วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

จดหมายเปิดผนึกจาก คปส และ FACT ถึง พลเมืองไทย

จดหมายเปิดผนึกจาก คปส และ FACT ถึง พลเมืองไทย
ว่าด้วยการบังคับใช้ พ.ร.บ. ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ 19 กรกฎาคม เป็นต้นไป



วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550 คือวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นกฎหมายฉบับแรกที่ถูกผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายหลังจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549




ทั้งนี้ หลังการประกาศใช้ พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้จริงภายใน 30 วัน ดังนั้น ในวันพรุ่งนี้คือวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เป็น วันที่กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อพลเมืองไทยทุกคน โดยเฉพาะปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ความเกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์ใน ทุกมิติ อีกทั้งกระทรวงไอซีทีกำลังดำเนินการผลักดัน กฎกระทรวงซึ่งเป็นกฎหมายประกอบ พ.ร.บ. ความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 จำนวน 3 ฉบับ คือ




* หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ
* หลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.
* กฎกระทรวงว่าด้วยการยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์




คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส) และเครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT) เห็นความสำคัญในการมีกติกาสำหรับการป้องกันการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณชน แต่เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการใช้พระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการควบคุมสิทธิเสรีภาพในการสื่อสาร (Communication Rights) ของพลเมือง




ทั้งนี้เรามีข้อสังเกตว่า

1. การออก พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ เป็นการออกกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างมากในการตรวจสอบข้อมูล ทั้งโดยผ่านศาลและอำนาจโดยตรงของเจ้าหน้าที่ ซึ่งกฎหมายยังกำหนดด้วยว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ท (Internet Service Providers-ISP) จะต้องเก็บข้อมูลย้อนหลังนานถึง 90 วันไว้ให้เจ้าหน้าที่รัฐตรวจสอบ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรับรู้ ดังนั้นหากเปรียบก็เหมือนเราจะถูกค้นบ้านได้โดยไม่ต้องมีหมายศาลและไม่ต้อง แจ้งเรา นอกจากจะถูกค้นได้ภายในวันนั้นแล้ว ยังสามารถถูกย้อนหลังตรวจได้อีก 90 วัน ซึ่งนอกจากจะถูกลิดรอนสิทธิการตรวจสอบข้อมูลที่ถือได้ว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล ในการสื่อสารแล้ว ขณะนี้ยังมีประเด็นที่เป็นข้อกังวลถึงความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมายด้วยว่า เมื่อมีกฎหมายมาแล้ว แต่ในกฎหมายกลับยังไม่มีการระบุคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย นั้นว่าจะได้มาอย่างไร ใครจะเป็นผู้แต่งตั้งมา ดังนั้นจึงต้องติดตามต่อไปว่าจะมีการระบุกติกาที่มาของเจ้าหน้าที่อย่างไร

2. การออกกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำผิดคอมพิวเตอร์ เป็นการออกกฎหมายตามที่เคยต้องการให้มีกฎหมายควบคุมสื่ออิเล็กทรอนิคส์ ที่เดิมออกแบบกฎหมายไว้ 6 เรื่องซึ่งจะมีทั้งการป้องกันปราบปราม และการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล แต่ปรากฏว่าในการออกกฎหมายครั้งนี้รัฐบาลตั้งใจเลือกจะออกแต่เฉพาะกฎหมายที่ เป็นการปราบปราม ซึ่งกระทบและลิดรอนสิทธิประชาชนผู้สื่อสาร โดยรัฐบาลไม่คิดที่จะยกร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมาใช้ บังคับร่วมกันเลย ซึ่งหากจะออกฎหมายที่มีผลตรวจสอบข้อมูลการสื่อสารของบุคคลย้อนหลังได้ถึง 90 วัน รัฐก็ควรผลักดันให้ออกร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วย




เราเกรงว่า นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป รัฐจะใช้กฎหมายดังกล่าวในการลิดรอนสิทธิความเป็นส่วนตัว (Right to privacy) และสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก (Freedom of Expression) ของประชาชนหนักข้อขึ้น ด้วยการใช้กฏหมายโดยมีเหตุผลซ่อนเร้นทางการเมืองมากกว่าการป้องปราม อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันที่สังคมไทยขาดความเป็นประชาธิปไตย และแนวโน้มในอนาคตที่รัฐอำนาจนิยมจะครอบงำสิทธิเสรีภาพพลเมืองไทยมากขึ้น เช่น การผลักดันกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ… หรือทิศทางการสืบทอดอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช) เป็นต้น ดังนั้นจึงจำเป็นที่สังคมไทยจะต้องตื่นตัวเฝ้าระวังการใช้อำนาจรัฐคุกคาม สิทธิของประชาชนอย่างจริงจังมากขึ้น




เราเห็นด้วยกับหลักการในการคุ้มครองเด็ก หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่รับความเสียหายจากการใช้คอมพิวเตอร์ แต่เราไม่เห็นด้วยที่รัฐจะมีอำนาจมากเกินไปในการควบคุมเซ็นเซอร์เนื้อหาสาระ ในสื่อคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เนท จนกระทั่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างการที่รัฐจะปกป้องผู้ที่ถูกกระทำจาก คอมพิวเตอร์ กับการละเมิดสิทธิของพลเมืองโดยรัฐเองนั้นคลุมเครือยิ่ง




การเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าค้น ยึด อายัด สื่อคอมพิวเตอร์ได้นั้น ย่อมไม่ต่างจากแนวคิดรัฐอำนาจนิยมในอดีตที่ออกกฏหมายให้มีการยึดแท่นพิมพ์ หรือจับกุมเครื่องส่งกระจายเสียงสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ถ้ารัฐเห็นว่าการกระทำใดขัดต่อกฏหมายหรือความมั่งคงของรัฐ ทั้งที่กระบวนการร่างกฏหมายดังกล่าวนี้ ไม่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่สำคัญกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มาจากสภานิติบัญญัติซึ่งเป็นตัวแทนโดยตรงของ ประชาชนเลย แต่ผลก็คือเราทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างยอมจำนน




วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2550 เป็นวันที่กฏหมายดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้

คปส และเครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชน ชุมชนสื่อออนไลน์ ช่วยเผยแพร่ ข่าวสาร ความคิดเห็น หรือส่งเสียงประท้วงคัดค้าน ในกรณีที่มาตรการตามกฏหมายดังกล่าวนี้จะส่งผลกระทบต่อสิทธิความเป็นส่วนตัว เสรีภาพในการแสวงหาข้อมูล เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อคอมพิวเตอร์และ สื่อออนไลน์ โดยเฉพาะเสรีภาพของประชาชนที่มีจุดยืน ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกทางการเมืองแตกต่างจากอำนาจรัฐ

ถึงเวลาแล้วที่พลเมืองผู้ไม่ยอมรับการคุกคามสิทธิเสรีภาพผ่านสื่อออนไลน์ (Cyber dissidents) จักต้องรวมพลังกันติดตาม ตรวจสอบ คัดค้าน หรือประท้วงการใช้อำนาจของรัฐในทางมิชอบ ก่อนที่เราจะตกเป็นฝ่ายที่ถูกรัฐจัดการตรวจสอบและดำเนินคดีกับเราคนใดคน หนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว

เราต้องไม่ยอมให้รัฐรุกล้ำคุกคามสิทธิความเป็นส่วนตัว สิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อสิทธิเสรีภาพถูกยึดกุมไปได้แล้ว ยากที่เราจะเรียกร้องให้คืนกลับมา




ที่สำคัญ ความผิดทางอาชญากรรมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เป็นคนละเรื่องกับเสรีภาพการนำเสนอ ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นผ่านสื่ออินเตอร์เนท เพราะการพูดการเขียน การแสดงความคิดเห็นไม่ใช่อาชญกรรม อีกทั้งเวบไซต์การเมืองไม่ใช่เวบโป๊เปลือย การอ้างเรื่องการควบคุมเวบไซต์ลามกอนาจารพ่วงแถมด้วยการควบคุมเวบไซต์ทางการ เมืองด้วยนั้น เท่ากับรัฐกำลังทำให้การเมืองเป็นเรื่องอนาจาร ที่ประชาชนไม่ควรดู ไม่ควรอ่าน ไม่ควรคิด ไม่ควรพูด หรือแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกใดๆ ในพื้นที่สาธารณะ

เสรีภาพในการแสดงออกผ่านสื่อคอมพิวเตอร์ ไม่ต่างจากเสรีภาพสื่ออื่น เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรือสื่อสารมวลชนใดในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารเชื่อมถึงกันหมด (Convergence) ดังนั้นจึงต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง เพราะสิทธิเสรีภาพสื่อเหล่านี้คือสิ่งชี้วัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตย







คณะกรรมการณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส)
เครือข่ายเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์ประเทศไทย (FACT)




18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550







http://www.fringer.org/?p=259