วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อีกหนึ่งชีวิตปริศนา?'ซัน'คน(ไม่อยาก)เห็นเคราะห์

อีกหนึ่งชีวิตปริศนา?'ซัน'คน(ไม่อยาก)เห็นเคราะห์

วันอาทิตย์ ที่ 07 มิถุนายน 2552 เวลา 0:00 น

  

“ไม่มีใครอยากคิดว่าตัวเองบ้าหรอกครับ !!” เป็นประโยคที่ “ซัน-สุรพัฒน์ ศิริรัตนสิทธิ์” ชายหนุ่มที่มีคนบอกว่าเขาก็เป็น “ผู้เห็นเคราะห์-เห็นกรรม” ซึ่งก็แน่นอนว่าความคิดเห็นของผู้คนที่รับรู้เรื่องราว   ก็ย่อมแบ่งออกเป็นฝ่าย เชื่อ-ไม่เชื่อ แต่วันนี้ทีม “วิถีชีวิต” จะพาไปลองสัมผัสกับบางแง่มุมชีวิตของเขาคนนี้...
   
ซัน-สุรพัฒน์ เล่าว่า ที่จริงเขาเรียนจบปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์การปกครองจากต่างประเทศ ซึ่งสำหรับประสบการณ์ในการ “เห็น” นั้น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ โดยเขาเริ่มมองเห็นวิญญาณตอนอายุประมาณ 7 ขวบ แต่ก็ยังไม่ทราบว่าสิ่งที่เห็น-ที่สัมผัสได้ แท้จริงแล้วคือคนที่ตายไปแล้ว มาปะติดปะต่อและแจ่มชัดก็หลังจากรายชื่อคนที่เขาได้บอกเล่าให้ครอบครัวฟัง โดยเฉพาะบอกกับคุณแม่ เผอิญตรงกับชื่อของคนที่ตายไปแล้ว 
   
“คุณแม่บอกกับผมว่าซันคุยกับคนตายได้เหรอ เพราะชื่อที่ผมบอกคุณแม่ไปเป็นชื่อของคุณลุงที่ตายไปแล้ว ตอนที่ผมไปเรียนต่างประเทศเพื่อนก็มักจะบอกเราว่า เฮ้ย ! ซันแกมีซิกซ์เซ้นส์หรือสัมผัสที่หกด้วยเหรอ เราก็เออออไป แต่ถามจริง ๆ ตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจหรอก จนกระทั่งกลับมาเมืองไทย มีโอกาสได้ร่วมบูรณะวิหารหลวงพ่อขาว ทำให้ได้รู้จักกับพ่อใหญ่ (พระศิวะ) ท่านก็ให้ผมช่วยคน จริง ๆ ในใจผมก็ค้านตัวเองตลอด ผมเคยไปหาจิตแพทย์ ทั้งตอนที่อยู่เมืองนอก และที่เมืองไทย เขาก็หาข้อสรุปให้ผมไม่ได้ แต่เขาก็ต้องค้านผม”
   
ซันเล่าถึงภาพที่มักจะเห็นเป็นประจำว่า ไม่ต่างอะไรกับภาพยนตร์ คือมีจุดเริ่มต้นของเรื่อง จากนั้นก็ดำเนินไปจนถึงตอนจบ เพียงแต่ภาพยนตร์ที่เขาเห็นนั้นเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ของคน ๆ หนึ่งที่เกิดขึ้น และดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เกิดจนคนนั้นตาย “มันจะเป็นภาพที่วิ่งเร็วมาก ๆ จนผมต้องจับใจความให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อทราบแล้วว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร หน้าที่ต่อไปก็ต้องอธิบายให้คนที่เราเห็นได้ฟัง ได้รับรู้ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคตของเขาเป็นอย่างไร” ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวขานกันว่าเห็นเคราะห์กรรมระบุ
   
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มคนนี้บอกว่า ถ้าเลือกได้ไม่อยากที่จะมองเห็น ไม่อยากมีความสามารถพิเศษตรงนี้ ยอมรับว่ารู้สึกอึดอัดที่มองเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้อื่น แต่ก็ต้องน้อมรับตรงนี้ไว้ แม้ไม่อยากได้ ซึ่งถึงวันนี้เขาเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อหน้าที่บางอย่าง เขาเองเคยมีคนมาบอกว่าตัวเขามีกรรมที่ต้องชดใช้ด้วยการต้องไปนั่งรับรู้เรื่องชาวบ้าน และก็มีบุญประกอบให้ใช้ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยจุดเริ่มต้นของการทักเคราะห์กรรมคนอื่น เริ่มต้นจากผู้หญิงคนหนึ่ง เหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณปี 2548 เขาได้พบผู้หญิงคนนี้ตอนที่กำลังเล่นฟิตเนสอยู่ ภาพที่เห็นทำให้เขาตกใจ เพราะเป็นภาพของผู้หญิงคนนี้ถูกอัดก๊อบปี้อยู่ในรถ เป็นภาพแวบเดียว
   
“ผมบอกเขาว่าพี่ครับพี่ต้องระวังนะ พี่จะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผมบอกเขาวันที่ 28 ม.ค. และเขาเสียชีวิตวันที่ 7 ก.พ. เร็วมาก นี่ทำให้ผมเชื่อในสิ่งที่ผมเห็น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมเชื่อมาตลอดว่าผมเป็นโรคประสาท ผมว่าไม่มีใครอยากคิดว่าตัวเองบ้าหรอกครับ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น เราหรือใครก็หาคำตอบไม่ได้”
   
ซันบอกต่อไปว่า แม้ไม่อยากจะคิดว่าตัวเองเป็นบ้า แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งภาพและเสียงแปลก ๆ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้วจริง ๆ ยิ่งภาพที่ได้เห็นส่วนใหญ่จะเป็นภาพที่หดหู่ก็ยิ่งทำให้เขาเกิดความสับสน หลังจากเคยพึ่งหมอดูแต่ก็ได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจน จึงตัดสินใจเข้าปรึกษาจิตแพทย์ โดยจิตแพทย์ระบุว่าอาการต่าง ๆ ที่เกิดเป็นเพราะเขากำลังปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ที่แตกต่าง สรุปง่าย ๆ คือทุกสิ่งเกิดจากการที่ตัวเขาคิดไปเอง แต่แม้จะปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของจิตแพทย์อย่างเคร่งครัด ทานยาเป็นประจำสม่ำเสมอ ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายจึงตัดสินใจยอมรับ ไม่ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองอีกต่อไป
   
“ผมไปหาจิตแพทย์ทั้งเมืองนอก เมืองไทย ที่เมืองไทยจิตแพทย์คนหนึ่งก็ดูแลผมอยู่ระยะหนึ่ง แต่อาการผมก็ไม่ดีขึ้น จนท้ายที่สุดเขาก็สรุปสาเหตุให้ผมไม่ได้ แต่เขาบอกว่าเขาต้องค้านผม เพราะไม่เช่นนั้นคนไทยจะงมงาย ผมเลยตัดสินใจว่าจะเป็นอะไรก็เป็น ต่อไปนี้จะไม่ปฏิเสธแล้ว” 
   
การเห็นเคราะห์-กรรมผู้อื่นถือเป็นเรื่องท้าทายหรือไม่ ? เรายิงคำถาม ซันตอบว่า ไม่ใช่ท้าทาย เพราะไม่ได้ไปฝืนหรือลองดี เพียงแต่บอกให้คนที่ถูกเจ้ากรรมนายเวรทวงคืนได้รับทราบ จะได้ปรับปรุงตัวโดยทำความดี เมื่อทำความดีแล้วก็จะช่วยให้เจ้ากรรมนายเวรได้หลุดพ้นด้วยบุญที่ทำให้เขา ซึ่งการจะหลุดพ้นก็ต้องอโหสิกรรม
   
“ที่เรารู้สึกว่าหนักจริง ๆ ก็อย่างเคสน้องคนหนึ่งซึ่งป่วยเป็นโรคผิวหนังแห้งตกสะเก็ดและมีเลือดไหลซึมตามแผล รักษาตัวมานานกว่า 12 ปี มันเป็นอะไรที่เรารู้ แต่แก้ไขไม่ได้ อย่างที่เราบอก ว่าความพิเศษตรงนี้เราเองก็ไม่อยากมี ไม่อยากไปรับรู้เรื่องของคนอื่น ๆ เพราะบางครั้งมันก็ทำให้เรารู้สึกหดหู่”
   
ถามเขาต่อไปว่า ในเมื่อเห็นกรรมคนอื่นได้ แล้วสามารถเห็นกรรมตัวเองด้วยหรือไม่ ? เขาอธิบายว่ากรรมของเขาเป็นกรรมที่เรียกว่า “กรรมปวารณา” ที่ต้องทำความดีและไขบุญ-บาปให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ แต่ก็มีหลายคนที่พยายามลองของ กล่าวหาว่าที่เขาตั้งตัวทำอย่างนี้ก็เพราะต้องการหาผลประโยชน์ ซึ่งเขายืนยันว่าไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องทำแบบนี้ เพราะชีวิตปัจจุบันเขาเองก็ไม่ได้เดือดร้อนแต่อย่างใด อีกอย่างเขายืนยันว่าไม่จำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง เคยใช้ชีวิตอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องอุปโลกน์ตัวเองให้เป็นนั่นเป็นนี่
   
“ผมก็แต่งตัวธรรมดา ไม่ต้องนุ่งขาวห่มขาว ไม่ต้องไว้หนวดไว้เครา และผมไม่คิดจะทำเป็นอาชีพ ที่ผ่านมาก็มีคนด่าเราเยอะ อาจเพราะเราไปขัดผลประโยชน์เขา คนมาขอหวยก็มี แต่เราก็จะบอกว่า เราไม่ได้เป็นผี ให้หวยใครไม่ได้ อีกอย่างเราเห็นกรรม แต่เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะถ้าเราทำจะโดนเล่นงานอย่างหนักเลย เราก็เคยโดน เคยโกงข้อสอบ ผลสรุปมันออกมาเราแย่ทุกครั้ง เช่น เป็นไข้ ท้องเสียรุนแรง ขาพลิกเดินไม่ได้ เราก็จะรู้ว่าเราถูกลงโทษ ความสามารถพิเศษตรงนี้ เราต้องใช้ให้ดี ถ้าฉกฉวยก็จะได้รับกรรมแสนสาหัส
   
ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้สร้างภาพ เราก็ยอมรับว่าเราไม่บริสุทธิ์ครบตลอดเวลา เราเองก็ยังต้องใช้ชีวิตในสังคมอยู่ เรายังไปเที่ยว ยังมีดื่มบ้าง อย่างเวลาไปเที่ยวเราก็ดื่มเบียร์ 2 ขวดเล็ก แล้วก็หยุด กินให้เป็นกระสาย ถามว่าถือศีลไหม ถือ แต่ใช้สติปัญญาในการถือ แม้แต่การทำบุญผมก็ขอย้ำว่า การทำบุญที่ดีต้องทำแล้วเห็นประโยชน์ ต้องเกิดจากใจ ไม่ใช่สักแต่ทำ การทำบุญก็ต้องมีสติ ใช้ปัญญาในการทำด้วย” ซันกล่าว

และนี่ก็เป็นบางแง่มุมชีวิต-ความคิด ของ “ซัน-สุรพัฒน์ ศิริรัตนสิทธิ์” ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวขานกันว่าเป็นอีกชีวิตหนึ่งที่ “เห็นเคราะห์-เห็นกรรม” ของคนอื่น ที่แม้แต่ตัวเขาเองเขาก็บอกว่าไม่อยากจะเห็น...
   
ก็สุดแท้แต่จะใช้วิจารณญาณ !!.

คำว่า 'สะเดาะเคราะห์' ไม่มี !?!
   
ซันบอกว่า... ทุกคนจะอยากรู้มากว่าจะรับมือกับเจ้ากรรมนายเวรอย่างไร ซึ่งสำหรับเขาเองบอกได้เลยว่า... “คำว่าสะเดาะเคราะห์ ไม่มี” ดังนั้น หากใครสักคนมาบอกให้สะเดาะเคราะห์แล้วจะช่วยได้ เขาคิดว่าเป็นเรื่องไม่จริง สำหรับวิธีของเขา คือเขาจะบอกให้คนที่เขา “เห็น” ว่ากำลังถูกเจ้ากรรมนายเวรทวงคืน ต้องไปทำการแก้ไขด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมาให้เงินให้ทองกับเขา เพราะกรรมของใครย่อมเป็นกรรมของคนนั้น
   
“การที่เราจะให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ เราก็ต้องทำดีให้เขา เราต้องทำดีให้ตัวเราด้วย พอถึงจุดหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรเขาก็จะอโหสิกรรมให้เราเอง โดยไม่ต้องบอกว่าฉันทำดีแล้ว ทำไมไม่พอใจอีก ต้องเข้าใจว่าเราไม่มีสิทธิไปต่อรองกับเขา และจะทำอะไรทุกอย่างก็มีเหตุมีผลรองรับตลอด การจะทำบุญอย่างปล่อยปลา บางทีแทนที่จะได้บุญกลับได้บาป เอาปลาตัวเล็กไปปล่อยก็ถูกปลาใหญ่กินหมด การทำบุญต้องมีปัญญาด้วย
   
การทำบุญต้องทำด้วยสติปัญญา คนไทยยึดติดกับหลายเรื่องมาก ทำบุญต้องเลข 9 ผมว่าไม่จำเป็น ทำบุญทำได้ตลอด ทำได้เรื่อย ๆ แต่ต้องเติมในส่วนที่ขาด ตรงไหนที่เต็มอยู่เราก็ไม่ควรไปเติมให้มันล้น การทำบุญต้องมาจากใจ ให้ถูกต้อง และถูกหลัก ถึงจะเกิดผล...” เป็นคำแนะนำจาก เขาคนนี้.

เชาวลี  ชุมขำ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=3057&categoryID=524

--
Please visit my blog.Thank you so much.
http://www.sanamluang.bloggang.com
http://tham-manamai.blogspot.com
http://lifeanddeath2mcu.blogspot.com
http://www.parent-youth.net
http://www.tzuchithailand.org
http://www.presscouncil.or.th
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.pdc.go.th
http://www.biz652.com
http://dbd-52.hi5.com