เพื่อนำไปสู่การพ้นจากความทุกข์ ผู้จัดจึงออกแบบกิจกรรมกระบวนการเรียนรู้ที่นำไปสู่ความเข้าใจ และเล็งเห็นความสำคัญของหลักธรรม วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ในระหว่างการเดินทวนกระแสน้ำเพื่อไปสู่ต้นน้ำ หรือการจัดให้เยาวชนศาสนาละ 1 คน ได้พักในบ้านของปกากะญอหลังเดียวกัน และไปทำงานร่วมกันกับเจ้าของบ้าน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความทุกข์ ความเจ็บปวดเหมือนกัน การอยู่ร่วมกันต้องอาศัยความรัก ความเมตตา การรู้จักลดตัวตนของตนเองเป็นต้น
น้องกัส (ซ้าย) และเพื่อน |
"การเดินทวนน้ำเปรียบได้อีกอย่างกับการเดินทวนกระแสนิยม ผู้ที่เกิดจำเป็นต้องมีสติ มีสมาธิอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นอาจถูกกระแสน้ำหรือกระแสนิยมเหล่านั้นพัดพาไปได้" หลวงพี่กบอธิบาย
และหากมองในมุมของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังการผ่านกิจกรรมต่างๆ ของ "กัส" บอกว่า "ที่เกิดขึ้นทันทีคือการเปลี่ยนทัศนคติ จากที่มองว่าคนต่างศาสนามีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสนิทสนมได้ ก็ค่อยๆ หมดไป เราเคยมองว่าคนศาสนาอื่นมักชอบมองว่าพวกอิสลามเป็นคนรุนแรง เพราะสิ่งที่พวกเขารับรู้มาเป็นแบบนั้น พอได้พูดคุยกันก็รู้ว่าที่ผ่านมาเราคิดผิด ทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้และคิดไปต่างๆ นานา"
เด็กสาวมุสลิมยังเล่าย้อนถึงความประทับใจว่า "อย่างที่หมู่บ้านที่ไปอยู่เขาจะเลี้ยงหมู เลี้ยงหมา โดยไม่ได้กั้นคอกไว้ เลยพากันเดินไปมา เราก็กลัว เพื่อนก็กลัว แต่เขาก็ยังเอาตัวมาบังๆ ให้เรา เขาบอกว่าถ้าเขาโดนก็แค่เจ็บตัว แต่เรานี่โดนแล้วจะผิดหลักศาสนาเลย ตรงนี้รู้สึกประทับใจมาก"
ขณะที่ "เมย์" ทนิตา เปลี่ยนพันธ์ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ บอกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่า ที่เห็นได้ชัดที่สุดเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านการใช้จ่าย จากเดิมที่ใช้เงินมาก ต้องขอค่าขนมจากผู้ปกครองเพิ่มเติมระหว่างอาทิตย์บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่ง่ายๆ ของชาวบ้าน ทั้งการกิน การนอน จึงรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง เกิดการยับยั้งใจที่จะใช้จ่ายเงิน
ส่วนเรื่องมุมมองทางศาสนานั้น "เมย์" มองว่า "การได้ทำกิจกรรมร่วมกันในครั้งนี้ ทำให้รู้สึกยอมรับในความต่างและเปิดใจรับรู้เรื่องราวของคนอื่นๆ มากขึ้น"
สอดรับกับแง่มุมมองถึงความสำเร็จของโครงการ ซึ่ง "หลวงพี่กบ" สะท้อนว่า "จากผลการประเมินภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมไปแล้ว 1 และ 2 เดือน พบว่าเยาวชนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในลักษณะที่มีการนำเอาหลักธรรมต่างๆ มาปรับใช้บ้าง โดยมีพฤติกรรมเด่นชัดในเรื่องที่เยาวชนผู้นั้นได้หยิบยกมาไตร่ตรองด้วยตนเอง"
หน้า 7